ตอนที่ 179 เลี้ยงอาหารสุนัขให้ไต้ซือ (1)

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

เหอเฟยเฟยมองพระโพธิสัตว์กวนอิมด้วยความสับสนพลางว่า “พระโพธิสัตว์คะ นี่มันความว่ายังไง?”

พระโพธิสัตว์กลับไม่อธิบาย แต่ถามกลับ “สีกาอยากพบเมิ่งหย่วนอีกครั้งจริงๆ หรือ? ยอมจ่ายทุกอย่างเลยใช่ไหม?”

พอได้ยินว่าพระโพธิสัตว์กวนอิมพูดถึงความปรารถนาของตน เหอเฟยเฟยตกใจสะดุ้ง เธอไม่เคยบอกความลับนี้กับใครมาก่อน แม้แต่เฉินปินที่สนิทที่สุดก็ยังไม่เคยบอก เธอบอกแค่พระโพธิสัตว์ ในเมื่อพระโพธิสัตว์เอ่ยออกมาแล้ว ความสงสัยเล็กๆ ในใจจึงหายไปจนหมด

เหอเฟยเฟยรีบน้อมคำนับ “ได้โปรดพระโพธิสัตว์ช่วยด้วยค่ะ ไม่ว่าอะไรก็ยอม ฉันยินดีจ่าย!”

“รอห้าร้อยปีถึงได้หันไปมองหนึ่งครั้ง สีกายินยอมรอไหม?” พระโพธิสัตว์ถาม

“ห้าร้อยปี?” เหอเฟยเฟยอึ้งไป นี่มันนานเกินไปไหม? แต่ว่าพอนึกถึงเขาในใจก็ยังพยักหน้าอย่างแน่วแน่ “ยอมค่ะ!”

“มองครั้งนี้ โยมต้องละทิ้งทุกอย่างตรงหน้า ญาติพี่น้อง เพื่อน ยินยอมไหม?”

“ยินยอมค่ะ!” เหอเฟยเฟยกัดฟัน เฝ้าคิดถึงทุกคืนวันมาพอแล้ว เธออยากพบเขา!

“ถ้าอย่างนั้นโยมก็รออยู่ที่นี่” พระโพธิสัตว์ว่าจบก็โบกมือ

เหอเฟยเฟยรู้สึกแค่ว่าฟ้าดินเปลี่ยนแปลง จากนั้นเธอกลายเป็นก้อนหินก้อนหนึ่งอยู่ในป่ารกร้าง แน่นิ่ง พูดไม่ได้ ตอนเริ่มเหอเฟยเฟยไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่เมื่อดวงตะวันลอยขึ้นสูง แสงแดดสาดส่องลงมา เธอรู้สึกเหมือนว่าทั่วร่างจมอยู่กลางเปลวเพลิง ร้อนแผดเผายากจะทนไหว เจ็บปวดมาก กว่าจะผ่านตะวันร้อนมาได้ไม่ง่าย ก็มีพายุใหญ่มาอีก พายุดั่งมีดทำเธอเจ็บจนอยากร้องไห้ พายุผ่านไป ฝนตกหนัก น้ำฝนตกลงบนกาย หนาวเหน็บเข้ากระดูก แต่เธอก็ยังกัดฟันยืนหยัด พูดพึมพำในใจไม่หยุด ‘เพื่อเจอหน้าเขาสักครั้ง แค่นี้จะเท่าไร?’

ผ่านไปสี่ร้อยเก้าสิบเก้าปี พายุพัดผ่านดวงตะวันสาดส่อง ฝนตกกระทบ น้ำแข็งเกาะ แต่เหอเฟยเฟยกลับยังไม่เจอเมิ่งหย่วน ในใจเป็นทุกข์ รู้สึกว่าใกล้จะบ้าแล้ว

ตอนนี้เองมีกลุ่มคนงานก่อสร้างเดินผ่านมา ขุดเธอขึ้นทำเธอเป็นสะพานหิน วันนั้นที่สร้างสะพานหิน คนหนึ่งเดินมาแต่ไกลๆ ยังคงสวมเสื้อผ้าคุ้นตา ใบหน้าคุ้นตา เอกลักษณ์คุ้นตา ในที่สุดก็ได้เห็นเขาดั่งความปรารถนา! เธออยากเรียกแต่พูดไม่ออก อยากร้องไห้ก็ร้องไห้ไม่ออก ได้แต่เหม่อมองเขา

แต่เขากลับไม่เคยมองเธอสักครั้ง รีบมารีบไป ไม่มีความอาลัยอาวรณ์แม้แต่น้อย

เห็นเงาแผ่นหลังเขาจากไปไกล เหอเฟยเฟยอยากจะร้องไห้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ!

“อมิตาพุทธ สีกา สมดั่งความปรารถนาแล้ว ได้เจอเขาแล้ว เป็นยังไง?” พระโพธิสัตว์กวนอิมปรากฏกายอีกครั้ง ยิ้มถาม

“พระโพธิสัตว์ ขอร้องล่ะ ฉันยังอยากเจอเขาอีก แต่…ฉันอยากสัมผัสเขา! ใช่…ฉันอยากสัมผัสเขาจริงๆ” พูดถึงตรงนี้เหอเฟยเฟยก้มหน้าลงด้วยความเขินอายเล็กน้อย ไม่เห็นเลยว่าพระโพธิสัตว์ที่แต่งชุดหลวงจีนข้างบนก็อายเหมือนกัน หน้าแดงแล้ว…ฟางเจิ้งที่ไม่เคยสัมผัสความรักพลันพบว่าเทียบกับเด็กสาวคนนี้แล้ว เขายังถือว่าบริสุทธิ์มาก อย่างน้อยแค่มอง ไม่เคยคิดจะลงมือ!

ดังนั้นพระโพธิสัตว์จึงเอ่ย “สีกามั่นใจนะว่าอยากสัมผัสเขาจริงๆ?”

“ค่ะ มั่นใจ” เหอเฟยเฟยตอบ

“แบบนี้ค่อนข้างยุ่งยาก โยมต้องรออีกห้าร้อยปี” พระโพธิสัตว์ว่า

เหอเฟยเฟยอึ้งไป ห้าร้อยปีก่อนทำให้เธอเจ็บปวดมากแล้ว ยังต้องรออีกห้าร้อยปี? แต่ว่าพอนึกถึงเงานั้นในใจจึงกัดฟัน “ฉันรอได้ค่ะ!”

“อมิตาพุทธ ได้ตามที่โยมต้องการ” พระโพธิสัตว์โบกมือ

โลกตรงหน้าเหอเฟยเฟยเปลี่ยนไป เธอกลายเป็นต้นไม้ รอบๆ เป็นป่ารกร้าง

เดิมทีเหอเฟยเฟยคิดว่าตอนเป็นหินชินกับความทุกข์ทรมานอย่างเช่นพายุ น้ำค้าง ฝนกับหิมะแล้ว ทว่าพอกลายเป็นต้นไม้ถึงได้เข้าใจว่าความคิดนี้มันไร้เดียงสาแค่ไหน ต้นไม้เทียบกับก้อนหินได้หรือ? หินแข็งแกร่ง ไม่กลัวพายุฝน แต่ต้นไม้ต่างไป พายุพัดดวงตะวันสาดส่อง ฟ้าผ่าน้ำค้างตก มันทรมานประหนึ่งอยู่ในนรกสิบแปดชั้น

ในที่สุดเหอเฟยเฟยก็ผ่านไปสี่ร้อยเก้าสิบเก้าปีอย่างทุกข์ทรมาน

ช่วงที่เหอเฟยเฟยใกล้จะยืนหยัดไม่ไหวนั้น มีร่างเงาหนึ่งเดินมาไกลๆ นั่นคือชายนักเดินทางเท้า ถึงเสื้อผ้าจะเปลี่ยนไป แต่ใบหน้านั้น รอยยิ้มปนความกังวลยังคงคุ้นตา เหอเฟยเฟยยิ้ม ในที่สุดเขาก็มา ยิ้มดั่งปล่อยวางภาระหนัก

ต่อมาสภาพอากาศร้อนเกินไป เมิ่งหย่วนมาอยู่ใต้ต้นไม้ วางสัมภาระลงนั่งใต้ต้นไม้ พิงลำต้นพักผ่อนสักครู่ ก่อนหลับไปโดยไม่รู้ตัว

เหอเฟยเฟยยิ้ม ในที่สุดก็ได้ตามความปรารถนา ได้สัมผัสเขา ได้มองเขานอนหลับอย่างสงบ เหอเฟยเฟยพยายามเอาใบไม้มาปิดไว้เพื่อบังแสงแดดให้เขา

แต่ความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ เมิ่งหย่วนดีขึ้นแล้ว เขาไม่พูดไม่จา หยิบสัมภาระออกเดินทางอีกครั้ง

เหอเฟยเฟยมองเงาแผ่นหลังเมิ่งหย่วนพลางรู้สึกในใจโหรงเหรงอีกครั้ง ทว่าไม่ยึดมั่นเหมือนในตอนแรกอีกแล้ว

“อมิตาพุทธ สีกา เป็นยังไงบ้าง?” พระโพธิสัตว์กวนอิมปรากฏกายอีกครั้ง

“ขอบคุณค่ะพระโพธิสัตว์” เหอเฟยเฟยพูดด้วยความเคารพ

“ยังอยากเห็นหน้าเขาอีกไหม?” พระโพธิสัตว์กวนอิมถาม ในมุมมองฟางเจิ้งแค่สองครั้งน่าจะยังไม่จบ

แต่เหอเฟยเฟยกลับส่ายหน้า “ไม่แล้วค่ะ แค่สองครั้งฉันก็พอใจแล้ว ตอนที่ไม่ได้เจอหน้ามักจะอยากเจอ พอเจอจริงๆ ได้สัมผัส ฉัน…เข้าใจความหมายของคำสอนที่พระโพธิสัตว์พูดมาก่อนหน้านี้ทันทีเลยค่ะ” เหอเฟยเฟยพลันยิ้ม

“อื้ม? สีกาเข้าใจว่ายังไง?” ฟางเจิ้งอยากรู้เหมือนกัน คำสอนนี้ ต่างคนกัน ต่างสภาพแวดล้อมกัน ความเข้าใจจะต่างกันด้วย ฟางเจิ้งอยากรู้มากว่าเหอเฟยเฟยเข้าใจอะไร

“ความรักที่สวยงาม ความรักที่กินใจ เดิมทีเป็นภาพมายา! แต่ความรักที่เป็นภาพมายากลับสวยงามที่สุด! เหมือนตกไปอยู่ในความฝัน แต่กลับสัมผัสไม่ได้ สิ่งที่อยู่แสนไกลสวยที่สุด เพราะไกลจนตามไม่ทัน เต็มไปด้วยจินตนาการ แต่จากที่เข้าใจ ความสวยงามที่สุดจริงๆ อยู่ในแดนความเพ้อฝันที่สร้างขึ้นโดยจิตใจคน ความสวยงามแบบนี้ควรค่าให้พวกเราแสวงหาต่อไป ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตก็มีแต่จุดจบใจสลาย แต่ก็ยังเฝ้าใฝ่หา

ทว่าภาพมายาก็เป็นภาพมายา มีชีวิตอยู่ในภาพมายามีแต่ความเจ็บปวด หลุดออกมาต่างหากถึงจะพ้นทุกข์ เมิ่งหย่วนไม่ได้สมบูรณ์แบบขนาดนั้น แต่เป็นฉันที่มองว่าเขาสมบูรณ์แบบ” ดวงตาเหอเฟยเฟยสดใสยิ่ง

ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นในใจสั่นไหว ไม่นึกเลยว่าเหอเฟยเฟยจะเข้าใจจริงๆ ทั้งยังเข้าใจต่างจากเขาอย่างสิ้นเชิง!

ซึ่งฟางเจิ้งเข้าใจต่อประโยคนี้ไปทางการใช้ชีวิต จึงเอ่ยไปตามจิตใต้สำนึก “สีกาฉลาดมาก”

เหอเฟยเฟยยิ้ม ถามด้วยความเคารพ “ขอรบกวนถามพระโพธิสัตว์หน่อยนะคะ คำพูดนี้ยังมีคำอธิบายอื่นอีกไหมคะ?”

ฟางเจิ้งยิ้ม เด็กนี่อยากจะหยั่งเชิงว่าแดนความฝันเป็นจริงหรือปลอม แถมจะทดสอบพระโพธิสัตว์! ใจกล้าจริงๆ! ขณะเดียวกันฟางเจิ้งนึกถึงปัญหาข้อหนึ่ง ในโลกที่ไม่มีเทพนี้ ทุกคนจะมีความสงสัยต่อเทพอยู่นิดๆ แต่ว่าการทดสอบของเหอเฟยเฟยไม่ได้สร้างความลำบากให้ฟางเจิ้ง เขาบำเพ็ญเพียรพระธรรมมานานขนาดนี้ ไม่ได้เสียเปล่าอยู่แล้ว จึงยิ้มตอบ “ที่สีกาพูดมาคือความเข้าใจต่อความรัก แต่สำหรับชีวิต คำพูดนี้คือถ้าคนไม่ยึดมั่นต่อชื่อเสียงเงินทองทุกอย่างในโลกก็จะไม่ถูกชื่อเสียงเงินทองควบคุม เพราะคนที่แสวงหากิเลสเหล่านี้ต่างหากที่จะไม่มีความสุข…ไม่มีสิ่งใดคงอยู่ไปชั่วนิรันดร์ มนุษย์สนใจความรู้สึกและการรับรู้ของตัวเองมากเกินไป ฉะนั้นแล้วถึงตกอยู่ในความทุกข์ทรมาน ทุกอย่างคือมายา ชีวิตคนดั่งความฝันสลายไปตามลม! พบและแยก สุขและทุกข์ ล้วนแล้วแต่เป็นวาสนา!”

……………………