บทที่ 198: แล้วฉันล่ะ?

แม้ว่าหอประชุมโรซ่าจะมีประวัติความเป็นมายาวนานเพียงร้อยปี แต่การลงทุนหลายล้านเหรียญทองก็ได้เนรมิตให้มันเป็นอาคารที่งดงามที่สุดในเมืองโรซ่า หรือไม่ก็อาจจะสำหรับทั้งโลก มันมีชื่อเสียงโด่งดังระดับนานาชาติ ด้วยเหตุผลสองประการ

หนึ่ง มันใหญ่มากเสียจนมีสนามแข่งม้าเป็นของตัวเอง

สอง สถานที่จัดงานมีเพดานโปร่งใสที่ทำให้สามารถแหงนมองดูดาวได้

ชาวโซโรฟยามีพรสวรรค์ด้านการทำนายโดยกำเนิด และการศึกษากลุ่มดาวเองก็เป็นหนึ่งในวิธีการทำนายอนาคต เนื่องจากความเชื่อมโยงดังกล่าว การดูดาวจึงถือเป็นกิจกรรมที่สง่างามในเมืองโรซ่า ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ มันมีนัยยะสำคัญเกี่ยวกับความรักแฝงเข้ามาด้วย โดยการเชิญบุคคลอื่นที่เป็นเพศตรงข้ามมาดูดาวด้วยกันนั้น ถือเป็นการแสดงความสนใจในเชิงรักใคร่ต่ออีกฝ่าย

นั่นเป็นหนึ่งในความตั้งใจแรกของชาร์ล็อต ที่ทำให้เธอเชิญโรเอลไปดูดาวด้วยกัน

น่าเสียดายที่คืนนี้โรเอลไม่ได้ออกมาดูดาวด้วยกันกับเธอ แต่กลับนั่งอยู่คนเดียวบนระเบียงของสวนร้อยปักษา หันหน้าเข้าหาสายลมยามค่ำคืน

เด็กชายมองออกไปยังอาคารสูงตระหง่านใจกลางเมือง ที่เต็มไปด้วยเสียงครึกครื้นดังมาจากถนน โรเอลถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะจิบไวน์พาเมล่าที่วางอยู่บนโต๊ะเล็ก ๆ ข้างเก้าอี้ของเขา

อืม มันหวานจริง ๆ

อารมณ์ของโรเอลสงบลงเล็กน้อยด้วยรสชาติของแอลกอฮอล์

แน่นอนว่าโรเอลนั้นไม่ได้อยู่คนเดียวเพราะชาร์ล็อตทอดทิ้งเขา อันที่จริงเธอเชิญเขาไปงานเลี้ยงด้วยซ้ำ แต่หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว โรเอลก็ได้ปฏิเสธข้อเสนอของเธอไป

ส่วนเหตุผลงั้นเหรอ? นั่นก็เพราะโรเอลต้องการหลีกเลี่ยงไม่ให้ความขัดแย้งทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก

ถ้ามีเพียงแค่อลิเซียเท่านั้นที่เดินทางมาที่นี่เพื่อรับเขา โรเอลในฐานะตัวแทนผู้ปกครองเขตการปกครองแอสคาร์ด คงจะไม่ได้กังวลอะไรมากนัก อย่างน้อย ๆ เขาก็สามารถแสดงจุดยืนของตนเองได้ ทว่าผู้นำกลุ่มในครั้งนี้คือคาร์เตอร์ บิดาของเขาเอง ทำให้คำพูดของเขาจะอ่อนลงไปมาก

ในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล คาร์เตอร์เป็นบิดาของเขา เป็นคนที่โรเอลควรจะเคารพ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นถึงผู้นำตระกูลแอสคาร์ดอีกด้วย ซึ่งหมายความว่าเขามีสิทธิ์สูงสุดหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตระกูล

ในแง่ของจุดยืน​ คาร์เตอร์เป็นขุนนางที่ได้รับการแต่งตั้ง ซึ่งสูงกว่าตำแหน่งของโรเอลในฐานะตัวแทนผู้ปกครองเขตการปกครองแอสคาร์ดมาก

ถ้าโรเอลไปที่งานเลี้ยงแล้วคาร์เตอร์ขอให้กลับไปที่เขตการปกครองแอสคาร์ดในทันที เขาจะทำยังไง? ทิ้งชาร์ล็อตแล้วไปเลยงั้นเหรอ? หรือเขาจะขัดคำสั่งของบิดา ยืนกรานที่จะอยู่ที่นี่ต่อ?

เห็นได้ชัดว่าไม่มีตัวเลือกไหนดีสักข้อ เนื่องจากไม่มีวิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสม​ โรเอลจึงตัดสินใจที่จะไม่เข้าร่วมงานมันซะเลย ถึงแม้ว่าการหลบหนีของเขานั้นจะน่าละอาย แต่มันก็ได้ผล

ระหว่างที่โรเอลกำลังสวดอ้อนวอนเพื่อสันติภาพของโลก เขาไม่รู้เลยว่าเมฆฝนได้ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นเหนือเด็กสาวสองคนในห้องจัดเลี้ยง สร้างแรงกดดันอย่างหนักราวกับพายุอันรุนแรงได้พัดผ่านเข้ามา

กลับมาที่หอประชุมโรซ่า ชาร์ล็อตและอลิเซียต่างจ้องมองกันด้วยรอยยิ้มอันสุภาพไร้ที่ติ ไม่มีใครเผยธาตุแท้ออกมาแม้แต่น้อย การที่พวกเธอยืนใกล้กันเช่นนี้ ทำให้ผู้คนตีความว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด สนิทสนมกันด้วยมิตรภาพอัน ‘สวยงาม’ ซึ่งดึงดูดความสนใจจากแขกรอบ ๆ ได้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง​ ด้วยรูปลักษณ์อันมีเสน่ห์และตำแหน่งที่โดดเด่นของทั้งสอง

เด็กสาวจากตระกูลขุนนางเริ่มสนทนากันอย่างตื่นเต้น ในขณะที่ชายหนุ่มจากตระกูลขุนนางต่างก็มองไปทางพวกเธอด้วยความกังวลใจ เด็กสาวสองคนนี้เป็นคู่ครองที่ผู้ชายในโรซ่าต้องการตัวมากที่สุด และมันคงจะทำลายหัวใจของพวกเขาจนแหลกเละ หากพวกเธอทั้งสองคนจบลงด้วยการเลือกกันและกัน

พวกเขาไม่รู้เลยสักนิดว่าภายใต้รอยยิ้มอันอบอุ่นนั้นมีมีดอันคมกริบซ่อนอยู่

“คุณชาร์ล็อต คุณคิดว่าท่านพี่จะเป็นของคุณเพียงเพราะคุณพาเขาออกจากเขตการปกครองแอสคาร์ดงั้นเหรอ? หึ ช่างเป็นการต่อสู้ที่ไร้ประโยชน์สิ้นดี คุณอยากจะทำให้ตัวเองขายหน้าเหรอคะ?”

“การต่อสู้ที่ไร้ประโยชน์? เดี๋ยว​พวกเราจะได้เห็นดีกัน ตอนนี้ทุกอย่างอาจจะยังไม่เข้าที่เข้าทางก็จริง แต่ขอถามหน่อยสิ คุณอลิเซีย คุณมีจุดยืนอยู่ตรงไหนกันแน่ในเรื่องนี้? ดิฉันกับโรเอลเป็นคู่หมั้นกัน ไม่ใช่เหรอ?”

ชาร์ล็อตหมุนแก้วไวน์ในมือด้วยรอยยิ้มอย่างมั่นใจ พลางมองอลิเซียด้วยดวงตาที่หรี่ลงเล็กน้อย

“ในฐานะน้องสาวบุญธรรมที่ไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดของโรเอล คุณไม่คิดว่าตัวเองกำลังรบกวนความสัมพันธ์ของเขามากเกินไปงั้นหรือ?”

“สายสัมพันธ์ระหว่างดิฉันกับท่านพี่เป็นนิรันดร์ ต่อให้เราจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด มันก็ไม่ได้สำคัญเลยไม่ใช่เหรอคะ? อันที่จริงมันเป็นประโยชน์สำหรับดิฉันเลยด้วยซ้ำ ”

“อย่างที่ดิฉันคิดไว้จริง ๆ คุณวางแผนที่จะเป็นมากกว่าแค่เป็นพี่น้องของเขา… น่าเสียดายที่คุณไม่ได้เป็นภัยคุกคามในสายตาของดิฉันเลย”

ชาร์ล็อตพูดพร้อมมองดูอลิเซียที่กำลังขมวดคิ้วด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ

“ดิฉันจะไม่ปฏิเสธว่าระหว่างคุณกับโรเอลมีสายสัมพันธ์อันลึกซึ้ง มันเป็นสิ่งที่พวกคุณสร้างขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ และดิฉันไม่สามารถที่จะแข่งขันกับมันได้ น่าเสียดายที่คุณยังไม่เข้าใจถึงความรัก คุณได้แต่เลือกเดินไปบนเส้นทางที่คุณไม่ควรเลือก”

ชาร์ล็อตมองดูอลิเซียด้วยความเห็นอกเห็นใจ ก่อนที่เธอจะเงยหน้าขึ้นมองออกไปไกล ๆ ไปทางสวนร้อยปักษาด้วยสายตาอันอ่อนโยน

“แม้โรเอลจะเป็นผู้ชายที่มีอารมณ์อ่อนไหว แต่เขาก็ไม่ใช่คนฉลาดหลักแหลมอะไร เขาขาดความอ่อนไหวหากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ความรักที่คุณมีต่อเขาอาจจะชัดเจนสำหรับคนอื่น แต่สำหรับโรเอลที่โตมากับคุณ เขามองเห็นมันเป็นเพียงความรักแบบเครือญาติเท่านั้น คุณคิดว่าชัยชนะอยู่ในกำมือของตัวเอง แต่ในความเป็นจริง คุณแพ้การต่อสู้นี้ไปแล้วตั้งแต่แรก”

“…”

เมื่อต้องเผชิญกับการวิเคราะห์ที่ไร้ซึ่งความปราณีของชาร์ล็อต อลิเซียก็ก้มศีรษะลงและกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ ถ้อยคำเหล่านี้แทงทะลุหนามที่ปักอยู่ในใจของเธอ แต่ครู่ต่อมาเด็กสาวก็ตั้งสติกลับมาเป็นปกติ

“อย่างที่ดิฉันบอกคุณ ดิฉันแค่ยังไม่ได้เคลื่อนไหวค่ะ”

“ไม่ ไม่มีอะไรที่คุณจะทำได้อีกแล้ว…”

“ไม่”

อลิเซียหักล้างคำตัดสินของชาร์ล็อตอย่างใจเย็น เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์สีเงินบนท้องฟ้า ซึ่งสะท้อนความงดงามของมันเข้าที่นัยน์ตาสีแดงของเธอ

“สามครั้ง”

“อะไร?”

“ในวันที่คุณพรากท่านพี่ไปจากดิฉัน เขาคิดถึงดิฉันอย่างน้อย ๆ ก็สามครั้ง และพูดออกมาดัง ๆ โดยไม่รู้ตัวอย่างน้อยหนึ่งครั้ง”

“!”

ชาร์ล็อตนึกถึงเสียงบ่นของโรเอลที่เทือกเขาโวรุนขึ้นมาในทันที นัยน์ตาของเธอขยายออกด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นได้ถึงดวงตาที่กำลังตื่นตกใจของอีกฝ่าย ริมฝีปากของอลิเซียก็ขดขึ้นเป็นรอยยิ้ม

“… ดูเหมือนว่าดิฉันจะพูดถูกสินะคะ”

“หืม แล้วมันจะทำไมกันล่ะ? มันเป็นเรื่องปกติที่จะต้องคิดถึงญาติพี่น้องอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ เมื่อต้องออกจากบ้านเป็นระยะเวลานาน?”

“เรื่องปกติ? นั่นก็อาจจะใช่ อย่างที่คุณพูด ความเป็นเครือญาติของพวกเราคืออุปสรรคอันใหญ่หลวงของดิฉัน อย่างไรก็ตาม มีบางสิ่งที่ถูกปลูกฝังขึ้นมาในช่วงเวลานั้น ยกตัวอย่างเช่น… การพึ่งพาอาศัยกัน”

อลิเซียค่อย ๆ หมุนแก้วไวน์ในมือ จ้องไปยังแอลกอฮอล์สีเหลืองอ่อนอย่างจดจ่อ หวนนึกถึงวันเวลาอันยาวนานที่พวกเขาได้ใช้เวลาร่วมกันที่คฤหาสน์ตระกูลแอสคาร์ด

“ระหว่างที่พวกคุณคิดว่าดิฉันยังไม่ได้ทำอะไร ท่านพี่ก็ไม่สามารถออกจากข้างกายของดิฉันได้แล้ว เขาไม่สามารถปฏิเสธดิฉันได้”

อลิเซียเผยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ ทำให้ชาร์ล็อตอึ้งไปทันทีที่ได้ยินคำพูดของเธอ ชาร์ล็อตไม่เคยจินตนาการถึงอะไรแบบนี้จากคู่ต่อสู้ของเธอ มันได้กระตุ้นระฆังเตือนอันตรายในใจของเธอขึ้นมาในทันที

“เข้าใจแล้ว นั่นคือไพ่ตายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคุณงั้นสินะ? ดิฉันขอยอมรับว่าคุณทำให้ดิฉันตกใจ อย่างไรก็ตาม น่าเสียดายที่มันจะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไปแล้ว อย่างน้อย ๆ คุณก็ไม่สามารถที่จะคุกคามดิฉัน ด้วยจุดยืนของคุณในตอนนี้ได้”

“แล้วถ้าเป็นข้าล่ะ ชาร์ล็อต โซโรฟยา”

ทันทีที่ชาร์ล็อตพูดจบ อีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากที่ไม่ไกลนัก หลังจากนั้นร่างของเด็กสาวผมทองก็ปรากฏลงมาจากท้องฟ้า

นอร่า เซไซต์ได้มาถึงที่นี่แล้ว