ตอนที่ 331 เธอดื่มไปเท่าไหร่แล้ว
เฉินฝานซิงกลับเข้าไปในงานเลี้ยง สวี่ชิงจือไม่รู้ว่าดื่มไปเท่าไหร่แล้ว จากใบหน้าที่ขาวใสเริ่มแดงระเรื่อขึ้นมาบ้างแล้ว สายตาเริ่มพร่ามัว ตอบสนองช้า ทั้งยังมีท่าทางที่ทำให้ผู้คนที่เห็นรู้สึกสับสนมึนงง
“เธอดื่มไปเท่าไหร่แล้ว” เฉินฝานซิงขมวดคิ้ว
สวี่ชิงจือยิ้มมุกปาก “เจอเพื่อนสมัยเรียนหลายคน ดีใจ ก็เลยดื่มเยอะหน่อย”
เฉินฝานซิงระอา “คืนนี้ค้างที่มหา’ลัยนี่แหละ สภาพเธอแบบนี้ ไม่ต้องกลับไปแล้ว”
“…ได้”
และในขณะนั้นเอง บทเวทีก็มีคนขึ้นมายืน แล้วพูดพึมพำยาวเป็นชุด ก่อนจะจบด้วย…
“ลำดับต่อไป ขอเสียงปรบมือให้กับตัวแทนจากหลานอวิ้น รุ่นพี่เฉินเชียนโหรวรับหน้าที่เป็นแขกรับเชิญแสดงเปิดงานในวันนี้ การแสดงที่เธอนำมาให้พวกเราในวันนี้เป็นการบรรเลงเปียโนเพลง [ม่านประเพณี]”
ไม่นานนัก เฉินเชียนโหรวก็เดินกะเผลกขึ้นมาบนเวที
เห็นเฉินเชียนโหรวนั่งลงข้างๆ เปียโนด้วยท่าทางสง่างามท่ามกลางเสียงตบมือของผู้คน เฉินฝานซิงก็อดปวดใจขึ้นมาไม่ได้ ดวงตาสั่นระริกโดยไม่อาจควบคุมได้ สุดท้ายก็หันหลังเดินไปอยู่อีกมุมหนึ่ง
ไม่มีใครที่ไม่รู้สึกอะไรเลยกับสิ่งที่ตัวเองรัก โดยเฉพาะเมื่อถูกบังคับให้ทิ้งสิ่งที่ตัวเองรัก
ใช้สิ่งที่ตัวเองรักทำให้ได้รับเสียงตบมืออย่างชื่นชมไม่ได้ ถือเป็นความด่างพร้อยยิ่งใหญ่ในชีวิตของเธอ
สวี่ชิงจือเห็นท่าทางตอบสนองของเฉินฝานซิงก็รู้สึกปวดใจไปด้วย
น้อยครั้งมากที่เธอจะมีโอกาสได้เห็นเฉินฝานซิงเป็นแบบนี้ ในสายตาของทุกคน หรือแม้แต่ตัวเธอเอง บางครั้งก็รู้สึกว่า เฉินฝานซิงเป็นเหมือนกับผนังทองแดงกำแพงเหล็ก ฟันแทงไม่เข้า ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้
แต่ว่า เธอแข็งแกร่งขนาดนั้นเสียที่ไหน…
เป็นเพราะเฉินเชียนโหรว ผู้หญิงคนนี้ทั้งนั้น!
เสียงเปียโนค่อยๆ ดังขึ้น ไพเราะเสนาะหู…
“เหอะ…มือที่สามที่ทำลายความสัมพันธ์ของคนอื่น กล้าเล่นเพลงม่านประเพณี…น่ารังเกียจจริงๆ…”
ฝีเท้าของสวี่ชิงจือไม่มั่นคง แต่กลับเดินไปทางหน้าเวที
“ชิงจือ…”
เฉินฝานซิงรีบเข้าไปดึงเธอไว้ “เธอจะทำอะไร”
“ฟังไม่ชัด ฉันจะเข้าไปฟังใกล้ๆ หน่อย”
เฉินฝานซิงรั้งสวี่ชิงจือไว้ได้ในที่สุด เธอจะไม่รู้ได้ยังไงกันว่าสวี่ขิงจือคิดจะทำอะไรอยู่
“ชิงจือ เธอเมาแล้ว อย่าวุ่นวายสิ…”
เฉินฝานซิงลากสวี่ชิงจือออกมาตั้งใจจะเดินออกไป
ทว่าในขณะนั้นเอง เสียงเปียโนบรรเลงอย่างไพเราะก็หยุดลงกะทันหัน
“เอ๋ ทำไมถึงหยุดแล้วล่ะ”
“ไม่รู้สิ”
“เธออย่าพูดไป สมแล้วที่เป็นเพลงดังระดับโลก เพราะมากจริงๆ”
“นั่นก็เพราะฝีมือการดีดที่ยอดเยี่ยมของเชียนโหรวไง”
ไม่นานนัก เฉินเชียนโหรวก็ลุกจากเก้าอี้ แล้วไปหยิบไมโครโฟน ก่อนจะพูดด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
“ขอโทษทุกคนด้วยค่ะ วันนี้ตอนเข้างาน ฉันไม่ระวังตัวเท้าพลิกบนพรมแดง การเหยียบแป้นเปียโนค่อนข้างต้องใช้แรงเยอะ จึงทำให้ไม่บรรเลงเพลงเต็มทั้งเพลงให้ทุกคนฟังได้ ไม่เพียงแค่ดูเป็นการไม่เคารพทุกคน ทั้งยังเป็นการไม่เคารพต่อดนตรีด้วย…ขอโทษที่หยุดเล่นกลางคันค่ะ ฉันเป็นตัวแทนหลานอวิ้น เป็นตัวแทนสกุลเฉินขอโทษทุกคนด้วย”
หลังพูดจบ เธอก็โค้งคำนับผู้คนที่อยู่ด้านล่างเวที ก่อนจะยืดตัวกลับขึ้นมา ใบหน้าที่ดงามมีเสน่ห์เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและอัดอั้น ดวงตาคู่สวยสอดส่ายไปยังด้านล่างเวที ก่อนจะค่อยๆ ไปหยุดบนตัวเฉินฝานซิง
ก่อนจะละสายตาจากเธอออกมาด้วยสีหน้าลำบากใจ พลันส่งสายตาไปหาหลินเฟยเฟยที่ยืนอยู่ด้านล่างเวทีเหมือนจะเจตนาแต่ก็หมือนไม่ได้ตั้งใจ
ดวงตาของหลินเฟยเฟยดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดออกมา
“คนที่เป็นตัวแทนสกุลเฉินได้ไม่ได้มีแค่เธอคนเดียวซะหน่อย พี่สาวของเธอ เฉินฝานซิง วันนี้ก็มาด้วยไม่ใช่เหรอ ให้เขาขึ้นเวทีมาแสดงแทนเธอให้จบก็ได้นี่…นั่นไม่ใช่เธอหรอกเหรอ”
หลินเฟยเฟยพูดจบ สายตาของผู้คนที่รายล้อมอยู่ตรงนั้นก็หันไปมองที่เฉินฝานซิงทันที…
ตอนที่ 332 โง่เง่า
เวลานี้หลินเฟยเฟยเดินเข้าไปหาเฉินฝานซิง พลางพูดยิ้มๆ
“พี่ฝานซิง ในเมื่อเชียนโหรวเจ็บเท้า งั้นเธอก็ช่วยเล่นเปียโนแทนเชียนโหรวให้จบสิ ในเมื่อเธอก็เป็นคนสกุลเฉินเหมือนกัน แล้วก็เป็นตัวแทนหลันอวิ้นได้เหมือนกัน ไม่ใช่เหรอ”
สายตาของผู้คนจับจ้องไปยังเฉินฝานซิงเป็นตาเดียวกัน เสียงวิจารณ์รอบๆ เริ่มดังขึ้น
“ฝานซิง? เฉินฝานซิง?”
“พี่สาวของเฉินเชียนโหรว ฉันจำได้ เธอไม่ใช่ว่าโดนมหา’ลัยไล่ออกหรอกเหรอ”
“ใช่น่ะสิ ได้ข่าวว่าตอนนั้นก็อบปี้อะไรซักอย่าง”
“ฉันยังเคยได้ยินมาว่าปีนั้นตอนที่เข้าร่วมการแข่งขันเปียโน เธอยั่วยวนคณะกรรมการด้วยนะ”
“ฉันก็รู้เรื่องนี้ ถูกนักข่าวจับได้คาหนังคาเขาเลยที่ห้องพักผ่อน”
“เฉินฝานซิง…พูดง่ายๆ ก็คือตอนนั้นเรื่องที่เธอทำมีแต่เรื่องงามหน้าทั้งนั้น ก็อบปี้ผลงาน ยั่วยวนกรรมการ สุดท้ายกลัวว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่จนจัดการลำบาก สกุลเฉินก็เลยต้องส่งเธอไปเมืองนอกอย่างจนปัญญา…”
หลินเฟยเฟยได้ยินคำพูดพวกนี้ ความเกลียดชังที่สะสมมาจากการที่โดนเฉินฝานซิงรังแกถือว่าได้ปลดปล่อยออกไปเต็มที่
เธอปรายตามองเฉินเชียนโหรวแวบหนึ่งก่อนจะแสยะยิ้มมุมปาก ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความผยองพองขน พลันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย มองดูเฉินฝานซิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสายตาราวกับกำลังรอชมละครอยู่
สวี่ชิงจือรู้สึกได้ชัดเจนว่ามือที่กำลังกุมมือของเธออยู่ค่อยๆ เย็นยะเยือก
อารมณ์ที่ข่มไว้มาทั้งคืน ในที่สุดก็ค่อยๆ ถูกขุดออกมา
เธอหันหน้าไปช้าๆ สายตาเย็นชามองไปยังผู้คนรอบๆ พร้อมกับพูดด้วยความโกรธ
“พูดจาเหลวไหลอะไรกัน เอาแต่พูดว่าได้ข่าวว่า เคยได้ยินมาว่า พวกคุณมีหลักฐานอะไรมายืนปากมากอยู่ตรงนี้ โตๆ กันแล้วทั้งนั้น จะพูดแล้วไม่รับผิดชอบใช่ไหม”
“อุ๊ย ขอโทษนะ เรื่องก็ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ฉันลืมเรื่องนี้ไปหมดแล้ว” จู่ๆ หลินเฟยเฟยก็ยกมือขึ้นมาปิดปาก ท่าทางราวกับว่าเพิ่งจะนึกขึ้นได้ “แต่ว่านี่ไม่ใช่ว่าคนอื่นพูดจาเหลวไหลหรอกนะ ไม่งั้น อยู่ดีๆ มหาลัยจะไล่พี่ฝานซิงออกแบบปุบปับทำไมล่ะ”
สวี่ชิงจือหรี่ตาลงกะทันหัน สายตาเย็นชาฉายออกมา เธอเดินเข้าไปใกล้หลินเฟยเฟย ทั้งตัวเต็มไปด้วยรังสีอาฆาต
“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้ว่าเธอจงใจ อยู่ดีไม่ว่าดี จะเลิกเป็นผู้ประกาศเกรดต่ำแล้วจะหันมาเอาดีด้านการแสดงแทนเหรอ”
“เธอว่าใครเป็นผู้ประกาศเกรดต่ำ” หลินเฟยเฟยหน้าเสียทันที
“ฉันว่าเธอ แอ๊บแบ๊วทำท่าทางระริกระรี้ เป็นเพราะความต้องการของสายงาน ฉันไม่ดูถูกเธอหรอก แต่เธองานการไม่ทำ กลับมาเดินตามนักแสดงเกรดต่ำเรียนรู้เทคนิคการแสดงที่ปลอมจนไปโชว์ที่ไหนก็ไม่ได้ ถูกหลอกใช้จนเหมือนหมาตัวหนึ่งก็ยังไม่รู้ตัว โง่เง่า”
คืนนี้สวี่ชิงจือดื่มเหล้าเข้าไปเยอะเกินไป หากเป็นเวลาปกติ ตีเธอให้ตายเธอก็ไม่มีทางพูดจาต่ำช้าแบบนี้ออกมาแน่
“เธอเชื่อไหมว่าฉันฉีกปากเน่าๆ ของเธอได้”
หลินเฟยเฟยถูกสวี่ชิงจือยั่วโมโหจนยับยั้งอารมณ์ไม่อยู่แล้ว แอ๊บแบ๊ว ระริกระรี้อะไรกัน โง่เง่างั้นเหรอ
เธอจะฉีกสวี่ชิงจือให้เป็นชิ้นๆ
“เฟยเฟยอย่านะ” เฉินเชียนโหรวรีบเอ่ยปากห้ามหลินเฟยเฟย
สวี่ชิงจือได้ยิน ก็เงยหน้าขึ้นไปมองเฉินเชียนโหรวที่อยู่บนเวที สายตาเยือกเย็น น้ำเสียงแข็งกร้าว
“เฉินเชียนโหรว เรื่องพวกนี้ เธอวางแผนเอาไว้เรียบร้อยหมดแล้วอีกแล้วใช่ไหม”
เฉินเชียนโหรวถือไมโครโฟน ถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว สีหน้าตกตะลึงราวกับไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น
“รุ่นพี่ ฉัน…ฉันทำอะไรเหรอคะ”
สวี่ชิงจือมองดูท่าทางจอมปลอมของเฉินเชียนโหรว ความโกรธก็พลุ่งพล่านขึ้นมาในชั่วพริบตา “เธอได้รับบาดเจ็บเท้าพลิกตอนเดินพรมแดงก็ไม่ควรจะขึ้นเวทีตั้งแต่แรก ขึ้นเวทีแล้วยังจะหยุดการแสดงกลางคัน ตอนนี้ก็มารวมหัวกับหลินเฟยเฟยอีก คนอื่นไม่รู้เรื่องราวในตอนนั้น แต่เธอจะไม่รู้เลยเหรอ”
ขณะนั้นเอง ซูเหิงเดินออกมาจากด้านหลังเวทีกะทันหัน ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เกิดอะไรขึ้น”
เฉินเชียนโหรวกัดฟันกรอด มองไปยังซูเหิงแล้วส่ายหน้า “ไม่เป็นไรค่ะ พี่เหิง เรื่องนี้อาจจะเกิดการเข้าใจผิดกัน เป็นความผิดของฉันเอง ฉันไม่ควรดึงดันจะขึ้นเวทีตั้งแต่แรก…”