บทที่ 221 แผนการ

หลู่ฟางและชุยหยันหลันเห็นด้วยในเรื่องนี้ และเว่ยฉิงเชินเองก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ

ในฐานะของผู้นำกองกำลังเทียนเว่ยในตอนนี้ในฐานะที่เป็นรองกัปตัน จางหยวนจึงได้ไปพูดคุยกับหลู่ฟางก่อนเป็นอันดับแรก “ศิษย์พี่หลู่ ถึงแม้ว่าระดับการบ่มเพาะของข้าจะไม่ได้ดีสักเท่าไหร่ แต่ข้ายังมีความเร็วที่เหนือล้ำกว่าใครในที่นี้”

“เอาอย่างนี้เป็นเช่นไร ในขณะที่สำรวจกันอยู่นั้น ข้าจะเป็นคนสำรวจพื้นที่ ในขณะที่เจิ้งยี่จะติดตามข้าไป ศิษย์พี่หลู่นั้นอยู่รอก่อน เมื่อข้าพบอะไรจะแจ้งมาให้ทราบ ท่านคิดว่ายังไง”

หลู่ฟางยิ้มขึ้นมาและพยักหน้ารับในทันที “จางหยวน เจ้าเองก็อยู่ในกองกำลังเทียนเว่ยมานานแล้วสมควรจะมีประสบการณ์ต่อสู้มากมาย ดี ข้าตกลง”

หลังจากพูดคุยกันจบแล้ว ทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักและรอเจิ้งยี่กลับมา

เจิ้งยี่นั้นพยายามไล่มตามเฉินเฉียงอย่างสุดความสามารถ แต่ก็หาร่องรอยของเขาไม่พบ ในที่สุด เขาจึงได้ส่งข้อความไปหาเฉินเฉียง และนั่นทำให้เฉินเฉียงผุดขึ้นมาจากผืนดิน

ในตอนนี้นั้นเฉินเฉียงยังมีสีหน้าที่ซีดเผือดพร้อมรอยเลือดที่ไหลออกมาจากมุมปาก พร้อมกับจิตวิญญาณที่ไม่คงที่ นี่ทำให้เมื่อเขาออกมาจากดินแล้วก็ยังคงนั่งเรียบแต้กับพื้นพลางหายใจอย่างหนักหน่วง

“กัปตัน ท่านเป็นยังไงบ้าง” เมื่อเห็นฉากนี้ เจิ้งยี่รีบเข้ามาเพื่อที่จะรีบช่วยพยุงตัวเขาในทันที

“อย่าแตะข้า” เฉินเฉียงรีบกลิ้งตัวหลบในทันที “เลือดของข้าเป็นพิษร้ายแรง ให้เจ้าแตะมันข้าเองก็ช่วยเจ้าไม่ได้”

หลังจากพูดจบแล้ว หลังจากหอบหายใจอย่างหนักอีกสักพักหนึ่ง เฉินเฉียงก็ได้ยิ้มออกมาราวกับพึงพอใจอะไรบางอย่าง

“หึหึหึ วิชาราชสีห์คำรามของศิษย์พี่ใหญ่ช่างทรงพลังนัก ข้ายังจดจำได้ถึงตอนอยู่ในสำนักเต่าดำอยู่เลย นี่เป็นอีกครั้งที่พ่ายแพ้ให้กับวิชานี้”

“จากประสบการณ์ในตอนนั้น ข้าต้องรีบฟื้นฟูพลังชีวิตและปิดแผลในเส้นเลือดหัวใจ ไม่อย่างนั้นละก็ข้าคงต้องตกตายไปอีกครั้ง”

หลังจากนั้นเขาก็ได้นำเม็ดยาฟื้นฟูโยนเข้าปากไป ก่อนที่จะส่งแผ่นแก่นพลังงานที่ขโมยมาจากกองกำลังของหลิวหมิง

“กัปตัน ท่านทำอะไรน่ะ นี่มันจะไม่เกินไปหน่อยเหรอ”

เฉินเฉียงส่ายหัวไปมาและพูดออกไป “เจิ้งยี่ พวกเรานั้นตกลงกันแล้วว่าจะไม่ให้ใครรับรู้ว่าข้าอยู่ที่นี่ พวกเราก็ต้องเล่นมันให้จบ”

มอบสิ่งนี่ให้กับเม่ยหลัวหลันและเทพเงินตรา เจ้านั้นต้องแสดงสิ่งนี้ให้เห็นว่าทุกอย่างมันจบลงแล้วจริงๆ และเจ้าสมควรที่จะทำมัน

อย่างไรก็ตาม ข้าแนะนำให้เจ้าเก็บมันไว้ให้ดีๆซะล่ะ

สำหรับแผ่นแก่นพลังงานและแก่นวิญญาณนี้เจ้าก็พยายามเก็บมันไว้ให้ดีแล้วใช้พวกมันในการบ่มเพาะ

“ไม่ต้องกังวล กัปตัน ข้าเข้าใจดี”

เฉินเฉียงได้พยักหน้าอย่างพึงพอใจก่อนจะพูดต่อ “เจิ้งยี่ ในตอนนี้ชิงเฉินและศิษย์พี่ใหญ่มาร่วมกับพวกเราแล้ว แผนการของเราที่วางไว้คงเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป”

ตอนที่ข้าได้ยุแหย่มนุษย์กลายพันธุ์กองนั้นก่อนหน้านี้ทำให้ข้ารับรู้มาว่าสถานะของฉิงเชินนั้นถูกพวกมนุษย์กลายพันธุ์รับรู้แล้ว แถมยังมาจากสายลับของพวกมันที่ยังแฝงตัวอยู่เผ่าพันธุ์ซะอีก

นี่คือเหตุผลที่ว่าข้านั้นคิดว่าภารกิจของเราในตอนนี้คือการหาสายลับของศัตรูในเผ่าพันธุ์

ไม่อย่างนั้นละก็ หากพวกเราออกไปจากที่นี่ได้ ไม่รู้ว่าจะมีมนุษย์กลายพันธุ์อีกสักเท่าไหร่ที่จะปะปนในเผ่าพันธุ์มนุษย์

หากข้าไม่รีดพิษร้ายนี้ออกให้หมด พวกมันจะกลายเป็นหายนะของเผ่าพันธุ์ของเราในภายภาคหน้า

เจิ้งยี่เองก็มีท่าทีเห็นด้วยในทันที “กัปตัน ท่านพูดถูกต้องแล้ว แต่พวกเราจะตรวจสอบได้ก็เพียงแต่มนุษย์กลายพันธุ์ธรรมดาด้วยการส่งเสียงผ่านจิตวิญญาณและการโจมตีทางจิตเพียงเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้นหากที่ท่านพูดออกมาก่อนหน้านี้นั้นเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงมนุษย์กลายพันธุ์ในขณะที่มีชีวิตอยู่นั่น แล้วพวกเราจะพบพวกมันได้ยังไง”

“ในตอนนี้ข้าเองก็ยังไม่มีวิธีการแยกแยะพวกนักรบมีชีวิตกับเผ่าพันธุ์ของเราดีสักเท่าไหร่นัก แต่เรื่องนี้ปล่อยไว้ไม่ได้จริงๆ ข้าจึงคิดแผนการที่รุนแรง และให้จางหยวนเป็นคนลงมือ”

เจิ้งยี่พยักหน้ารับและก็สังเกตเห็นว่าจางหยวนส่งข้อความมาหาเขา เขาจึงยืนขึ้นและรีบจากไป

เมื่อเขากลับไป เมื่อจางหยวนเห็นเจิ้งยี่ก็วิ่งเข้ามาหาในทันที

หลังจากเฉินเฉียงจากไปแล้ว คนในกองกำลังเทียนเว่ยต่างก็เป็นห่วงเขาในอาการบาดเจ็บที่แสนจะหนักหน่วงนั่น

เมื่อเห็นเจิ้งยี่มาถึง กัวเหลียงก็รีบถามออกมา “เจิ้งยี่ ศิษย์น้องเป็นยังไงบ้าง บาดเจ็บหนักรึเปล่า”

เจิ้งยี่ได้หันไปก็เห็นคนในกองกำลังเทียนเว่ยมองมาที่ตน เขาจึงมองตอบด้วยท่าทีเบาใจ

ฉิงเชินเองที่กำลังตื่นตัวอยู่นั้น ก็สังเกตเห็นและรับรู้อะไรบางอย่างจากท่าทีของคนในกองกำลังเทียนเว่ย

นี่ทำให้เธอเชื่อว่าคนที่เจ็บหนักโดยหลู่ฟางนั้นเป็นพี่ใหญ่เฉินเฉียงของเธออย่างแน่นอน

และคนในกองกำลังเทียนเว่ยเองย่อมต้องรับรู้เรื่องนี้ เพียงแต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้พี่ใหญ่เฉินเฉียงของเธอไม่อาจจะเผยตัวออกมาได้ คงต้องเป็นแบบนั้นสินะ

อื้ม ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ

เมื่อเห็นว่าจางหยวนกำลังจะเป็นคนออกไป หลู่ฟางที่แต่เดิมก็เป็นหัวหน้ากองกำลังของตนก็มีท่าทีจะติดตามไป แต่เขาเองก็ถูกหยุดไว้โดยเจิ้งยี่ที่พึ่งจะมาถึง

“พี่หลู่ พวกเราคุยกันแล้วว่าจะให้กัปตันจางเป็นคนออกไปสำรวจก่อนไม่ใช่เหรอ พวกเรารอเขาส่งข่าวมาก่อนแล้วพวกเราค่อยเคลื่อนไหว วิธีการนี้จะปลอดภัยกว่า”

หลู่ฟางเองพยักหน้าและยอมรับในเรื่องนี้

ด้วยการที่หลู่ฟางเองนั้นกับเคยได้ยินชื่อเสียงของเจิ้งยี่มานานแล้ว แน่นอนว่าเขาย่อมรับรู้ดีว่าชายคนนี้คืออันดับหนึ่งแห่งสำนักมังกรอาชูร่าแห่งยุคสมัยนี้

อย่างไรก็ตาม เขานั้นไม่คิดว่าเจิ้งยี่ที่แกร่งกล้าที่สุดในรุ่นเดียวกันกลับเลือกที่จะเข้าร่วมกองกำลังเทียนเว่ยร่วมกับศิษย์น้องของเขา แถมยังอยู่ใต้บังคับบัญชาของจางหยวนได้เสียอีก

นี่เป็นสิ่งที่ยากจะได้เห็นสำหรับเขา

ด้วยความสามารถของเจิ้งยี่แล้วนั้น เขานั้นสมควรจะมีอนาคตที่ดีกว่าหากไปอยู่ตึกจอมพลภาคกลาง

และนี่ทำให้หลู่ฟางไม่คิดจะดูถูกเจิ้งยี่ในการตัดสินใจของเขา เขานั้นยิ่งสนใจในตัวเจิ้งยี่เสียด้วยซ้ำ

ชายหนุ่มอัจฉริยะผู้ซึ่งยอมทำตัวตกต่ำย่อมเป็นที่ต้องตาของผู้คน

หลังจากจางหยวนแยกออกมาจากกองกำลังแล้ว เขาพุ่งตรงไปอีกประมาณสองพันเมตร จึงได้เห็นเฉินเฉียงรอคอยเขาอยู่เบื้องหน้า

“กัปตัน”

จางหยวนได้วิ่งเข้ามาหาเฉินเฉียงตรงหน้าก่อนที่จะถามออกมา “นี่คือผลจากวิชาราชสีห์คำรามของพี่หลู่งั้นเหรอ”

“ไม่เป็นไรน่า”

หลังจากนั้นเฉินเฉียงก็ได้บอกเล่าแผนการของตนให้กับจางหยวน

“กัปตัน ท่านมีวิธีดีๆที่จะแยกมนุษย์กลายพันธุ์ออกจากกลุ่มของเราอย่างนั้นเหรอ”

เฉินเฉียงพูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “ถึงแม้ว่าข้านั้นจะแยกมนุษย์กลายพันธุ์ออกจากคนอื่นไม่ได้โดยง่าย แต่ข้าคิดว่าพวกมันต้องหาทางลิดรอนพวกเรา ยกตัวอย่างเช่นมาฆ่าเจ้าล่ะนะ”

หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงก็ได้สยายปีกและพุ่งขึ้นฟ้าไป

“จางหยวน เจ้าตามหลังข้าสักพันห้าร้อยเมตรแล้วกัน หากมีอะไรเกิดขึ้น ข้าจะช่วยเจ้าเมื่อถึงตอนนั้น”

เมื่อเห็นเฉินเฉียงบินจากไป จางหยวนก็ได้เปิดสวิตซ์กำไลสื่อสาร และส่งข้อความบอกเจิ้งยี่ให้เฝ้าระวังสถานการณ์

เฉินเฉียงได้บินห่างไปพันเมตรเห็นจะได้ หลังจากนั้นเขาได้ใช้กระแสจิตแทนตาของตน รับรู้สถานการณ์โดยรอบในระยะพันเมตร

อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงก็ได้รักษาระยะห่างจากจางหยวนเอาไว้ในระดับที่ว่าสามารถพุ่งเข้าไปช่วยเหลือได้เมื่อถึงเวลาจำเป็น

สองวันให้หลัง เฉินเฉียงที่บินอยู่บนฟ้าก็ได้พบเข้ากับกองกำลังหนึ่ง

กองกำลังนี้มีผู้คนอยู่ประมาณยี่สิบ ครึ่งหนึ่งเป็นนักรบวิญญาณขั้นสูง

และเพื่อไม่ให้ผิดพลาด เฉินเฉียงได้ลดระดับการบินลง และหลังจากที่อยู่ห่างไปสักร้อยเมตร เขาก็ได้ใช้การสะกดจิตกับทั้งยี่สิบคนในทันที

และนี่ทำให้ทั้งยี่สิบคนนี้มีอาการตอบสนองในทันใด

จากสิ่งที่เห็นนี้ เขาพออนุมานได้ว่าหากทั้งหมดไม่ใช่เผ่าพันธุ์มนุษย์จริงก็เป็นมนุษย์กลายพันธุ์ที่เป็นพวกนักรบมีชีวิต

“ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้มนุษย์เวรตะไล พบเจอนายท่านผู้นี้ได้ พวกเจ้าช่างโชคร้ายนัก”

เฉินเฉียงได้กัดฟันพูดออกมา ก่อนจะสยายปีกที่ยาวกว่าเจ็ดเมตรร่อนลงจากฟ้า ลงจอดที่พื้นดินต่อหน้าทั้งยี่สิบคน