ฟางเจิ้งยิ่งท่องยิ่งฟิน ยิ้งเคาะยิ่งติด ลืมเวลาไป มัวเมาอยู่ในการอ่านคัมภีร์ ขณะเดียวกันในจุดที่เมื่อก่อนไม่เข้าใจพลันนึกออกประหนึ่งราดด้วยน้ำมนต์…ความรู้สึกนั้นจะไม่ให้ฟินได้ยังไง?

ในเวลาเดียวกันใต้ภูเขา

“เฟยเฟย นี่วัดเอกดรรชนีที่เธอบอกเหรอ บนเขามีวัดจริงๆ เหรอ?” ชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่ตรงตีนเขา แต่งกายง่ายๆ แต่กลับมีความกระปรี้กระเปร่าของวัยหนุ่มสาว

“ใช่ ได้ยินว่าวัดนี้ศักดิ์สิทธิ์ ญาติฉันเคยพูดตั้งหลายครั้ง อีกอย่างฉันได้ยินมาว่าหลวงจีนข้างบนเก่งมาก อย่ามัวชักช้าขึ้นไปดูกัน” พูดจบเด็กสาวก็ขึ้นเขาไปอย่างร่าเริง

เด็กหนุ่มเกาหัว มองเงาแผ่นหลังเด็กสาวพลางยิ้มแหยๆ ก่อนหิ้วกระเป๋าปีนเขาของเด็กสาวตามขึ้นไป คอยคุ้มกันตลอดทาง กลัวว่าเด็กสาวจะหกล้ม คล้ายๆ ว่าเป็นบุรุษผู้ปกป้องสตรีที่ได้มาตรฐานคนหนึ่งเลย แต่กลับไม่รู้ว่าแววตาของเด็กสาวมีประกายซ่อนอยู่…

ขึ้นเขามาแล้ว เด็กสาวยิ้ม “มีวัดอยู่จริงๆ ด้วย”

เด็กหนุ่มอึ้งไป เกาหัว รู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ ก่อนเหอเฟยเฟยจะมาก็มั่นใจมากว่าบนเขามีวัดแน่ๆ ทั้งยังมีคำชมต่างๆ ไหงมาถึงหน้าประตูวัดแล้วยังพูดแบบนี้อีก? ดังนั้นเด็กหนุ่มเลยถาม “เฟยเฟย เธอบอกไม่ใช่เหรอว่า…”

“บอกอะไร? ไปเถอะ ไปดูข้างในกัน” ว่าจบเหอเฟยเฟยก็วิ่งเข้าไป

เด็กหนุ่มยิ้มแห้งๆ เดินตามไป เขามีชื่อว่าเฉินปิน โตมากับเด็กสาว ถือว่าเป็นเพื่อนที่เล่นกันมาแต่เล็กๆ เมื่อโตขึ้น เฉินปินพบว่าเขาชอบเหอเฟยเฟยมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ขออยู่ด้วยกัน แค่อยากมองเธอทุกวัน

ทว่าเหอเฟยเฟยมักจะเว้นระยะห่างจากเขา รักษาความสนิทสนมไว้ แต่ไม่ยอมย่นระยะเข้ามาใกล้ นี่ทำให้เฉินปินเป็นทุกข์มาก

เห็นเหอเฟยเฟยเข้าไปในวัด เฉินปินจึงเดินตามไป เพียงแต่ว่าเพิ่งเข้าประตู เฉินปินตะลึงงัน

ต๊อก! ต๊อก! ต๊อก…

“กาลนั้น อาจารย์อยู่ที่แห่งนี้ สังขตธรรม[1]ทั้งปวงคือการรู้แจ้งแท้จริงที่สุด…” เสียงมู่อวี๋กับเสียงสวดมนต์ดังแว่วเข้าหู เฉินปินรู้สึกว่าพันธนาการในใจพลันถูกเคาะแตก สายตามองเหอเฟยเฟยที่ตะลึงค้างอยู่กับที่เช่นกันพลางยิ้มเล็กน้อย คิดในใจว่า ‘ไม่ว่าอนาคตเป็นยังไง ฉันจะปกป้องเธอไปตลอดชีวิต’

เหอเฟยเฟยไม่รู้ว่าเฉินปินคิดอะไรอยู่ หลังเธอได้ยินเสียงสวดมนต์กับมู่อวี๋แล้ว ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นร่างเงาสองคน หนึ่งชัดเจนมาก นั่นคือคนที่เธออยากพบเช้าเย็น และยังมีอีกคนจืดจาง เธออยากกดมันลงไป อยากลืม แต่ก็ยังลืมไม่ได้ เขาเหมือนกับอากาศ เหมือนน้ำ เธอเมินเฉยได้ แต่หลีกหนีไม่ได้

พริบตานั้นเหอเฟยเฟยทุกข์ใจมาก

สองคนยืนอยู่ที่เดิม ไม่ขยับ ในใจเกิดเรื่องราวมากมาย ตอนนี้เองฟางเจิ้งเห็นว่ามีคนมา แต่ไม่ได้สนใจ ยังคงสวดมนต์ต่อไป

ทันใดนั้นเหอเฟยเฟยสูดลมหายใจเข้าลึก เดินเข้าไปในอุโบสถ คุกเข่าบนเบาะนั่งทรงกลม ประนมสองมือขอพรอะไรอยู่เงียบๆ

ฟางเจิ้งอยากรู้เลยสัมผัสเข้าไป

‘ฉันยอมแล้ว ขอพระโพธิสัตว์ช่วยคุ้มครอง ให้โชคชะตานำพาเนื้อคู่มาให้ฉันเถอะ ไม่ว่ายังไงพบหน้ากันสักครั้งก็ยังดี…’ ความคิดในใจเหอเฟยเฟยปรากฏในใจฟางเจิ้ง พร้อมกันนั้นยังปรากฏหน้าตาผู้ชายคนหนึ่งตามมา นั่นคือผู้ชายที่มีความสง่าและเป็นผู้ใหญ่หลายส่วน สวมกางเกงยีน เสื้อลายดอกไม้ ดูทำตัวตามอำเภอใจหน่อยๆ ทำอะไรไม่บุ่มบ่าม อย่าว่าแต่ผู้หญิงเลย แม้แต่ฟางเจิ้งเห็นแล้วยังเกิดภาพจำครั้งแรกที่ดีมากต่อคนนี้ น่าเสียดายผู้ชายคนนี้แค่เปิดบาร์เหล้าเล็กๆ ตรงประตูโรงเรียน ตอนนั้นเหอเฟยเฟยไม่มีอะไรทำเลยไปนั่งเล่น ไม่ได้อะไรแค่จะไปดูเท่านั้น ด้วยความที่เป็นเด็กสาวยังไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ เธอเลยหน้าไม่หนาพอจะทำความรู้จักผู้ชายคนนี้ แค่ไปดูเท่านั้น ง่ายมากๆ เธอรู้แค่ว่าผู้ชายคนนี้ชื่อว่าเมิ่งหย่วน

น่าเสียดายหนึ่งปีต่อมาจิตใจเมิ่งเหย่วนอยู่กับบาร์เหล้าตลอด เขาปิดร้านกะทันหันและจากไปแล้ว เหมือนกับตอนที่เขามา มาอย่างกะทันหัน ไปก็ไปอย่างกะทันหันมาก

เหอเฟยเฟยเหมือนเสียบางสิ่งที่สำคัญในชีวิตไป จิตใจโหรงเหรง สอบถามไปทั่วว่าเมิ่งหย่วนไปไหน น่าเสียดายไม่มีใครรู้ แม้แต่ช่องทางติดต่อยังไม่ให้ไว้

ช่วงเวลานี้เหอเฟยเฟยทุกข์ใจมาก

เหอเฟยเฟยคิดถึงเรื่องเหล่านี้ในใจ ปวดร้าวและไร้ที่พึ่งอย่างยิ่ง

ฟางเจิ้งจนปัญญา เขาช่วยเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ ถึงพระแม่กวนอิมปางพันเนตรพันกรจะมีอภินิหารไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่เอนไปทางการคุ้มครองมากกว่า เรื่องบุพเพสันนิวาสแบบนี้ ฟางเจิ้งไม่รู้จริงๆ ว่าจะช่วยได้ไหม ทว่าเรื่องของเด็กสาวกลับทำให้เขาปลงอนิจจังมากกว่า เขาที่ชีวิตนี้ไม่เคยมีความรักคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าในใจเด็กสาวจะซับซ้อนถึงเพียงนี้ จึงตรึกตรองโดยพลันว่าตอนเขาเรียนมัธยมเคยมีคนแอบชอบเขาไหม? แต่ก็ปฏิเสธความคิดนี้ไปทันที ตอนนั้นยากจนถึงขั้นเกือบต้องขอทาน แม้แต่เพื่อนก็ไม่มีสักคน มองไม่เห็นเลยจริงๆ ว่ามีจุดเด่นอะไรที่ให้พวกเด็กสาวสนใจ

หลังดึงสัมผัสกลับมา ฟางเจิ้งไม่สวดมนต์แล้ว แต่เคาะมู่อวี๋เงียบๆ เขาพบว่าการเคาะมู่อวี๋ไม่ใช่แค่ปลุกจิตเขา แต่การขบคิดตรึกตรองยังเร็วขึ้นด้วย คล้ายๆ…ความรู้สึกตอนนั่งยองในห้องน้ำเมื่อก่อน พอนั่งอยู่ในห้องน้ำความคิดมักจะโลดแล่น ระหว่างคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยจะนึกไปถึงเรื่องที่ปกตินึกไม่ออก แน่นอน ผลจากการเคาะมู่อวี๋เหนือกว่าการนั่งยองในห้องน้ำไปไกลโข

ตอนนี้เองเฉินปินเดินเข้ามามองเหอเฟยเฟยแวบหนึ่ง ก่อนคุกเข่าบนเบาะทรงกลมข้างๆ และก็ขอพรเงียบๆ เช่นกัน

ฟางเจิ้งส่งสัมผัสเข้าไปใกล้อีกครั้ง ผลคือ…

‘ขอพระโพธิสัตว์คุ้มครอง ปกป้องเหอเฟยเฟยให้ปลอดภัยไปชั่วชีวิต ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากอยู่กับเธอไปตลอดชีวิต ถึงจะไม่ได้เดินเข้าหอแต่งงานด้วยกัน แค่ให้ผมได้มองเธอทุกวันก็พอแล้ว…%¥…’ คำขอพรของเฉินปินเข้าไปในใจฟางเจิ้ง

ส้ฟางเจิ้งพูดไม่ออกเล็กน้อย วุ่นอยู่ตั้งนานที่แท้ก็รักสามเส้า! แต่ฟังจากคำพูดเฉินปินแล้ว ฟางเจิ้งสัมผัสได้ว่านี่คือผู้ชายที่รักเหอเฟยเฟยจริงๆ เขาไม่ภาวนาขอให้ได้ แค่อยากปกป้อง นี่ต้องมีความรักที่บริสุทธิ์จริงๆ แต่ความรักของเหอเฟยเฟยกลับเลื่อนลอย รักคนที่ไม่รู้จัก…มันจะดีจริงๆ หรือ?

คิดได้ดังนั้นฟางเจิ้งอยากช่วยเฉินปิน หรือพูดได้ว่าให้โอกาสเขา ให้พวกเขาได้ตัดสินใจอีกครั้ง

ฟางเจิ้งสวดบทหนึ่งเบาๆ “อมิตาพุทธ!”

เสียงสวดดังขึ้น เหอเฟยเฟยรู้สึกว่ามีแสงทองสว่างวาบตรงหน้า จากนั้นคนในอุโบสถหายไป!

“หืม?!” เหอเฟยเฟยตระหนกเล็กน้อย

บัดนี้เองพระโพธิสัตว์กวนอิมเดินออกมาจากในแผ่นป้ายหมื่นพุทธ นั่งขัดสมาธิบนดอกบัว มองเธอด้วยความเมตตา

ครั้นเห็นพระโพธิสัตว์กวนอิม เหอเฟยเฟยปิดปากเล็กด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “พระโพธิสัตว์กวนอิม?!”

“อมิตาพุทธ อาตมาเอง เหอเฟยเฟย อาตมาเห็นความปรารถนาของสีกาเมื่อครู่แล้ว ความทุกข์ของสีกาคือภาพมายาควันและเมฆหมอก ดั่งเมฆหมอกในวัชรสูตร สังขตธรรมทั้งปวงดั่งความฝัน ดั่งสายฟ้าแลบ พึงเพ่งพิจารณาโดยอาการอย่างนี้”

……………………………………..…..

[1] สังขตธรรม คือธรรมอันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว หมายถึงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัยเป็นเหตุทำให้เกิด เมื่อหมดเหตุปัจจัยสภาพธรรมนั้นก็ดับไป