ภาคที่ 2 บทที่ 202 เป็นพันธมิตร

มู่หนานจือ

หลี่เชียนหลบหน้าเจียงลวี่ และเวลานี้กำลังรับประทานอาหารเช้ากับเฉาเซวียนอยู่ที่เรือนข้างๆ

แตกต่างจากอาหารเช้าของเจียงเซี่ยน เต้าหู้ยี้แดง กานาฉ่าย แตงกวาดอง ยำผักโขมป่า หมั่นโถวเงินทอง ข้าวต้ม…แม้ของจะไม่มากนัก แต่ล้วนเป็นของที่เฉาเซวียนชอบ

หลี่เชียนใช้ตะเกียบกลางคีบเต้าหู้ยี้แดงครึ่งชิ้นวางลงในจานเล็กที่ทาสีทองตรงหน้าเฉาเซวียน แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นี่เป็นของที่ข้าให้คนนำมาจากหนานหนิง ว่ากันว่าน้ำที่นั่นดี ดังนั้นรสชาติของเต้าหู้ยี้ที่ทำออกมาจึงสดและนุ่มเป็นพิเศษ ข้าเติบโตที่ซานซีตั้งแต่เด็ก ชอบกินอาหารประเภทเส้น ตอนหลังไปฝูเจี้ยนแล้ว ก็ชอบอาหารแค่อย่างเดียว ก็คือหมูหยอง และชอบใช้มันมาคลุกกินกับข้าวต้มเป็นพิเศษ เต้าหู้ยี้นี้อร่อยหรือไม่ ข้าก็ไม่รู้จริงๆ คงต้องให้ท่านมาวิจารณ์แล้ว”

เฉาเซวียนหลับสนิทไปตื่นหนึ่ง ถึงรู้สึกว่าร่างกายฟื้นคืนชีพอีกครั้ง สมองที่เดิมทีเชื่องช้าเพราะอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ก็ค่อยๆ เริ่มแล่นขึ้นมาเช่นกัน

เขาใช้ตะเกียบเลือกเต้าหู้ยี้ชิ้นเล็กชิ้นหนึ่งและค่อยๆ ทาลงบนหมั่นโถวเงินทอง แล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “จงเฉวียนเจ้าถ่อมตัวเกินไปแล้ว เรื่องวิจารณ์นั้นข้าคงบอกไม่ได้แน่ชัด บอกได้เพียงว่าชอบกินมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็กินมาหลายที่ จึงค่อยๆ เริ่มจับผิดเล็กน้อยแล้ว”

“จะจับผิดได้ อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่าดีหรือไม่ดี” หลี่เชียนประจบเฉาเซวียนอย่างเยือกเย็น และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “อย่างข้านั้น ต่อให้อยากจับผิดได้ก็บอกไม่ถูก อยากจับผิดก็ทำไม่ได้อยู่ดี!”

ทั้งสองคนผลัดกันชมกันและกันนานมาก หลี่เชียนถึงจะเปลี่ยนเรื่องอย่างกะทันหัน โดยเอ่ยว่า “ท่านกั๋วกง ข้าลักพาตัวท่านหญิงเจียหนานมา ทำให้ท่านกับไทเฮาลำบากมากใช่หรือไม่?” เขาเอ่ยพลางรินชาให้เฉาเซวียนอย่างจริงใจว่า “ท่านกั๋วกง ข้าใช้ชาแทนเหล้า ขอบคุณที่ท่านมาประกาศราชโองการให้พวกเรา…เมื่อวานท่านพี่อาลวี่อยู่ เรื่องบางเรื่องข้าจึงพูดมากไม่ได้ ขอท่านโปรดอภัยให้ด้วย!”

ไม่ปฏิเสธว่าเขาอยากแต่งงานกับเจียหนาน

เฉาเซวียนรู้สึกไม่สบายใจ

นี่หลี่เชียนไม่กลัวเพราะมีที่พึ่งพิงหรือ?

เขานึกถึงราชโองการฉบับที่ถูกเจียงเซี่ยนเผาจนกลายเป็นขี้เถ้า

เจียหนานยอมทำให้จ้าวเซี่ยวเสียหน้า แต่ไม่ยอมให้หลี่เชียนถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม หลี่เชียนมีสิ่งที่สามารถพึ่งพาได้เช่นนี้ก็ไม่ต้องกลัวเพราะมีที่พึ่งพิงจริงๆ

เช่นนั้นหลี่เชียนเอ่ยเรื่องนี้เพื่ออะไรกัน?

แม้จะเป็นลูกเขยของตระกูลเจียง ทว่าไม่คิดที่จะอาศัยตระกูลเจียงขึ้นสู่ตำแหน่งขุนนางระดับสูงอย่างง่ายดายในคราวเดียว เมื่อก่อนตระกูลหลี่เป็นอย่างไร ตอนนี้ยังเป็นแบบนั้นหรือไม่?

เฉาเซวียนยิ้มพลางยกถ้วยชา และเอ่ยกับหลี่เชียนอย่างอ้อมค้อมว่า “ที่ไหนกัน! เจ้าได้แต่งงานกับเจียหนาน ข้าก็ดีใจมากเหมือนกัน ข้ากับเจียหนานเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ชิงฮุ่ยคู่หมั้นของข้าก็เหมือนพี่สาวของเจียหนาน หากจะพูดถึง ตอนนี้พวกเราก็ถือว่าเป็นคู่เขยกันแล้ว”

หลี่เชียนได้ยินก็ฉีกยิ้มตาหยี และไม่กล้าแม้แต่จะพูด แล้วเอ่ยอย่างทอดถอนใจมากว่า “พูดถึง เรื่องนี้ข้ายังต้องขอบคุณไทเฮา หากท่านพ่อไม่ถูกเรียกเข้าวัง ข้าก็ไม่มีทางได้เข้าเฝ้าไทฮองไทเฮา และก็ไม่มีทางได้รู้จักท่านหญิงเจียหนาน…แล้วก็จะไม่มีข้าในวันนี้เช่นกัน ยิ่งกว่านั้นตอนที่ท่านพ่อไปจากเมืองหลวง ไทเฮาไม่เพียงแต่กำชับมากมาย ยังพระราชทานเงินและทองให้ตระกูลหลี่ ไม่ว่าจะเป็นท่านพ่อหรือข้าต่างก็จะไม่ลืมไปตลอดชีวิต ตอนที่ข้าแต่งงาน ท่านกั๋วกงต้องมาดื่มเหล้ามงคลนะ”

เฉาเซวียนแปลกใจเล็กน้อย

ตัวตนของตระกูลหลี่ถูกเปิดโปงแล้ว

เขาคิดว่าหลี่เชียนอาจจะเล่นลิ้นต่อหน้าเขาหรืออาจจะไม่ยอมเอ่ยถึงอย่างเด็ดขาด คิดไม่ถึงว่าหลี่เชียนกลับเอ่ยถึงเรื่องที่ตระกูลเฉาดีกับตระกูลหลี่ก่อนหน้านี้กับเขา?

นี่มันอะไรกัน?

ลูบหลังแล้วตบศีรษะ

เฉาเซวียนยิ้มและไม่เอ่ยสิ่งใด

หลี่เชียนยิ้มและเอ่ยต่อว่า “ตระกูลเฉามีบุญคุณที่ให้ความสำคัญกับความสามารถของตระกูลหลี่และใช้งานพวกเราในตำแหน่งสำคัญ มีบุญคุณที่ประคับประคองท่านพ่อ ในเมื่อท่านพ่อได้รับมอบหมายจากไทเฮาให้ไปดำรงตำแหน่งที่ซานซีแล้ว ก็จะไม่ทำให้ไทเฮาผิดหวังอย่างแน่นอน ขอให้เฉิงเอินกงโปรดวางใจ! ขอให้ไทเฮาโปรดวางพระทัย!”

อย่างนั้นหรือ?

หากอยากให้พวกเขาวางใจจริง ทำไมไม่ให้คำสัญญาหรือมอบสิ่งที่ยืนยันความจงรักภักดี?

เกรงว่าหลี่เชียนคงจะกังวลว่าสักวันหนึ่งตระกูลเฉากับตระกูลเจียงจะสู้กันซึ่งๆ หน้าโดยไม่คำนึงถึงหน้าตากระมัง?

ทว่า…หลี่เชียนที่เป็นแบบนี้ทำให้เฉาเซวียนยิ่งชอบ

เขายิ้มและเอ่ยว่า “จงเฉวียนพูดเกินไปแล้ว ก่อนหน้านี้ข้ากับเจ้าก็เป็นทั้งเพื่อนร่วมงานและเพื่อนสนิท เจ้าไปดำรงตำแหน่งที่ซานซีแล้วก็ไม่คิดจะติดต่อกับข้าแล้วอย่างนั้นหรือ?”

หลี่เชียนฝืนอดทนไว้ถึงไม่แสดงสีหน้าแปลกๆ ออกมา

เมื่อก่อนเขามองว่าเฉาเซวียนเป็นเพียงลูกผู้ลากมากดีที่ดูหน้าตาดี คิดไม่ถึงว่าเฉาเซวียนกลับเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง และยังมองทุกเรื่องในใต้หล้าออกอย่างทะลุปรุโปร่งด้วย

หลี่เชียนเป็นหมากที่ตระกูลเจียงจัดไว้ข้างกายตระกูลเฉาจริงๆ ทว่ามาพูดเรื่องพวกนี้เวลานี้ยังจะมีประโยชน์อะไร?

ดังนั้นเฉาเซวียนจึงไม่เอ่ยถึงเลย

ส่วนหลังจากนี้จะเป็นมิตรหรือศัตรู ใครบอกได้ชัดเจน?

ก็ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงแล้ว

นอกเสียจากว่าตระกูลหลี่อยากกลายเป็นที่พึ่งของตระกูลเจียง ไม่อย่างนั้นก็แยกจากอิทธิพลที่เฉาไทเฮามีต่อราชสำนักไม่ได้ และหากเฉาไทเฮาอยากต่อต้านฮ่องเต้ ก็แยกจากกำลังทหารของตระกูลหลี่ไม่ได้

ในเมื่อทั้งสองตระกูลต่างไม่มีใครแยกจากกันได้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือการเป็นพันธมิตร

ครั้งนี้…ไม่ใช่ตระกูลหลี่ไปพึ่งพาอาศัยตระกูลเฉา แต่ตระกูลเฉาขอร้องตระกูลหลี่

หลี่เชียนกับเฉาเซวียนต่างมองอีกฝ่ายครั้งหนึ่ง

กลับมีความสบายใจที่พอมองกันและยิ้มก็ลืมบุญคุณและความแค้นในอดีตไปจนหมดอยู่อย่างเบาบาง!

หลี่เชียนยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าไปเมืองหลวง ก็มีท่านเป็นเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว หากท่านมาซานซี ข้าก็จะดีใจมาก แล้วจะไม่ติดต่อกับท่านได้อย่างไร! ข้าบอกไว้ก่อนเลยนะ ข้าติดตามท่านพ่อขึ้นเหนือล่องใต้ตั้งแต่เด็ก แล้วก็เป็นคนหน้าด้านมาตั้งแต่เด็ก ข้าไม่ได้พูดง่ายเหมือนท่าน ครั้งหน้าที่ข้าไปเมืองหลวง ท่านต้องเลี้ยงข้าที่หอฉยงฮวา ไม่อย่างนั้นครั้งหน้าที่ท่านมาซานซี ก็จะมีแค่บะหมี่มีดเฉือนถ้วยเดียว”

เฉาเซวียนพยักหน้า และหัวเราะเสียงดัง แล้วยกถ้วยชาขึ้นมาชนกับหลี่เชียนเบาๆ

หลี่เชียนก็ยิ้มและเปลี่ยนเรื่องไปถามถึงเรื่องพระราชทานงานสมรส “ไทฮองไทเฮาทรงทราบเรื่องนี้ได้อย่างไร? เวลานี้ทรงสบายดีหรือไม่? แล้วท่านกั๋วกงมาเป็นทูตของฝ่าบาทได้อย่างไร? ตอนที่เห็นท่าน ข้าตกใจมาก!”

เฉาเซวียนยิ้มเล็กน้อย และเล่าเรื่องหลังจากเจียงเซี่ยนหายตัวไปให้หลี่เชียนฟังตามความจริง สุดท้ายก็เอ่ยว่า “…เสด็จป้าคิดว่า เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ว่าเจียหนานจะตามเจ้ามาซานซีเองก็ดี หรือเจ้าจะลักพาตัวเจียหนานมาก็ตาม วิธีที่ดีที่สุดคือพระราชทานงานสมรส ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางอธิบายกับตระกูลเจียงและไทฮองไทเฮาได้ แล้วก็กลัวว่าตระกูลเจียงจะไม่เห็นพระราชเสาวนีย์ของนางอยู่ในสายตา จึงให้ข้าไปขอร้องไทฮองไทเฮา คิดหาทางเปลี่ยนพระราชเสาวนีย์เป็นพระราชโองการ…”

เปลี่ยนพระราชเสาวนีย์เป็นพระราชโองการเปลี่ยนง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ?

เฉาไทเฮาถึงได้ให้เฉาเซวียนไปขอร้องไทฮองไทเฮา

และไทฮองไทเฮาอยู่ในวังมานาน แน่นอนว่าเฉาเซวียนพูดอะไรก็ย่อมเชื่อ จึงคิดหาทางเปลี่ยนพระราชเสาวนีย์เป็นพระราชโองการ!

คนฉลาดอย่างหลี่เชียน พอคิดอีกทีก็เข้าใจเคล็ดลับในนั้นแล้ว

เขาอดที่จะแอบเบ้ปากไม่ได้ และเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมฝ่าบาทถึงไม่ส่งคนตามท่านมาอีกสองคนล่ะ! ข้าได้ยินเด็กรับใช้ที่ส่งไปรับใช้ท่านบอกว่า ท่านไม่ได้นอนมาหลายวันหลายคืนแล้ว! ยังดีที่ท่านมาถึงอย่างปลอดภัย นี่หากเจออะไรเข้าระหว่างทาง ก็เกรงว่าจะไม่มีแม้แต่คนช่วย”

เฉาเซวียนคิดถึงความวุ่นวายในเมืองหลวง แล้วก็รู้สึกปวดศีรษะ แม้จะรู้ดีว่าเขากำลังถามถึงความคิดเห็นของจ้าวอี้ ทว่าก็ไม่ปิดบังเขาเช่นกัน และบอกหลี่เชียนว่าได้ราชโองการฉบับนี้มาได้อย่างไร

หลี่เชียนงุนงงเล็กน้อยทันที

ที่แท้ราชโองการฉบับนี้เป็นของปลอมหรือ!

แต่หลังจากนั้นเขาก็แอบรู้สึกดีใจ

ยังดีที่เขาไม่ได้ให้เจียงเซี่ยนกลับไปทันที ไม่อย่างนั้นจะไม่กลายเป็นเสียไปโดยเปล่าประโยชน์อย่างนั้นหรือ?!

ฮ่องเต้จะปล่อยให้เจียงเซี่ยนแต่งงานกับเขาและแต่งไปอยู่ซานซีได้อย่างไร!

เขาถามในเรื่องที่ไม่ควรถามด้วยอารมณ์ชั่ววูบ “เช่นนั้นราชโองการพระราชทานงานสมรสฉบับนี้เป็นของจริงหรือของปลอมกันแน่?”

เฉาเซวียนเอ่ยเหมือนกำลังสื่อถึงอะไรบางอย่างว่า “ในเมื่อราชโองการอยู่ในมือของเจ้าแล้ว ก็เป็นของเจ้าแล้ว ฝ่าบาทไม่มีทางที่จะริบราชโองการฉบับนี้กลับไปโดยไม่คำนึงถึงพระเกียรติ”