ภายในห้องประชุมขนาดใหญ่ที่ทางสภาขุนนางได้จัดการเปิดประชุม จักรพรรดิโยบาเนสตัดสินใจเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ด้วยตัวเอง

เพื่อที่จะได้จบการโต้เถียงอันดุเดือดเรื่องทางตะวันออกเมื่อคราวก่อน

“ใบหน้าของเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียวันนี้คงคุ้มที่ได้เห็นน่าดูเชียว”

เฟรดริก อังเกนัส พูดเย้ยหยันให้ขุนนางที่นั่งอยู่รอบด้านได้ยิน

“ฮ่าฮ่า! เฝ้ารอชมเลยละครับ!”

พวกคนรอบข้างที่เฝ้ารอเวลานี้อยู่ ต่างก็ยุ่งกับการพูดเสริมขึ้นมากันคนละประโยคสองประโยค

“หึๆ …”

เจ้าตระกูลอังเกนัสสั่นขาไปมา อยากให้การประชุมเริ่มไวๆ ได้แล้ว

ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เฟรดริก อังเกนัส แวะมาเยือนพระราชวังบ่อยเสียจนธรณีประตูวังแทบสึก

เขาเข้าพบองค์จักรพรรดิทุกวัน เกลี้ยกล่อมพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้เรียกเก็บภาษีจากทางตะวันออก

เพราะเหตุนั้นหลังจากความพยายามของเขา องค์จักรพรรดิที่ตอนแรกดูเหมือนจะไม่มีความเห็นอะไรนัก ก็เริ่มเอนเอียงมายังฝ่ายตนจนได้

ทุกครั้งที่เขาพูดเรื่องนี้ พระองค์ก็จะเอียงหูรับฟัง พยักหน้าตอบรับไปพลาง แสดงให้เห็นท่าทีตอบรับในด้านบวกเสมอ

ทุกครั้งที่ได้รับความไว้วางใจสั่งสมเพิ่มพูดขึ้นเรื่อยๆ เฟรดริก อังเกนัสก็แทบจะตะโกนกู่ร้องด้วยความดีใจ

ในที่สุดเขาก็จะสามารถเอาชนะรูลลัก ลอมบาร์เดียได้!

เรื่องทางตะวันออกจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ มันไม่เกี่ยวอะไรกับเขาอยู่แล้ว

แต่หากประเด็นการเมืองที่กำลังเป็นหัวข้อร้อนแรงอยู่ในตอนนี้จะสามารถกดจมูกของลอมบาร์เดียให้ต่ำลงได้ละก็ มันจะก่อให้เกิดความนัยอันใหญ่หลวง

องค์จักรพรรดิจะต้องช่วยสนับสนุนประคับประคองอังเกนัสแทน อำนาจของลอมบาร์เดียก็จะไม่เหมือนแต่ก่อนเฟรดริกคิดว่าเขาจะหัวเราะเยาะยามเห็นใบหน้าของรูลลัก ลอมบาร์เดีย ในตอนที่จักรพรรดิมีรับสั่งให้ ‘เก็บภาษีจากทางตะวันออกเสีย!’

ยิ่งคิดเช่นนั้นเจ้าตระกูลอังเกนัสก็ยิ่งอดใจรอไม่ไหว แต่แล้วในตอนนั้นเอง ประตูห้องประชุมก็พลันเปิดออก

“อืม?”

แต่องค์จักรพรรดิไม่ได้มาเพียงพระองค์เดียว

รูลลัก ลอมบาร์เดียมาพร้อมกับพระองค์

“ชิส์”

เฟรดริก อังเกนัสไม่ถูกใจภาพตรงหน้าเท่าไหร่นัก แต่เขาก็พยายามอดกลั้นความรู้สึกเอาไว้

รูลลัก ลอมบาร์เดีย ต่อให้เจ้านั่นมีลิ้นทองพูดคล่องแค่ไหน ก็ไม่มีทางเอาชนะความทุ่มเทที่เขาสั่งสมมาตลอดหลายวันได้แน่นอน

องค์จักรพรรดินั่งลงบนตำแหน่งสูงสุดของโต๊ะ การประชุมจึงเริ่มต้นขึ้น

ประธานในที่ประชุมกล่าวเปิดการประชุมสั้นๆ หลังจากนั้นก็ถึงคราวของจักรพรรดิในทันที

อึก

เฟรดริก อังเกนัสลอบกำหมัดแน่น

“เกี่ยวกับภัยแล้งอย่างหนักทางตะวันออกในปีนี้ เห็นว่าความเห็นของพวกเจ้าแบ่งเป็นครึ่งต่อครึ่ง”

เสียงทุ้มต่ำของโยบาเนสดังก้องไปทั่วห้องประชุม

“ข้าได้อ่านความเห็นของทั้งสองฝ่ายผ่านบันทึกการประชุม และได้พิจารณาไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว พูดตามตรงเรื่องนี้น่าลำบากใจจนเอนเอียงหาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ลำบากทีเดียว”

องค์จักรพรรดิหยุดพูดแค่นั้น ก่อนจะลูบเคราราวกับพระองค์เองก็รู้สึกลำบากใจมากจริงๆ

แค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ เฟรดริก อังเกนัสก็กระวนกระวายใจจนแทบบ้า

เขากำที่เท้าแขนเก้าอี้แน่นด้วยมือชื้นเหงื่อ

“แต่ข้าได้ตัดสินใจแล้ว”

ในที่สุด!

เฟรดริก อังเกนัส ยิ้มมุมปาก ในขณะที่หันไปมองรูลลัก ลอมบาร์เดีย

รูลลักเองก็กำลังมองมาทางด้านนี้เช่นกัน

แต่มันมีอะไรบางอย่างแปลกพิกล

มุมปากข้างหนึ่งของรูลลักค่อยๆ กระตุกขึ้นอย่างเชื่องช้า

หัวเราะทำไม

คนชนะคือข้าต่างหาก

ชั่วขณะ ลางสังหรณ์ร้ายพลันวาบผ่านขึ้นมาตามแนวสันหลัง

และโยบาเนสก็ประกาศแจ้งให้ทราบกันถ้วนหน้า

“ด้วยความสงสารในตัวเหล่าพลเมืองทางตะวันออกที่ได้รับความเจ็บปวดจากภัยแล้ง ปีนี้เราจะไม่เก็บภาษีพวกเขา”

“มะ ไม่ได้!”

เฟรดริก อังเกนัสเผลอตะโกนเสียงดัง

เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเผลอเสียมารยาท เขาก็รีบยกมือขึ้นตะครุบปากทันที แต่มันก็สายเกินไปแล้ว

จักรพรรดิขมวดคิ้วแน่นเป็นปม เหล่าขุนนางต่างหันไปมองเจ้าตระกูลอังเกนัสกันอย่างพร้อมเพรียง

“ไม่พอใจในคำตัดสินของข้าอย่างนั้นหรือ”

โยบาเนสถามเสียงกราดเกรี้ยว

“มะ ไม่ใช่อย่างนั้น…”

เฟรดริก อังเกนัส รีบใช้หัวสมองคิดหาคำแก้ตัวอย่างรวดเร็ว

“ปีก่อนก็เหมือนกัน…ปีก่อนก็ได้ยกเว้นภาษีให้ทางตะวันออกแล้วไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ถ้าปีนี้ยังทำเช่นนั้นอีก กระหม่อมเป็นห่วงว่าท้องพระคลังจะว่างเปล่า…”

“โฮ่ว ไม่นึกเลยนะ ว่าเจ้าตระกูลอังเกนัสจะรู้จักเป็นห่วงกระเป๋าเงินข้าด้วย”

สุดท้ายท้องพระคลังหลวงที่ว่านั่น อย่างไรก็เป็นทรัพย์สินขององค์จักรพรรดิ

ในเมื่อจักรพรรดิเป็นผู้ออกปากกล่าวว่าจะไม่เก็บภาษีทางตะวันออก ต่อให้ตัวเองต้องเสียผลประโยชน์ก็ตาม ความจริงแล้วคนเป็นขุนนางย่อมไม่สมควรพูดโต้แย้งอะไรอีก

ควรจะทำเพียงแค่หวังว่าภาระภาษีพวกนั้นจะไม่กระเด็นมาตกใส่หัวตัวเองก็พอ

“นะ แน่นอนสิพ่ะย่ะค่ะ อังเกนัสทำเพื่อฝ่าบาทเสมอ…”

“อืม ถ้าอย่างนั้นเพื่อข้าแล้ว ปีนี้อังเกนัสก็จ่ายภาษีให้เยอะหน่อยก็แล้วกัน”

“…พ่ะย่ะค่ะ”

เฟรดริก อังเกนัสแทบกัดลิ้นตัวเอง แต่เขาก็หลุดพูดมันออกไปแล้ว

“เพราะเจ้าข้าเลยค่อยเบาใจได้หน่อย ขอบใจมาก”

แบบนี้ก็เหมือนกับเขาประกาศต่อหน้าที่ประชุมว่า ปีนี้ตนจะจ่ายภาษีมากกว่าจำนวนที่จำเป็นต้องจ่ายน่ะสิ

“ถ้างั้นข้าขอตัว”

เมื่อหมดธุระ โยบาเนสก็ออกจากห้องประชุมไปในทันที

นี่เขาทำเรื่องบ้าอะไรลงไป

เฟรดริก อังเกนัสทรุดกายนั่งพิงพนักเก้าอี้ เขาได้แต่เหม่อมองภาพตรงหน้า

และสบตากับรูลลัก ลอมบาร์เดียอีกครั้ง

รูลลัก ลอมบาร์เดียกำลังยิ้ม

มันคือรอยยิ้มของผู้ชนะ

รอยยิ้มที่เฟรดริก อังเกนัสเคยคิดว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายได้ใช้มัน ในช่วงเวลาสุดท้ายยามประกาศชัยชนะ ก็คือรอยยิ้มนั่น ที่รูลลักกำลังยิ้มอยู่ในขณะนี้นั่นเอง

* * *