บทที่ 197 เกมนี้ช่างกากเกินคำบรรยาย...

ขาดทุนไม่อั้น ขอแค่ฉันได้เป็นเศรษฐี

“นี่ฉันเพิ่งเล่นอะไรไปเนี่ย…”

หลินหวานปิดโน้ตบุ๊กแล้วเริ่มครุ่นคิด

เกมชื่อเพลงรบโลหิต เป็นเกมที่เปลี่ยนมาตรฐานเกมของหลินหวานไปเลย

มีเกมกากแบบนี้ในโลกด้วยเหรอ!

ถึงจะอัปเดตมาแล้วแต่ก็เปลี่ยนแค่ระบบการเล่นกับการออกแบบบางอย่าง

ถึงจะอัปเดตยังไง เกมเพลงรบโลหิตก็ยังเป็นแค่เกมเล่นผ่านเว็บเบราว์เซอร์ ตั้งแต่เริ่มเล่นเกม เธอพบเหตุผลมากมายให้หยุดเล่นเกมนี้

กราฟิกเกมห่วยแตก มีแต่งานภาพจากชาติที่แล้ว ตัวละครในเกมแต่งกายด้วยชุดเกราะดาดๆ ไร้รสนิยม เอฟเฟ็กต์สีทองที่ห่อหุ้มตัวก็ดูเว่อร์เกินเหตุ แต่ละตัวมีปีกหลากสีติดอยู่กลางหลังอีก

ฉากหลังก็ดูมั่วซั่ว โดยเฉพาะในเมืองหลักที่ผู้เล่นมารวมตัวกัน แต่ละคนใส่ชุดเกราะหลากสีสัน บนหัวตัวละครมีข้อมูลยุ่บยั่บ ทั้งไอดี ชื่อกิลด์ ชื่อตัวละคร และอื่นๆ ทำให้หน้าจอดูมั่วซั่วไปหมดจากข้อมูลต่างๆ ที่ไม่ได้จำเป็นนัก

ตัวเกมอนุญาตให้กรองผู้เล่นคนอื่นได้ ทำให้ตอนเริ่มเกมสามารถหาตัวละครของตัวเองเจอได้ง่ายๆ

แต่ถ้าใช้ระบบนี้ก็จะพบความจริงอันแสนโหดร้าย เพราะฉากดูร้าง ไม่มีชีวิตชีวา ยิ่งฉากที่ไม่ค่อยสวยยิ่งเห็นชัด

เพลงประกอบเกมทำให้รู้สึกเหมือนได้ย้อนอดีตไปสิบปี เพลงไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผู้เล่นรู้สึกอินกับเกม

ที่สำคัญที่สุดเลยคือ เกมต้องเล่นผ่านเว็บ

หมายความว่าทรัพยากรงานภาพต้องมีการดาวน์โหลดใหม่ตลอด

ทุกครั้งที่เข้าแผนที่ที่มีฉากใหม่ หน้าจอก็จะเด้งแถบดาวน์โหลดขึ้นมาก่อนเพราะต้องดาวน์โหลดทรัพยากรใหม่ บนแถบหน้าจอเขียนกำกับไว้ว่า ‘กำลังดาวน์โหลดทรัพยากร’

ตัวละครผู้เล่นจะมืดไป พอผ่านไปสักพักฉากหลังถึงจะปรากฏขึ้นมา

เวลาอยู่ในแผนที่ที่มีการเปลี่ยนฉากบ่อยๆ ผู้เล่นจะต้องรอโหลดรัวๆ จนรู้สึกเหมือนเกมค้าง

ระบบการเล่นยิ่งไม่มีอะไรเลย ผู้เล่นทุกคนแค่ต้องฆ่ามอนสเตอร์ ปั่นเลเวล ทำภารกิจ ถ้าจะให้นิยามเกมก็คงเป็น ‘ล้าสมัยและน่าเบื่อ’

หลินหวานย่นจมูกตลอดห้านาทีที่ลองเล่นเกม ระหว่างเล่นเธอคิดเพียงอย่างเดียว

เกมชั้นต่ำ!

ถึงเอาเงินมาจ้าง เธอก็ไม่ยอมเล่น

หลินหวานเริ่มรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเอง

เธอเชื่อบอสเผยสุดใจ ถึงยอมรับหน้าที่นี้โดยไม่คิดอะไรมาก

หลินหวานพอจะรู้สถานการณ์ของฉางหยางเกมส์มาบ้างว่าเป็นบริษัทเจ้าของเกมที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ

แต่เธอก็ไม่คิดว่าเกมมันจะแย่ขนาดนี้

ในมุมมองของหลินหวาน เกมนี้สถานการณ์ย่ำแย่กว่าเกมกระสุนเพชฌฆาตของเทียนหัวสตูดิโอหลายเท่า

หลังจากได้ลองเล่นเกมเพลงรบโลหิตดู เธอก็พบว่ามันไม่ได้แค่แย่ แต่ยังล้าสมัยมาก!

เกมนี้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนได้ย้อนอดีตไปสิบปี

พอได้เล่นไปสักพัก นอกจากจะรู้สึกอึดอัดแล้ว เธอยังเริ่มคลางแคลงการตัดสินใจของบอสเผยขึ้นมา

ทำไม…บอสเผยถึงซื้อบริษัทนี้มานะ

จะมองมุมไหน บริษัทนี้ก็ไม่ควรจะยังมีชีวิตรอดอยู่ในตลาด!

บริษัทควรตายหายไปได้แล้ว คนที่สร้างเกมนี้ก็ควรลาออกไปทำงานที่อื่น ถ้าไม่มีบริษัทไหนรับก็ควรเปลี่ยนสายงานไปเลย

ดูจากผลงานแล้ว หลินหวานคิดว่าคนที่สร้างเกมนี้ไม่ควรทำงานในอุตสาหกรรมเกมต่อ!

แต่บอสเผยดันซื้อกิจการต่อซะงั้น แถมว่ากันว่าบอสปั้นพนักงานและแนะนำให้ปรับเปลี่ยนอะไรในบริษัทใหม่ด้วยตัวเองอีก

เกมที่หลินหวานเพิ่งเล่นไปคือเกมที่บอสเผยปรับแล้ว แต่ดูยังไงก็ชัดเจนมากว่าเกมนี้ไม่มีทางทำกำไรได้

หลินหวานเอนหลังพิงเก้าอี้ เธอไม่อยากย้ายไปที่นู่นแล้ว

ถ้าได้ค้นคว้าและพัฒนาเกมกลับใจคือฟากฝั่งที่เถิงต๋าต่อจะดีแค่ไหนกันนะ

มีบอสเผยอยู่ช่วยดูแลบริษัท ยังไงเกมก็ต้องออกมาเป็นที่นิยมชมชอบ ยอดขายคงพุ่งเฉียดฟ้า ในฐานะหนึ่งในทีมผู้พัฒนา หลินหวานคงจะรู้สึกภูมิใจไปด้วย

แต่ตอนนี้เธอกลับถูกย้ายไปฉางหยางเกมส์เพื่อพัฒนาเกมเพลงรบโลหิต กลายเป็นหนังคนละม้วนไปแล้ว!

เธอไม่ได้คิดแล้วว่าตัวเองจะทำเกมออกมาได้สำเร็จหรือเปล่า เพราะถึงจะคลอดเกมออกมาได้ ยังไงก็คงโดนชาวเกมเมอร์รุมด่าเละอยู่ดี!

หลินหวานคงอับอายมากแน่ถ้าต้องบอกเพื่อนๆ ว่าเธอเป็นคนรับผิดชอบเกมนี้

แต่พอนึกได้ว่าบอสเผยเป็นคนจัดแจงเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เธอก็คิดว่ามันน่าจะมีอะไรที่ลึกซึ้งกว่านี้ซ่อนอยู่

เพราะตอนที่คุยกัน บอสเผยดูจะตั้งความหวังกับเธอไว้มาก นอกจากจะรับหน้าที่เป็น ‘ตัวกลางสื่อสาร’ แล้ว เธอยังรับบทบาทเป็น ‘ผู้นำพาจิตวิญญาณของเถิงต๋า’ ด้วย

ถ้ายอมแพ้เอาตอนนี้ เธอคงจะไม่มีวันเข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของบอสเผย…

การจัดแจงย้ายเธอไปที่อื่นในครั้งนี้น่าจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้น

หลินหวานครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจได้

ยังไงบอสเผยก็ยังเก็บโต๊ะทำงานของเธอที่เถิงต๋าไว้ให้อยู่ อยากจะกลับมาตอนไหนก็ได้เสมอ เธอจึงควรเลือกท้าทายตัวเองที่ฉางหยางเกมส์ เพราะนี่คือโอกาสที่ไม่ได้มาง่ายๆ

ฉางหยางเกมส์

ในห้องประชุม

เยว่จือโจว หวังเสี่ยวปิน และคนอื่นๆ แอบมองหลินหวานที่นั่งอยู่โต๊ะฝั่งตรงข้ามด้วยแววตาหวาดหวั่น

หลินหวานที่เพิ่งมาถึงฉางหยางเกมส์ถือสมุดเล่มเล็กเข้ามาพร้อมทำตัวเป็นเด็กใหม่เพื่อเรียนรู้งาน

แต่สำหรับคนอื่นๆ แล้ว สมุดในมือเธอทำให้ทุกคนรู้สึกกดดันหนัก

พวกเขารู้สึกอึดอัดและหวั่นเกรงหัวหน้าคนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาจากเถิงต๋า

ประเด็นคือพวกเขาไม่รู้ว่าบอสเผยกำลังคิดอะไรอยู่

บอสเชื่อมั่นในฉางหยางเกมส์หรือเปล่า

จะตอบว่าไม่ก็ไม่ได้ เพราะบอสปล่อยให้ฉางหยางเกมส์วางแผนและพัฒนาเกมใหม่ขึ้นมาเอง หัวหน้าฝ่ายวางแผนคนใหม่ก็เป็นเด็กใหม่ในฉางหยางเกมส์เอง โครงสร้างการทำงานในบริษัทก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร

แต่จะตอบว่าใช่ก็ไม่ได้อีก ไม่อย่างนั้นทำไมถึงต้องส่งคนจากเถิงต๋าเข้ามาตอนที่กำลังจะสร้างเกมใหม่ด้วยล่ะ

ตามที่บอสเผยบอกมา หลินหวานจะมารับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการผลิต หลักๆ แล้วก็เหมือนเป็นผู้พัฒนา

แต่ก็ไม่ใช่ตำแหน่งที่ต้องเข้ามาดูแลจัดการงานตลอด เป็นเหมือนคนช่วยให้คำแนะนำมากกว่า

ฉางหยางเกมส์ตอนนี้มีตำแหน่งหลักอยู่สามตำแหน่ง เยว่จือโจวรับผิดชอบเรื่องการพัฒนาและวางแผนทั่วไปของเกม หวังเสี่ยวปินรับผิดชอบเรื่องออกแบบและจัดการระบบ ส่วนหลินหวานเป็นคนที่มีอำนาจเด็ดขาดในการตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ภายในบริษัท

ที่ผ่านมาเยว่จือโจวกับหวังเสี่ยวปินรับผิดชอบเรื่องการวางแผนพัฒนาเกมในบริษัท และรายงานสิ่งต่างๆ ให้บอสเผยทราบโดยตรง

แต่ตอนนี้มีหลินหวานเข้ามาแทรกกลางระหว่างเยว่จือโจวกับบอสเผยในฐานะผู้อำนวยการผลิต

หลายคนคิดกันไปว่าบอสเผยหมดความเชื่อใจในตัวเยว่จือโจวแล้ว เพราะตั้งแต่ขึ้นเป็นหัวหน้าฝ่ายวางแผนก็ยังไม่สามารถพลิกมาทำกำไรได้ หรือที่บอสเผยส่งคนจากเถิงต๋ามาฉางหยางเกมส์ก็เพราะเหตุผลนี้

ทุกคนในฉางหยางเกมส์ตกอยู่ในความงุนงง

ตอนแรกเยว่จือโจวกับหวังเสี่ยวปินคิดจะส่งงานให้หลินหวานจัดการต่อ แต่หลินหวานกลับเอาแต่หลบเลี่ยงพวกเขา

เธอพูดน้อยมากต่อหน้าคนอื่นๆ พูดแต่เรื่องที่จำเป็นพอเป็นพิธีให้ทุกคนรู้สึกเครียดน้อยลง จากนั้นก็หลบมุมไปนั่งฟังเงียบๆ

การประชุมเป็นไปตามปกติ เยว่จือโจวเริ่มอธิบายแนวทางการออกแบบเกมเพลงรบโลหิตเวอร์ชันอัปเกรดให้ทุกคนฟัง

ระหว่างที่กำลังหลบมุมฟังอย่างตั้งใจ หลินหวานก็จดบันทึกลงสมุดไปด้วย

จากนั้นก็มีคำถามเกิดขึ้นในใจ

นั่นอะไรน่ะ

แล้วไอ้นั่นมันอะไร