พั่บพั่บ

ได้ยินเสียงปีกนกพัดสะพือจากไกลๆ เริ่มเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

“ฮะ เฮือก!”

เบเลซักเองก็คงได้ยินเสียงเช่นกัน ใบหน้าของเขาเริ่มซีดเผือดจนเป็นสีขาวโพลน

“ใช่แล้ว เจ้ากลัวนกใช่มั้ยนะ”

มันเป็นหนึ่งในจุดอ่อนที่เบเลซักเก็บซ่อนจากผู้คน

หมอนี่กลัวนกเป็นอย่างมาก

ถ้าถามว่าหนักขนาดไหน ก็ต้องบอกว่าแม้แต่เมนูไก่ที่ถูกนำขึ้นโต๊ะอาหารก็ยังรับมือได้ยากเลยทีเดียว

“มะ ไม่นะ!”

เบเลซักมองฝูงนกที่บินตรงเข้ามาหาตัวเอง เขาพยายามที่จะวิ่งหนี แต่แข้งขากลับอ่อนระทวย จนได้แต่เกลือกกลิ้งไปมาบนพื้นอย่างน่าทุเรศ

“คิดจะไปไหน ข้าอุตส่าห์ทุ่มเทเปลี่ยนเจ้าให้กลายเป็นอาหารนกแท้ๆ”

“ชะ ช่วยด้วย! ”

พั่บ! พั่บ!

นกประมาณสามสิบตัวที่พักเกาะอยู่ตามต้นไม้ในละแวกนี้ ต่างบินพุ่งตรงมาหาเบเลซักกันอย่างพร้อมเพรียง

“อ๊ากกกก!”

เบเลซักขดตัวพยายามหาทางหลบเลี่ยง แต่นกพวกนั้นคงจะรู้ว่านี่เป็นธัญพืชชั้นยอดจากเซอเชาว์ละมั้ง พวกมันถึงได้ไร้ซึ่งความปรานี

ฟึบ! จิ๊บจิ๊บ! กู๊กู๊กู๊!

เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าฝูงนกรวมตัวช่วยกันโจมตี มันน่าดูแบบนี้เลย!

บรรดานกต่างพุ่งเข้าจิกทุกส่วนของร่างกายเบเลซัก ไม่เว้นแม้แต่ง่ามนิ้วมือ เส้นผม พวกมันกินกันอย่างตะกละตะกลาม จนกระทั่งธัญพืชร่อยหรอนั่นแหละ ถึงได้ยอมเลิกราบินจากไป

พั่บพั่บ!

และบริเวณที่นกบินหายไปจุดนั้น ก็เหลือเพียงแค่เบเลซักที่นอนขดกายอย่างน่าสมเพช สภาพเละเทะจนดูไม่ได้

ผมถูกจิกจนยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง เสื้อผ้าชั้นดีก็ฉีกขาดไม่มีชิ้นดี ใบหน้าเลอะเปรอะไปด้วยน้ำตาและน้ำมูก

“ฮือออ… โฮววว…”

“บอกจะทำให้ข้าดูไม่จืด แต่นี่กลับกลายเป็นเจ้าสภาพดูไม่ได้เลยนะ”

ถึงแม้เธอจะพูดจาล้อเลียนเขาแค่ไหน เบเลซักก็ยังคงไม่อาจขยับกายได้ด้วยความหวาดกลัว

“ที่ผ่านมาเอาแต่สนุกกับการมองดูความเจ็บปวดและความหวาดกลัวของคนอื่น ตอนนี้ตัวเองเจ็บปวดบ้างเป็นไงล่ะ สนุกดีมั้ย”

“ฮึก ฮึก!”

เธอเดินเข้าไปหาเบเลซัก จ้องเด็กหนุ่มที่นอนคู้กายอยู่บนพื้นด้วยนัยน์ตาเย็นชา

เหมือนอย่างที่เขาเคยทำกับเธอที่ร้องไห้โฮจนแทบขาดใจ

“ถ้าเจ้ากล้ารังแกเครนีย์อีกแม้แต่ครั้งเดียว ถึงตอนนั้นมันไม่จบง่ายๆ แบบนี้แน่”

เธอพูดย้ำชัดถ้อยชัดคำทุกประโยค ให้มันสลักลงหัวสมองอันแสนโง่เขลาของเบเลซัก

“ข้าจะทำให้เจ้าสลบโดยไม่มีใครสืบหาร่องรอยได้ หลังจากทำให้ทั่วร่างกายกลายเป็นก้อนแป้งอาหารนกเสร็จ ก็จะโยนเข้าไปในรังนก ‘ยักษ์’ ผูกไว้กับเสาให้พวกมันเข้ามาจิกซะเลย เข้าใจมั้ย”

“ฮะ เฮือก! ”

นัยน์ตาของเบเลซักมีแต่ความหวาดกลัว ท่าทางเหมือนว่าเพียงแค่จินตนาการก็รู้สึกกลัวมากแล้ว

หลังจากจ้องเบเลซักด้วยนัยน์ตาดูถูกเป็นครั้งสุดท้าย เธอก็หมุนตัวหันหลังเดินจากไป

อา สดชื่นจัง

ไม่มีถุงอาหารนกแล้ว ร่างกายเบาขึ้นมาระดับหนึ่งเลยทีเดียว

คราวนี้ก็จะไม่มีเรื่องเบเลซักกลั่นแกล้งเครนีย์อีกต่อไป

เพราะหมอนั่นเป็นพวกขี้ขลาดตาขาวมากพอๆ กันกับอาสทัลลีอูยังไงล่ะ

ต้องมีใครสักคนคอยช่วยปกป้องเครนีย์ แต่พี่ชายอย่างอาสทัลลีอูก็ขี้ขลาดเกินกว่าจะโต้เถียงเบเลซัก

บิดามารดาอย่างลอเรนซ์กับโรเนสก็มัวแต่เกรงใจเบเจอร์

ดังนั้นเธอจึงต้องออกหน้าให้ความช่วยเหลือแบบนี้

“ดีแล้ว ใจดีจริงๆ เลยข้าเนี่ย”

ค่อยรู้สึกเบาใจขึ้นหน่อย ถือว่าเธอจัดการลงมือแก้แค้นได้สาสม ยิ่งกว่าที่เจ้านั่นกลั่นแกล้งเครนีย์เสียอีก

“จะว่าไงดีล่ะ…”

รู้สึกเหมือนตัวเธอในอดีตก็ได้รับการเยียวยาไปด้วย

ฟีเรนเทียตัวน้อยในชีวิตก่อนที่ได้แต่โดนกลั่นแกล้งอย่างไม่มีวันสิ้นสุด ไม่มีใครสักคนยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลือ เหมือนอย่างเครนีย์ในตอนนี้

ถึงแม้จะสายเกินไปหน่อย แต่เรียกว่าพึงพอใจก็ได้ละมั้ง

* * *

หลายวันให้หลัง

เธอแวะมายังสำนักงานร้านค้าเพลเลส

“ดังนั้นพวกเราร้านค้าเพลเลสจึงได้กลายเป็นกลุ่มการค้าที่ครอบครองธัญพืชที่เพิ่งเก็บเกี่ยวผลผลิตในปีนี้ของทางใต้ไว้มากที่สุดครับ”

“ว้าว ทำงานได้ดีมากค่ะ ทั้งสองคน! ”

มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ

เพราะทางใต้เป็นพวกที่ถูกกลุ่มการค้าขนาดกลางไปถึงขนาดใหญ่ครอบครองตลาดการค้าเอาไว้อย่างเหนียวแน่น

แต่ผลลัพธ์ที่ได้หลังจากที่เครย์ลีบันกับไวโอเล็ต รวมถึงคนของร้านค้าเพลเลสทำงานกันตลอดวันตลอดคืนอย่างแข็งขัน ในที่สุดพวกเราก็สามารถซื้อธัญพืชได้ในปริมาณมหาศาล

“และก็เป็นไปอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ กลุ่มการค้าจำนวนมากได้ติดต่อขอสานสัมพันธ์ด้วยครับ”

“หากจะนำไปขายทางตะวันออก ก็ต้องเพิ่มเงินให้พวกเรานี่คะ”

“ใช่แล้วละครับ”

เครย์ลีบันยื่นกระดาษเขียนรายชื่อส่งให้เธอ

“นี่คือรายชื่อกลุ่มการค้าที่ติดต่อมาหาพวกเราจนถึงตอนนี้ครับ”

“เยอะพอตัวเลยนะคะเนี่ย งั้นไหนดูซิ…”

เธอกวาดสายตาไล่มองรายชื่อยาวเป็นหางว่าว

และก็ค้นพบชื่อที่เธอตามหาอยู่ที่บริเวณหางแถวของรายชื่อนั่น

“นี่ค่ะ ส่งสารไปแจ้งที่นี่ว่าพวกเราจะขายธัญพืชให้เขาประมาณ 1 ใน 4 ของที่เรามีค่ะ ปรับราคาให้ถูกลงหน่อยนะคะ”

“คะ ปริมาณมากขนาดนั้นเลยหรือคะ”

“ใช่ค่ะ แน่นอนว่าต้องแบ่งให้กลุ่มการค้ากลุ่มอื่นกลุ่มละนิดด้วยค่ะ ยังไงโลกนี้ก็ต้องกินต้องอาศัยไปด้วยกันอยู่แล้ว”

ถึงแม้ที่จริงแล้วเธอแค่ตั้งใจว่าจะลดความอิจฉาริษยา กับช่วงเวลาน่ารำคาญนี่ให้มันลดน้อยลงได้มากที่สุดเท่านั้นก็เถอะ

“อืมม…”

ไวโอเล็ตเอียงคอมองด้วยความงุนงง แต่แล้วเมื่อเห็นชื่อกลุ่มการค้าที่ปลายนิ้วของเธอจิ้มอยู่ นัยน์ตาของนางก็เบิกกว้างในทันที

“อ๊ะ ที่นี่เมื่อคราวก่อน…”

และหันมาจ้องหน้าเธอ

เธอยิ้มให้ไวโอเล็ตเพื่อสื่อว่าให้นางเชื่อมั่นในตัวเธอ

เพียงไม่นานไวโอเล็ตก็พยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะตอบ

“ทราบแล้วค่ะ ข้าจะส่งสารไปหา ‘กลุ่มการค้าเรด’ ตามที่สั่งค่ะ”