ตอนที่ 637 เฝ้าดูอาการกับเหนือความคาดหมาย

แผนรักสยบใจบอสสาวตัวร้าย

โอ๊ะโอ เย่เสียวอวี่จริงๆด้วย

 

 

“จะเป็นไงได้ล่ะ อยู่ในห้องฉุกเฉินโน่น เด็กคนนี้วันๆเอาแต่เก็บตัว ไม่พูดไม่จา ใครจะไปรู้ว่าคิดอะไรอยู่ เอาใจยากจริงๆ” หลุ่ยจือบ่น

 

 

“พูดน้อยๆหน่อยสิแม่!” เย่เสียวอวี่ขัดจังหวะแม่ตัวเอง แล้วหันไปถามพ่อด้วยความร้อนใจ “พ่อ น้องหนู—เหม่ยเหวย ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่?”

 

 

อ้อ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมคุ้นหน้าหลุ่ยจือ เหมือนเย่เสียวอวี่นี่เอง!

 

 

พอเห็นเสี่ยวเชี่ยนมาปรากฏตัวที่นี่ ในใจของเย่เสียวอวี่ก็อยากจะบ้าตายพร้อมทั้งรู้สึกโมโห

 

 

ตอนนี้เธอหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิมเวลาเห็นเสี่ยวเชี่ยน

 

 

เรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันมานี้ล้วนเกี่ยวข้องกับเสี่ยวเชี่ยน ต่อให้ตัวเสี่ยวเชี่ยนไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ก็ทำให้คนที่มีอคติโยนเรื่องทุกอย่างไปที่ศัตรูได้

 

 

ดังนั้นเวลาเย่เสียวอวี่เห็นเสี่ยวเชี่ยนจึงรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นพิเศษ

 

 

“น้องเธอโทรเข้ามาที่รายการฉันเป็นครั้งสุดท้าย ฉันรู้สึกว่าเขามีแนวโน้มเป็นโรคซึมเศร้าก็เลยแจ้งให้ครอบครัวของเขาทราบ เกือบจะไม่ทันแล้ว” เสี่ยวเชี่ยนหันไปมองหน้าเย่เสียวอวี่

 

 

ไม่ได้แต่งหน้า

 

 

เย่เสียวอวี่เวลาไม่แต่งหน้าก็ไม่ได้ดูดีเท่าไร

 

 

ใบหน้าซีดเซียวดูหม่นหมอง ขอบตาดำคล้ำ ไม่ได้กรีดตาไม่ติดขนตาปลอม ตาชั้นเดียว มีกระเล็กๆที่ใบหน้า ปากไม่มีความชุ่มชื่นเลยแม้แต่น้อย ไม่มีราศี

 

 

เครื่องสำอางเป็นใบหน้าที่สองของผู้หญิง สามารถทำให้ผู้หญิงที่ดูธรรมดากลายเป็นดาวเด่นขึ้นมาได้

 

 

และสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเสี่ยวเชี่ยนก็คือ เย่เสียวอวี่ที่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำเสพติดการแต่งหน้ารีบร้อนมาถึงที่นี่เพื่อน้องสาวที่ไม่รู้ว่าเป็นน้องแท้ๆหรือเปล่าในสภาพที่ไม่ได้แต่งหน้า

 

 

สำหรับคนทั่วไปแล้ว การไม่แต่งหน้านั้นเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับคนที่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำแบบเย่เสียวอวี่แล้ว การไม่แต่งหน้าเป็นเรื่องที่พบเจอได้ยาก มันแทบจะคล้ายกับให้คนที่สายตาสั้น1000ไม่ใส่แว่นตาออกจากบ้าน

 

 

เอาแค่เรื่องนี้เสี่ยวเชี่ยนก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดเย่เสียวอวี่เท่าไรแล้ว ถึงคนๆนี้จะชอบทำตัวให้คนอื่นไม่พอใจ แต่ความรู้สึกที่มีให้น้องสาวนั้นเป็นเรื่องจริง คนต่อให้เลวกว่านี้ก็ย่อมมีมุมที่อ่อนโยนแม้เพียงนิดเดียวก็ตาม เย่เสียวอวี่เองก็เหมือนกัน

 

 

“เธอเป็นคนบอก…ใช่ เวยเวยเคยบอกฉันว่าอยากได้ลายเซ็นเธอ!” เย่เสียวอวี่จากที่สายตาเหม่อๆก็ได้สติทันที สายตาที่มองเสี่ยวเชี่ยนเปลี่ยนไป

 

 

เปลี่ยนเป็นสับสน เธอมีเหตุผลเป็นหมื่นที่จะเกลียดเหม่ยเหวย

 

 

เกลียดที่เหม่ยเหวยเก่งกว่า เกลียดที่เอาชนะใจอวี๋หมิงหลางได้ เกลียดที่แย่งอันดับหนึ่งของพิธีกรยอดนิยมประจำสถานีไป…

 

 

เหตุผลที่เกลียดเหม่ยเหวยนั้นมีมากพอให้เธอเขียนออกมาเป็นหน้าๆได้ แต่คนที่เธอเกลียดคนนี้กลับช่วยชีวิตน้องสาวเธอ…

 

 

หลังจากที่ความคิดในสมองตีกันสักพักเย่เสียวอวี่พูดเสียงลอดตามไรฟัน

 

 

“ขอบ…คุณ!”

 

 

“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ฉันเป็นหมอน่ะ”

 

 

เสี่ยวเชี่ยนพูดจบก็แอบสะใจอยู่ในใจ ประโยคนี้มันเจ๋งสุดๆ ให้ความรู้สึกทั้งใจกว้างทั้งดูดี คงทำให้เย่เสียวอวี่หงุดหงิดใจไปได้ครึ่งปี ได้ผลดีกว่าด่าตรงๆอีก

 

 

ตามคาด เย่เสียวอวี่หน้าบึ้งมากกว่าเดิม

 

 

ศาสตราจารย์หลิวมองเสี่ยวเชี่ยน เสี่ยวเชี่ยนรีบทำหน้าไร้เดียงสาหนูไม่รู้เรื่องนะ แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น

 

 

ศาสตราจารย์หลิวรู้สึกขำ ท่าทางของเสี่ยวเชี่ยนที่แสร้งทำเป็นเด็กโง่เป็นเรื่องสนุกที่สุด น้อยคนนักจะเข้าใจการกลั่นแกล้งคนของเธอ เรื่องนี้คงไปเรียนมาจากอวี๋ไข่เหล็ก ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งดีหรือไม่ดี

 

 

ประตูห้องฉุกเฉินถูกเปิดออก มีหมอเดินออกมา พ่อเย่กับหลุ่ยจือรีบรุดเข้าไปหา ท่าทางของหลุ่ยจือดูร้อนใจยิ่งกว่าพ่อเย่

 

 

“ลูกฉันเป็นไงบ้างคะ?”

 

 

“โชคดีที่เจอทันเวลา ล้างท้องไปแล้วตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้วครับ ไม่ทราบว่าพวกคุณดูแลลูกกันยังไง?”

 

 

หลุ่ยจือรีบพุ่งเข้าไปในห้องฉุกเฉินก็เห็นเย่เสียวเวยนอนให้น้ำเกลืออยู่ สิ่งแรกที่ทำก็คือเงยหน้ามองขวดน้ำเกลือ

 

 

เนื่องจากทำงานขายอุปกรณ์การแพทย์จึงพอรู้เรื่องยากับอุปกรณ์ต่างๆ พอเห็นว่าเป็นกลูโคสก็โล่งอก

 

 

อันนี้ถูก ไม่แพง

 

 

“เชิญญาติผู้ป่วยไปชำระเงินที่เค้าน์เตอร์ด้วยครับ เดี๋ยวต้องย้ายตัวผู้ป่วยไปยังห้องไอซียูเพื่อเฝ้าดูอาการ”

 

 

“อะไรนะ? ก็ช่วยชีวิตได้แล้วไม่ใช่เหรอ? พวกเราพาลูกกลับบ้านรอเขาตื่นเองก็ได้นี่นา” หลุ่ยจือคัดค้านทันที ในความคิดของเธอห้องไอซียู=หลอกเอาเงิน วันนึงตั้งเท่าไร!

 

 

“เพราะตอนที่ผู้ป่วยมาถึงมีอาการถูกพิษระดับกลาง ดังนั้นต่อให้ล้างท้องแล้วก็ยังต้องเฝ้าดูอาการก่อนครับ” หมออธิบายอย่างอดทน

 

 

“ไร้สาระ ฉันก็ทำงานด้านนี้ ฉันรู้ว่าพวกคุณอยากจะเก็บค่ารักษาให้ได้เยอะๆ” หลุ่ยจือรีบทำสีหน้าเหมือนที่พูดกับศาสตราจารย์หลิวเมื่อครู่

 

 

ศาสตราจารย์หลิวกับเสี่ยวเชี่ยนมองหน้ากัน แล้วส่งสายตาเห็นใจไปให้หมอ

 

 

เจอญาติผู้ป่วยแบบนี้ก็จนปัญญาจริงๆ

 

 

พอเห็นหลุ่ยจือเริ่มทำหมอลำบากใจเย่เสียวอวี่จึงเดินเข้าไปคุยเอง

 

 

“ฉันจะไปจ่ายเงินค่ะ รบกวนช่วยรักษาน้องฉันด้วยนะคะ”

 

 

“เรื่องรักษาคนไข้เป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้วครับ” หมอถอนหายใจยาว ฮู่ว ในที่สุดก็เจอคนปกติเสียที

 

 

“เสียวอวี่!”หลุ่ยจือไม่พอใจกับการตัดสินใจของลูกสาว เย่เสียวอวี่หันไปอย่างอ่อนเพลีย ตอนนี้เธอแทบจะหมดแรงเพราะไม่ได้แต่งหน้ามา

 

 

“แม่ ฟังที่หมอพูดไม่ผิดหรอก เวยเวยยังสลบอยู่ ให้หมอดูอาการอีกหน่อยจะได้สบายใจ”

 

 

“นั่นสิอาจือ ตอนนี้ลูกยังอยู่ในช่วงอันตรายนะ” พ่อเย่พูด

 

 

สีหน้าของหลุ่ยจือบึ้งตึงขั้นสุด อยู่ต่อหน้าสามีกับลูกสาวพูดอะไรไม่ได้มาก ทำได้แค่ส่งสายตาอาฆาตไปที่เวยเวยที่นอนอยู่บนเตียง

 

 

สายตาของเธอนั้นเย่เสียวอวี่กับพ่อเย่ไม่เห็น แต่จากมุมที่เสี่ยวเชี่ยนกับศาสตราจารย์หลิวยืนอยู่เห็นพอดี

 

 

เสี่ยวเชี่ยนไม่ได้แสดงอาการทางสีหน้า เธอมองคนออกอย่างทะลุปรุโปร่งนานแล้ว รู้ว่าโลกนี้มีคนหลายแบบ และก็ชินแล้วกับการเจอคนพวกนี้

 

 

ศาสตราจารย์หลิวกลับรู้สึกโกรธ อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงเด็กน้อยที่นอนสลบอยู่บนเตียง

 

 

เด็กที่เป็นโรคซึมเศร้าไม่ควรเติบโตในครอบครัวแบบนี้

 

 

เรื่องที่คนทั่วไปคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ผู้ป่วยโรคซึมเศร้ากลับต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทำ พวกเขาใส่หน้ากาก แต่เบื้องหลังต้องทำเรื่องปกติของคนทั่วไปอย่างยากลำบาก การเผชิญหน้ากับเรื่องแบบนี้สำหรับพวกเขาแล้วไม่ใช่ความหรรษามีแต่โลกแห่งความทุกข์

 

 

การมีคนในครอบครัวที่โลภมากเห็นแก่เงินไร้ความเมตตาแบบนี้ สำหรับหัวใจอันเปราะบางของเด็กมันคือการทำร้ายอย่างหนึ่ง

 

 

“คุณคือ—” ตอนที่เย่เสียวอวี่เตรียมจะไปจ่ายเงินในที่สุดก็มองเห็นศาสตราจารย์หลิวที่ยืนอยู่ข้างเสี่ยวเชี่ยน เธอหรี่ตามอง

 

 

“ฉันเอง” ศาสตราจารย์หลิวจำเย่เสียวอวี่ได้แต่แรกแล้ว

 

 

หลังจากที่เย่เสียวอวี่ปฏิเสธไม่ให้เสี่ยวเชี่ยนรักษาแฟนคนปัจจุบัน ก็พยายามไหว้วานทุคนที่รู้จักจนในที่สุดก็ไปเจอศาสตราจารย์หลิว เมื่อไม่กี่วันก่อนก็เพิ่งไปเจอกันมา

 

 

ศาสตราจารย์หลิวไม่ค่อยอยากรับผู้ป่วยภาวะบุคลิกผิดปกติชนิดก้ำกึ่ง เพราะช่วงนี้งานเธอยุ่งมาก ดูแลไม่ทั่วถึงกลัวจะทำผู้ป่วยเสียเวลา ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงยังอยู่ในช่วงตกลงกัน

 

 

เย่เสียวอวี่รู้ว่าศาสตราจารย์หลิวมีชื่อเสียงมากในวงการ จึงให้ความเคารพศาสตราจารย์หลิวมาก

 

 

“ศาสตราจารย์หลิวมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ?”

 

 

“เหม่ยเหวยเป็นเด็กของฉัน เขารับสายน้องสาวเธอแล้วคิดว่าอาจเป็นโรคซึมเศร้าก็เลยโทรบอกฉัน เสี่ยวเชี่ยน ตามเขาไปสิ ไปอธิบายเรื่องโรคซึมเศร้าให้เขาฟัง”

 

 

“หนูรู้สึกปวดหัวปวดไปทั้งร่างเลยค่ะตอนนี้” เสี่ยวเชี่ยนไม่ค่อยอยากอยู่กับเย่เสียวอวี่

 

 

ปวดหัว…ปวดไปทั้งร่าง? ศาสตราจารย์หลิวโมโหแทบอยากลงไม้ลงมือ