ศาสตราจารย์หลิวถลึงตาใส่เสี่ยวเชี่ยน “รีบไป!”
“หนูป่วยจริงๆนะคะอาจารย์…”
“รักษาเคสนี้ให้หาย เดี๋ยวฉันจะหาคนไปทำงานที่สถานีวิทยุแทนสามวัน”
“เคสนี้มีค่าแค่สามวันเองเหรอคะ แถมยังเจอญาติคนไข้แบบนี้ด้วย อ้อ ไม่ใช่แค่คนเดียวสองคนเลยนะคะ”
เสี่ยวเชี่ยนเหลือบมองหลุ่ยจือ แล้วหันไปมองเย่เสียวอวี่ แค่นี้ก็รู้สึกปวดไปทั่วร่างแล้ว ถ้าต้องไปรบกับคนพวกนั้น
“เจ็ดวัน! มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว!” ศาสตราจารย์หลิวมองออกว่าศิษย์รักไม่ใช่ไม่อยากรักษา แต่ด้วยความเจ้าเล่ห์เลยอยากต่อรองข้อแลกเปลี่ยนต่างหาก
“สิบวันถึงจะคุ้ม!” เสี่ยวเชี่ยนยังไม่ยอม
ศาสตราจารย์หลิวง้างมือ “หรือจะเอานี่!”
“เจ็ดวันก็ได้ค่ะ แต่ไม่นับวันหยุดเทศกาลนะคะ!” เสี่ยวเชี่ยนต่อรองพอหอมปากหอมคอแล้วก็เลิก
เธอยื่นมือไปลูบหน้าเวยเวยที่ยังไม่ฟื้นแล้วหันไปมองเย่เสียวอวี่หน้าสด “ไปเถอะ”
เย่เสียวอวี่เห็นท่าทางระหว่างเสี่ยวเชี่ยนกับศาสตราจารย์หลิว เธอไม่ค่อยอยากเชื่อว่าเวลาอยู่กันส่วนตัวเหม่ยเหวยจะเป็นแบบนี้ ที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าก็คือท่าทางสนิทสนมของศาสตราจารย์หลิวที่มีต่อเสี่ยวเชี่ยน
เย่เสียวอวี่เคยเจอศาสตราจารย์หลิวมาก่อน ความรู้สึกแรกก็คือหญิงสูงวัยคนนี้ดูดุมาก ให้ความรู้สึกที่น่าเกรงขามแบบคนมีความรู้เยอะ ใครที่เห็นเป็นต้องให้ความเคารพ
แต่หญิงสูงวัยที่เคร่งขรึมคนนี้กลับดูสนิทสนมกับเสี่ยวเชี่ยน
ระหว่างเดินลงเย่เสียวอวี่มองเสี่ยวเชี่ยนด้วยความสงสัย
“เธอไม่อยากทำงานที่สถานีต่อเหรอ?”
“งานแบบนี้มีแค่เธอเท่านั้นแหละที่คิดว่าดี” เสี่ยวเชี่ยนแทบอยากให้การฝึกงานจบลงเดี๋ยวนี้
รับจ๊อบนอกดีจะตาย ไม่ต้องนอนดึกขนาดนั้น ค่าฝึกงานได้ไม่ถึงพันไม่พอเธอใช้เลยด้วยซ้ำ ถ้าเธอไม่ทำงานแบบนี้ ไปให้คำปรึกษาเรื่องคู่ชีวิตของคนรวยเงินคงไหลเข้ามาเป็นเทน้ำเทท่า
เห้อ เธอจะแต่งงานอยู่แล้วต้องเตรียมงานไม่น้อยเลยนะ ใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายจนชิน อะไรๆก็จะเอาดีที่สุด ทุกอย่างมันต้องใช้เงินทั้งนั้น
พอนึกว่าจะต้องทำงานที่สถานีวิทยุไปอีกระยะหนึ่งเสี่ยวเชี่ยนก็เห็นเงินลอยออกไปเป็นกอง ปวดใจจริงๆ
“ฉันคิดว่าเธอ—” เย่เสียวอวี่ชะงัก
“คิดว่าฉันอยากแย่งตำแหน่งพิธีกรเบอร์หนึ่งจากเธอหรือไง? หึหึ ขอโทษนะ เงินเดือนแค่นั้นยังไม่พอฉันซื้อกระเป๋าเลย ฉันไม่สนหรอก” เสี่ยวเชี่ยนพูดออกมาตรงๆ
“อวี๋หมิงหลางชอบเธอตรงไหนกันนะ? คิดแต่เรื่องเงิน หน้าเงิน!”
“อืม เธอไม่หน้าเงินเลยเนอะ ไม่หน้าเงินแล้วคบกับลูกเศรษฐีทำไม? ไม่ได้ชอบเขา ชอบแต่เงินเขา ฉันชอบเงินแต่ฉันก็หามันด้วยตัวเอง เธอชอบเงินแล้วเงินมาจากไหน? แต่ไม่ว่าเธอจะได้เงินมายังไง ฉันก็ยอมรับในความสามารถเธอนะที่แต่งหน้าแต่งตาจนสวยขนาดหาเงินได้ เธอนี่ไม่เบาเลยจริงๆ—ไม่รู้ว่าหลี่เจียเคยเห็นหน้าสดของเธอหรือยังนะ?”
“นี่เธอ!”
“ฉันเดาว่ายังไม่เคยเห็นสินะ ไม่อย่างนั้นเขาคงรู้สึกเหมือนถูกหลอกไปแล้วหรือเปล่า? ผู้ชายชอบผู้หญิงสวยๆมันเป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะถึงยังไงก็ต้องสืบทอดสกุล มีแฟนสวยก็ช่วยมั่นใจเรื่องหน้าตาของลูกหลานได้ แต่เธอว่าคนอย่างเธอที่ใช้เทคนิคแต่งหน้าที่ทำให้ตาชั้นเดียวโตเท่าไข่ห่านได้มันถือเป็นการหลอกลวงผู้บริโภคไหม?”
“ฉันตาสองชั้น!” เย่เสียวอวี่แย้งเมื่อเจอกับการดูถูกของเสี่ยวเชี่ยน เธอรีบพูดแก้ตัว
“สองชั้นหลบใน!”
“อุ๊บ!” เสี่ยวเชี่ยนอยากกลั้นหัวเราะ แต่ขอโทษนะ มันกลั้นไม่อยู่จริงๆ
ทั้งสองคนมาถึงช่องจ่ายเงินแล้ว เย่เสียวอวี่จ่ายเงิน ระหว่างที่รอใบเสร็จก็ถามเสี่ยวเชี่ยน
เสี่ยวเชี่ยนพยายามเก็บอารมณ์ แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ตอนนี้ฉันสงสัยว่าน้องเธออาจเป็นโรคซึมเศร้า แต่รายละเอียดต้องรอน้องเธอฟื้นแล้วตรวจอีกที”
“จะเป็นไปได้ยังไง? เขายิ้มเก่งจะตาย”
“ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิดที่ต้องร้องไห้ทุกวันหน้าตากลัดกลุ้ม ในความเป็นจริงผู้ป่วยโรคซึมเศร้าพยายามแสร้งทำเป็นเหมือนคนปกติเพื่อให้เข้ากับสังคมได้”
“เหม่ยเหวย เธอน่ะรับแต่สายคนที่มีปัญหาไร้สาระมากจนมองทุกคนป่วยหมดหรือเปล่า?” เพราะเป็นห่วงน้องสาวมากเย่เสียวอวี่จึงพูดจาไม่ค่อยเกรงใจ
เสี่ยวเชี่ยนเจอคนพูดแบบนี้ใส่ก็ไม่ได้แสดงอารมณ์ไม่พอใจ ก็เหมือนกับหมอห้องฉุกเฉิน เธอเจอญาติคนไข้พูดแบบนี้มาเยอะแล้ว ไม่มีใครอยากเชื่อหรอกว่าคนในครอบครัวตัวเองจะเป็นโรคจิตเวช
“เธอพูดผิดแล้ว คนที่โทรมาระบายในรายการ 90%ไม่ถือเป็นโรคจิตเวช ต่อให้มีก็ไม่ใช่โรคซึมเศร้า เพราะคนที่ซึมเศร้าจะไม่ยอมระบายให้ใครฟัง เก็บความอัดอั้นไว้ในใจ ไม่อยากบอกให้ใครรู้ความรู้สึก”
“ฉันไม่เข้าใจ น้องสาวฉันไม่ใช่คนชอบเก็บตัว แล้วเขาจะเสียใจจนเป็นโรคซึมเศร้าได้ยังไง—”
“ไม่ใช่เสียใจ เธอไม่เข้าใจความทุกข์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าหรอก ในโลกของพวกเขา ทุกที่ที่สายตามองเห็นล้วนเป็นสีเทา ต่อให้เป็นความยินดีหรือความโศกเศร้าของคนในครอบครัวล้วนเข้าไปไม่ถึงจิตใจพวกเขา พวกเขาไม่เห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ ความสิ้นหวังผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ถึงขนาดที่ได้ยินเสียงบอกว่า การมีชีวิตอยู่ไม่มีค่าอีกต่อไปแล้ว ตายไปยังจะดีเสียกว่า…”
“เธอขู่ฉัน…” เย่เสียวอวี่มือสั่น ใบเสร็จกับเงินทอนที่รับมาตกลงบนพื้น
“โรคซึมเศร้าในสายตาคนปกติก็คือความโศกเศร้า อย่างเช่นอารมณ์ตอนอกหัก สัตว์เลี้ยงสุดที่รักตาย แต่ความทุกข์ของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าไม่ได้ผิวเผินแบบนั้น ภายในจิตใจของพวกเขาเหมือนมีหลุมดำขนาดใหญ่ที่ดูดกลืนพลังบวกแห่งการมีชีวิตอยู่ต่อ พวกเขาสัมผัสไม่ได้ถึงความยินดีหรือความเสียใจ หรือแม้แต่ความรักด้วยซ้ำ”
เสี่ยวเชี่ยนก้มลงไปช่วยเย่เสียวอวี่เก็บเงินกับใบเสร็จขึ้นมา
“เธอเกลียดฉันก็เลยเอาเรื่องน้องมาขู่ฉัน เธอเป็นคนแบบนั้น!” เย่เสียวอวี่ไม่รู้ว่าตัวเองร้องไห้ตั้งแต่เมื่อไร ตอนนี้เธอกำลังระบายอารมณ์ออกมา
วันนี้เกิดเรื่องมากมายเหลือเกิน ตอนแรกก็น้องสาวที่เห็นกันอยู่ดีๆก็ฆ่าตัวตาย ต่อมาก็เหม่ยเหวยคนที่เธอเกลียดที่สุดใช้น้ำเสียงแบบผู้เชี่ยวชาญพูดเรื่องที่น่ากลัวกับเธอ
โรคซึมเศร้า โรคที่ฟังดูออกแนว ‘โรคของฝรั่ง’แบบนี้ น้องสาวเธอจะเป็นได้ยังไง?
“เย่เสียวอวี่ ฉันเป็นหมอนะ ให้ฉันเกลียดเธอมากกว่านี้ก็ไม่มีทางทำผิดจรรยาบรรณหรอก ฉันไม่มีใช้คนไข้ล้างแค้นหรอกนะ”
“แต่ทำไมเธอต้องมาสนใจเวยเวยด้วย เธอเกลียดฉันไม่ใช่เหรอ? เธออยากทำร้ายเวยเวยเหรอ?”
“ข้อแรก ตอนที่ฉันคุยกับเขาฉันไม่รู้ว่าเขาเป็นน้องสาวเธอ ข้อสอง ถ้าไม่ใช่เพราะชื่อของเขากับ—”
เสี่ยวเหวยคล้ายกัน อีกทั้งยังอายุพอๆกับลูกสาวเธอ ไม่อย่างนั้นเสี่ยวเชี่ยนคงไม่ใส่ใจขนาดนี้ โดยเฉพาะตอนที่เธอคุยกับเด็กคนนี้รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงลูกสาวตัวเอง ซึ่งเสี่ยวเชี่ยนรอฟังเสียงแบบนี้มานานแล้ว
“กับอะไร?”
“เปล่า ถ้าเธอไม่ไว้ใจให้ฉันรักษาเวยเวยก็ไปบอกอาจารย์ฉันได้ อาจารย์ฉันเป็นแม่พระศัตรูพ่าย เห็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเด็กก็รับหมดแหละ”
ในเมื่อนี่เป็นน้องสาวของเย่เสียวอวี่ เย่เสียวอวี่ไม่ชอบเธอ เสี่ยวเชี่ยนก็ไม่อยากฝืน อย่างไรเสียให้อาจารย์รักษาก็เหมือนกัน อีกอย่างฝีมืออาจารย์ก็สูงกว่าเธอ
“เขาไม่น่าจะรักษาเวยเวยหรือเปล่า? บ้านหลี่เจียให้เงินเป็นแสนเขายังไม่รับรักษาเลย”
“ในสายตาคนอย่างพวกเธอมีแต่เรื่องเงินเหรอ? อาจารย์ฉันไม่รับรักษาหลี่เจียแต่ก็ใช่ว่าจะไม่สนใจเวยเวย ไม่เชื่อพนันกันไหมล่ะ?” เสี่ยวเชี่ยนกลอกตาพลางมีแผนในใจ