ภาค 2 ใต้หล้ายังมีผู้ใดไม่รู้จักท่านอีกหรือ บทที่ 107 ยืมจมูกคนอื่นหายใจ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

ต่อจากนี้ เยี่ยนจ้าวเกอไม่จำเป็นต้องอยู่ที่ถังตะวันออกต่อไปแล้ว

ส่วนเยี่ยนตี๋ยังคงคุมการณ์อยู่ที่เกาะนภาตะวันออก ถ้าจำเป็นเขาจะบุกเข้าไปที่อัคคีพิภพ เพื่อเป็นกำลังหนุนให้สือเถี่ยและคนอื่นๆ โดยตรง

“วิธีปรุงโอสถที่เจ้ากล่าวถึง ยังต้องระวังให้ดี” ก่อนจะแยกจากกัน เยี่ยนตี๋กำชับว่า “รีบแกะความหมายของอักษรโบราณให้ได้ และตรวจสอบวิธีการปรุงยาให้ดี เพราะมันสำคัญมากสำหรับสำนักของเรา”

“การที่หวงกวงเลี่ยเข้าฌาน ผู้ใดก็ไม่อาจรู้ได้ว่าเขาจะออกจากฌานเมื่อใด ถ้าถึงตอนที่เขาออกฌานแล้ว แต่สำนักเรายังไม่มีจอมยุทธ์ที่บรรลุระดับจอมยุทธ์ศักดิ์สิทธิ์ละก็ ความกดดันก็จะยิ่งมากกว่าสงครามถังตะวันออกก่อนหน้านี้อีก”

เยี่ยนจ้าวเกอได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเบาๆ “สายน้ำไม่คอยท่า กาลเวลาไม่เคยคอยผู้ใด ครั้งนี้ที่ขอให้พวกท่านมาเสี่ยงอันตรายก็ด้วยเหตุนี้แหละขอรับ”

“โดยเฉพาะอย่างยิ่งอีกไม่นานก็จะถึงการทดสอบแห่งจันทราครั้งที่สามแล้ว ถ้าหากมงกุฎจันทราตกไปอยู่ในมือของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นคงไม่ต้องรอให้หวงกวงเลี่ยออกจากฌานแล้ว อำนาจของศัตรูกับเราก็จะกลับกัน”

เยี่ยนตี๋ถามว่า “สตรีจันทราของเมืองทะเลมรกต หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ได้รับความช่วยเหลือจากมงกุฎจันทรา วรยุทธ์ของนางเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว”

“เนื่องจากมงกุฎจันทรา การแย่งชิงระหว่างสตรีจันทราจึงถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่า ผู้ที่แข็งแกร่งก็จะยิ่งแกร่งกล้า หากไม่มีเหตุสุดวิสัย ผู้ชนะของครั้งที่แล้วก็จะยิ่งได้เปรียบมากกว่าผู้อื่น เจ้ามั่นใจในตัวเมิ่งหว่านแห่งสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ขนาดนั้นเชียวหรือ”

เยี่ยนจ้าวเกอเอ่ยตอบอย่างช้าๆ ว่า “ข้าเคยได้ยินคำบรรยายอย่างละเอียดของเฟิงอวิ๋นเซิงว่า ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์ หรือพลังแห่งจันทรากายตั้งแต่กำเนิดในฐานะที่เป็นสตรีจันทรา เมิ่งหว่านก็โดดเด่นเหนือผู้ใดอย่างยิ่ง”

“ส่วนสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เองก็เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เพียบพร้อมมากที่สุด ในเรื่องการตระเตรียมการทดสอบแห่งจันทรา พวกเขาสามารถให้กำเนิดเฟิงอวิ๋นเซิงและเมิ่งหว่านได้ทีเดียวถึงสองคน อีกทั้งเมิ่งหว่านก็ยังขึ้นเป็นอันดับหนึ่งได้ตั้งแต่ครั้งแรก”

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าวไปพลาง เบะปากไปพลาง “ตอนนั้นพวกเขาตอบตกลงเรื่องการทดสอบแห่งจันทราอย่างใจกว้าง เห็นได้ชัดเจนว่าพวกเขามีแผนในใจอยู่แล้ว พวกเขาทำให้ดูเหมือนว่าเป็นการแย่งชิงที่ยุติธรรม แต่แท้จริงแล้วก็เป็นกลลวงเพื่อที่จะเก็บของเข้ากระเป๋าของตนเอง ในใจก็คงหัวเราะในความโง่ของผู้อื่นอยู่ด้วย”

“การทดสอบแห่งจันทราครั้งที่สอง เมิ่งหว่านได้รับบาดเจ็บ แต่ก็เป็นเหตุสุดวิสัย มิเช่นนั้นแล้วจากข้อได้เปรียบต่างๆ ถึงไม่สิบก็มีแปดเก้าส่วนที่มงกุฎจันทราจะเป็นของพวกเขาอีก”

เยี่ยนตี๋กล่าวว่า “แต่นั่นก็เป็นการแย่งชิงที่ยุติธรรม พวกเขาสามารถตระเตรียมการได้เต็มที่กว่าผู้อื่น นี่ก็เป็นความสามารถของพวกเขาเช่นกัน ไม่เหมือนเช่นสำนักของเรา หากไม่ใช่เพราะการค้นพบของเจ้าครั้งนี้ แม้แต่สตรีแห่งจันทราก็หาไม่พบมาโดยตลอด”

“คำมั่นที่เจ้าได้ให้ไว้ก่อนหน้านี้ ว่าจะสามารถทำให้จันทรากายของเฟิงอวิ๋นเซิงฟื้นคืนกลับมาได้ เจ้าต้องจดจำเอาไว้ให้ดี นี่ก็เป็นเรื่องใหญ่เช่นเดียวกัน”

เยี่ยนจ้าวเกอผงกศีรษะทันที “ท่านวางใจ ข้ารู้แก่ใจดี”

เขาหยุดชะงักไปเล็กน้อย แล้วจึงพูดต่อว่า “หากการทดสอบแห่งจันทราครั้งนี้ไม่น่าไว้ใจถึงเพียงนี้ เช่นนั้นก็ต้องคิดแผนรับมือแล้วละ”

สายตาของเขามองไปทางทิศเหนือ “ส่วนมากหอคลื่นโหมมักจะวางตัวไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ภายนอก ส่วนเขาไร้พรมแดนกลับมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอด และมีแนวโน้มที่จะเหยียบเรือสองแคมเหมือนกับครั้งนี้”

“ภูผาพิภพมีเขตแดนติดกันกับนภาพิภพของเรา ทั้งสองฝ่ายจึงยากที่จะเลี่ยงข้อพิพาทได้ แต่ภูผาพิภพก็มีเขตแดนติดกันกับอัสนีพิภพเช่นเดียวกัน ระหว่างทั้งสองฝ่ายมีความขัดแย้งซึ่งกันและกันอยู่ไม่น้อย อีกทั้งที่วายุพิภพ เขาไร้พรมแดนกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ก็มีข้อครหากันอยู่บ้าง”

ระหว่างเขาไร้พรมแดน ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งภูผาพิภพ กับเขากว่างเฉิงนั้น เป็นความสัมพันธ์ที่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันเสียมากกว่า ถึงแม้ว่าจะพูดไม่ได้ว่ากลมเกลียวปรองดองกัน แต่ก็ไม่ถึงขั้นนับว่าเป็นศัตรูกัน ไม่เหมือนเช่นความสัมพันธ์ของเขากว่างเฉิงกับสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ที่ตึงเครียดเช่นนี้

ดินแดนที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองต่างก็พยายามแย่งชิงพื้นที่ที่อยู่ติดกันเพื่อใช้พัฒนาตนเอง จึงเลี่ยงที่จะเกิดการกระทบกระทั่งกันบ้างไม่ได้

ถึงกระนั้นก็มีตอนที่ร่วมมือกันด้วย โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์นับวันยิ่งใช้อำนาจบาตรใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ

ทว่าสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์เองโดยส่วนมากก็ใช้ยุทธศาสตร์คบไกลโจมตีใกล้ ดังนั้นส่วนมากมักจะเกลี้ยกล่อมเขาไร้พรมแดนด้วยท่าทีที่ยอมโอนอ่อน เพียงแต่ว่าตำหนักอัสนีสวรรค์ พันธมิตรเดิมของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์มีความสัมพันธ์กับเขาไร้พรมแดนไม่ค่อยดีนัก สำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์จึงต้องระมัดระวังการกระทำด้วยเช่นกัน

สำหรับเรื่องนี้ ภายในของเขาไร้พรมแดนก็มีการถกเถียงกันด้วยเช่นกัน

“มีคนที่มองสำนักของเราเป็นศัตรู แต่ก็มีคนที่ใกล้ชิดกับสำนักเราเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้น” เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อย “พวกเราเพิ่มหมากตัวหนึ่งให้กับคนของเขาไร้พรมที่ใกล้ชิดกับสำนักเรา ทำให้พวกเขามีอำนาจในการต่อรองมากขึ้น ซึ่งจะทำให้พวกเขาโอนเอนมาทางพวกเรามากขึ้นเรื่อยๆ แทนที่จะเป็นสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์”

เยี่ยนตี๋กล่าวอย่างเรียบเฉยว่า “เช่นนั้นก็หมายความว่า พวกเราต้องจ่ายค่าตอบแทนบางอย่าง และในบางเรื่องก็จำเป็นต้องยอมถอยหลังบ้าง”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มกว้างแล้วพูดว่า “นั่นก็ไม่แน่นัก อาจจะเป็นการยืมจมูกคนอื่นหายใจก็เป็นได้ขอรับ”

“โอ้ ” สายตาของเยี่ยนตี๋ทอดมองมา เยี่ยนจ้าวเกอชี้ไปทางทิศเหนือ แล้วยิ้มพลางพ่นคำออกมาสี่คำ

“เขานิมิตเมฆ”

แววตาของเยี่ยนตี๋ส่องประกายเล็กน้อย “เจ้ามีความคิดอะไรหรือ”

ชายหนุ่มตอบว่า “แม้ว่าศิษย์น้องเฟิงจะถูกส่งกลับไปที่สำนัก แต่ข้าอยู่ที่ถังตะวันออกต่อ นอกจากจะคิดเรื่องของวิธีปรุงโอสถเซียนและเตาผลึกหินชั้นในแล้ว ก็ยังคิดเรื่องการฟื้นฟูจันทรากายของนางด้วย เพื่อที่จะไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด”

“ในขณะที่ศึกษาอยู่ ข้าก็พบว่าถ้าหากสามารถหาพื้นที่วิเศษที่เป็นหยินเดี่ยวและหยางเดี่ยวได้ละก็ จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่สำคัญยิ่ง”

“สถานที่เช่นนี้นภาพิภพของพวกเราไม่มี ด้วยเหตุนี้ข้าจึงมองหาที่แห่งอื่นๆ”

เมื่อเยี่ยนตี๋ฟังถึงตรงนี้ก็ผงกศีรษะ “ไม่ผิดหรอก เขานิมิตเมฆแห่งภูผาพิภพเป็นสถานที่เช่นนี้แหละ”

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ฉะนั้นข้าจึงรวบรวมข้อมูลบางอย่างของเขานิมิตเมฆ หลังจากที่ศึกษาอย่างละเอียดก็พบว่าที่แห่งนั้นเหมือนกับจะมีความลึกลับอื่นๆ อยู่”

“เมื่อข้ากลับสำนักไปศึกษาอย่างละเอียดแล้ว รอให้ถึงตอนที่ท่านกับท่านอาจารย์ปู่กลับสำนักแล้วค่อยคุยรายละเอียดกัน”

เยี่ยนตี๋ไม่เอ่ยถามให้มากความอีกต่อไป เขาผงกศีรษะแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้ารีบกลับสำนักไปเตรียมการเถอะ”

“ขอรับ” เยี่ยนจ้าวเกอคำนับครั้งหนึ่ง หลังจากที่ส่งมอบเรื่องของถังตะวันออกแล้ว เขาก็ออกเดินทางกลับเขากว่างเฉิงทันที

เวลาผ่านไปครึ่งปีกว่าๆ การกลับมาเขากว่างเฉิงอีกครั้งนี้ ชั่วขณะหนึ่งเยี่ยนจ้าวเกอเกิดความรู้สึกเหมือนกลับบ้าน

“ศิษย์พี่เยี่ยน!”

“ศิษย์พี่เยี่ยนกลับสำนักแล้วหรือขอรับ”

“คารวะศิษย์พี่เยี่ยน ”

เมื่อศิษย์รุ่นเยาว์ภายในสำนักพบเยี่ยนจ้าวเกอเข้า ในสายตาที่มองมาก็ยิ่งเพิ่มความรู้สึกเคารพนับถือมากขึ้น

แววตาของพวกเขาไม่ใช่ความรู้สึกที่มองคนรุ่นเดียวกันอีกต่อไปแล้ว ทว่ายิ่งดูเหมือนกับการมองบุคคลที่อยู่คนละระดับชั้นกับพวกเขามากกว่า

เหตุการณ์ภายในสงครามถังตะวันออก บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้

ถึงกระนั้นพวกเขาต่างก็รู้ว่าในช่วงเวลาครึ่งปีกว่า ศิษย์พี่ท่านนี้ที่อยู่เบื้องหน้าก้าวกระโดดจากขั้นจิตราชั้นในระยะท้าย ไปสู่ขั้นจิตราชั้นนอกระยะท้าย

เฉาหยวนหลง ผู้ที่เป็นเสาหลักศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักสุริยันศักดิ์สิทธิ์ พ่ายแพ้ให้กับเยี่ยนจ้าวเกอถึงสองครั้ง ยิ่งกว่านั้นเซียวเซิงยังถูกเขาฆ่าตาย

นอกจากความสำเร็จในด้านวรยุทธ์ เยี่ยนจ้าวเกอยังทำให้เตาผลึกหินชนในกลับสู่โลกอีกครั้ง ช่วยให้พลังความสามารถโดยรวมของเขากว่างเฉิงเพิ่มสูงขึ้นอย่างพรวดพราด

ลำพังเพียงแค่ผลงานที่รับรู้แล้วเหล่านี้ ก็มากพอที่จะทำให้เยี่ยนจ้าวเกอดูแตกต่างออกไปในสายตาของศิษย์น้องทั้งหลาย

เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มตาหยีทักทายทุกๆ คน แล้วจึงไปที่ตำหนักปฏิบัติกิจก่อนเป็นอันดับแรก

ตามกฎระเบียบแล้ว ก่อนหน้านี้ที่ตนไปยังถังตะวันออกก็เพราะมีภารกิจ เมื่อกลับสำนักคราวนี้ จึงต้องรายงานผลก่อนเป็นอันดับแรก

ในขณะเดียวกันก็มีคนหนึ่งที่ตามมารยาทแล้วควรจะเข้าพบก่อนเช่นเดียวกัน

ชายหนุ่มเข้าไปในตำหนักปฏิบัติกิจ หลังจากที่รายงานผลของภารกิจก่อนหน้านี้แล้ว ผู้อาวุโสปฏิบัติกิจท่านหนึ่งก็นำเขามาถึงที่ตำหนักหลัง

ในตำหนักมีชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างหน้าตาดูดีมีสกุลคนหนึ่งนั่งอยู่ เขากำลังอ่านเอกสารแล้วประทับตราอย่างรวดเร็ว

เขาเงยหน้าขึ้น ทอดสายตามองมา แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยนกล่าวว่า “จ้าวเกอกลับมาแล้ว”

เยี่ยนจ้าวเกอคำนับอย่างสงบนิ่ง “ท่านอาจารย์ลุงรอง”

ชายวัยกลางคนที่ไว้เครายาวสามส่วน ท่าทีดูอ่อนโยนเป็นสง่าอยู่เบื้องหน้าผู้นี้ ก็คืออาจารย์ลุงรองของเยี่ยนจ้าวเกอนั่นเอง

ฟางจุ่น หัวหน้าตำหนักปฏิบัติกิจรุ่นปัจจุบัน

………….