โอรสเทพแสงฉานหันกลับมาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “นี่ไม่นับเป็นการล่วงล้ำหรอก หากว่าข้าเป็นผู้เชิญให้เจ้าเข้าไปในโถงศักดิ์สิทธิ์เอง โปรดตามข้ามา”
ฉินมู่ลังเล และหันหัวกลับไปมองยังกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกผู้ซึ่งดูป่วยไข้ เขาดูเหมือนไม่หลงเหลือความสุขสันต์ในชีวิตอีกต่อไป และเดินลากเท้ามาอย่างเชื่องช้า
บาดแผลเขาน่าจะหายดีแล้วในตอนนี้ ทำไมเขายังดูซึมกะทืออยู่อีก
ฉินมู่ฉงนฉงาย ปกติแล้วบรรพชนแรกจะมีท่าทีอันเย็นชาและไม่ค่อยพูดจาตอบสนองใคร แต่ว่าตั้งแต่ที่พวกเขามาถึงโลกลอยเลื่อน เขาก็ดูจะอ่อนแอและหดหู่อีกเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าสาเหตุไม่ได้มาจากอาการบาดเจ็บของเขา
ทั้งคู่ติดตามโอรสเทพแสงฉาน และเดินตรงไปยังโถงศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ โอรสเทพแสงฉานแย้มยิ้ม “สหายผู้นี้คอยคุ้มกันเจ้าอยู่ตลอดและมิใช่คุ้มกันองค์หญิงสันตินิรันดร์ ดูเหมือนกับว่าเจ้าจะมีความสำคัญสูงล้ำกว่านางนัก”
ฉินมู่กำลังจะกล่าวบางอย่าง แต่โอรสเทพแสงฉานพูดต่อ “อันที่จริงแล้ว ในหัวใจของข้า เจ้านั้นมิได้เพียงแต่สำคัญกว่าองค์หญิงสันตินิรันดร์ เจ้ายังยิ่งสำคัญกว่าจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมากนัก”
ฉินมู่ตะลึงไปเล็กน้อย เขาแย้มยิ้มและกล่าว “องค์ชาย ไฉนจึงกล่าวเช่นนั้น”
โอรสเทพแสงฉานไม่ตอบคำถามของเขา และเดินเข้าไปในโถง “นับตั้งแต่โถงนี้ถูกสร้างขึ้นมา ก็ไม่มีคนนอกใดที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปข้างใน มีไม่กี่คนในเผ่าพันธุ์ของข้าที่มีสิทธิเข้าไปสักการะสมองของจักรพรรดิแดงฉาน อย่าว่าแต่คนนอก”
ฉินมู่กล่าว “องค์ชายโอรสเทพ ได้ทำให้ข้าตื้นตันในความกรุณาที่อนุญาตให้เข้ามา”
ฉินมู่นั้นเต็มไปด้วยความตื้นตันจริงๆ
เมื่อเห็นใบหน้าอันซาบซึ้งของเขา โอรสเทพแสงฉานก็โคลงหัว “สีหน้าของเจ้านั้นเลียนแบบได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ทว่าเจ้าเพียงเสแสร้งเท่านั้น มันไม่ได้มาจากก้นบึ้งหัวใจของเจ้า เจ้าเพียงแค่อยากรู้อยากเห็น ไม่ได้ตื้นตันในอะไรทั้งสิ้น หากว่าเจ้าสามารถเสแสร้งจนกระทั่งมันผุดออกมาจากหัวใจเจ้าจริงๆ นั่นก็อาจจะตบตาข้าได้ในบางที”
ฉินมู่หน้าแดงด้วยความอาย
“สีหน้าอับอายนี้ก็จอมปลอมเหมือนกัน”
โอรสเทพแสงฉานเดินต่อไปและกล่าว “พวกเจ้าอาจจะยังไม่รู้ แต่อันที่จริงแล้วข้าไม่ใช่ผู้สืบสันดานจากทั้งจักรพรรดิแดงฉานและจักรพรรดิแสง ข้ายังไม่มีสายเลือดเกี่ยวข้องกับพวกเขาอีกด้วย”
ฉินมู่ตกตะลึง กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยใคร่รู้ เขาเริ่มเอ่ยปากก่อน “พี่ทางเต๋า หากว่าเจ้าไม่ใช่ผู้สืบสันดานของพวกเขา แล้วทำไมเจ้าถึงได้รับการยกย่องให้เป็นโอรสเทพแสงฉานล่ะ”
โอรสเทพแสงฉานดูจะจมลงไปในความทรงจำเมื่อเขาอธิบาย “ก่อนที่ภัยพิบัติจะเกิดขึ้น จักรพรรดิแสงก็มีสังหรณ์รู้ล่วงหน้า เขาได้รวบรวมผู้เปี่ยมความสามารถเยาว์ในโลกหล้าและจัดการชุมนุมจ้าวยุทธจักร หลังจากการคัดสรรหลายรอบ ก็มีผู้คนเพียงหนึ่งพันคนที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าพบจักรพรรดิแสง และข้าเป็นหนึ่งในนั้น คำสอนของจักรพรรดิแสงให้แรงบันดาลใจกับพวกเราเป็นอย่างมาก แต่ข้าไม่ใช่ผู้ที่โดดเด่นที่สุดท่ามกลางพวกเขา เพราะโดยภาพรวมแล้ว ปฏิภาณและพรสวรรค์ของข้า รวมไปถึงทักษะเทวะ มรรคา และวิชา ล้วนแต่ไม่เพียงพอที่จะนับได้ว่าเป็นหนึ่งในสิบสุดยอด แต่ถึงอย่างนั้น จักรพรรดิแสงก็ยังคงเลือกข้าอยู่ดี เขาบอกแก่ข้าว่าสิ่งที่ยุคสมัยแสงฉานต้องการไม่ใช่ผู้มีปฏิภาณพรสวรรค์อันล้ำเลิศ แต่เป็นผู้ที่สามารถกุมและขับเคลื่อนหัวใจของผู้คน เพื่อช่วยให้ผู้คนเดินออกมาจากความพ่ายแพ้ เขาบอกกับข้าถึงเส้นทางมายังโลกลอยเลื่อน และหลังจากนั้น ภัยพิบัติก็ปะทุขึ้นมา”
สีหน้าของโอรสเทพแสงฉานหมองลง และผ่านไปครู่หนึ่ง ท่วงทีของเขาก็กลับมาเป็นปกติ “ในตอนแรกข้าก็ยังไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเลือกข้า จนกระทั่งภัยพิบัติโถมซัดเข้ามาข้าถึงได้เข้าใจ จักรพรรดิแสงบอกกับทุกๆ คนว่าข้าคือบุตรแห่งโชคชะตา เป็นโอรสเทพสำหรับยุคสมัยแสงฉาน และเมื่อวันสิ้นโลกมาถึง ผู้คนมากมายก็หันมาหาข้าและกลายเป็นผู้ติดตามของข้า พวกเขาเชื่อว่าข้าคือบุตรแห่งโชคชะตาที่สามารถนำความหวังคืนมาให้พวกเขาได้ ดังนั้นข้าจึงพาสหายร่วมเผ่าที่เหลือทั้งหมด ความหวังที่เหลืออยู่ทั้งหมดของยุคสมัยแสงฉาน เข้ามายังห้วงอวกาศ และเสาะหาโลกลอยเลื่อน จากนั้นพวกเขาก็ลงหลักปักฐานในที่สุด”
เขากล่าวด้วยสีหน้านิ่งสงบ “ข้าเข้าใจว่าทำไมจักรพรรดิแสงถึงเลือกข้า มันก็เพราะว่าข้าสามารถรับมือกับความพ่ายแพ้ได้ ข้าสามารถขับเคลื่อนหัวใจของผู้คนทั้งหลาย มอบความหวังให้แก่พวกเขา ข้าไม่ใช่บุตรแห่งโชคชะตาแห่งยุคสมัยแสงฉาน แต่ข้าสามารถนำพาสหายร่วมเผ่าให้รอดพ้นจากความตาย พาพวกเขาเดินออกไปจากความพ่ายแพ้ ข้ายังสามารถนำพาพวกเขาออกไปจากกรอบคิดที่สุขสงบและผ่อนคลายนี้ได้ และมอบจิตวิญญาณต่อสู้ ทั้งยังปลุกจิตวิญญาณดิบเถื่อนแห่งยุคสมัยแสงฉาน!”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกเงียบงัน
ประสบการณ์ของโอรสเทพแสงฉานนั้นคล้ายคลึงกับประสบการณ์ของเขามาก แต่ทว่า ทั้งสองคนได้ตัดสินใจเลือกหนทางที่แตกต่างกัน
โอรสเทพแสงฉานอดทนและก้าวต่อไปข้างหน้า เขาเป็นผู้นำที่โดดเด่น และเขารู้จักว่าเมื่อไหร่ควรถอยเมื่อไหร่ควรรุกไล่
ในทางกลับกัน เขาได้นำสหายร่วมเผ่าที่หลงเหลืออยู่ไปยังสันตินิรันดร์ และก็กบดานเก็บตัวมานับตั้งแต่บัดนั้น เขาไม่ทำอะไรเลยสักอย่างตลอดเวลาสองหมื่นปี และไม่ได้มอบความหวังใดๆ ให้แก่สหายร่วมเผ่าพันธุ์
สาเหตุที่เขาดูป่วยไข้และหดหู่มาตลอดหลายวันนี้ก็เพราะว่าโลกลอยเลื่อนเตือนให้เขานึกถึงหมู่บ้านไร้กังวล สถานการณ์ของโลกลอยเลื่อนในตอนนี้ ไม่ใช่ว่าไม่แตกต่างกับสถานการณ์ปัจจุบันของหมู่บ้านไร้กังวลหรอกหรือ
โอรสเทพแสงฉานพยายามที่จะเดินออกไปจากโลกลอยเลื่อน แต่ใครกันล่ะที่จะสามารถนำอดีตผู้ใต้บัญชาของจักรพรรดิก่อตั้งออกจากหมู่บ้านไร้กังวลได้ หมู่บ้านไร้กังวลก็ต้องการโอรสเทพจักรพรรดิก่อตั้งด้วยเช่นกัน!
บัดนี้เมื่อเขาได้รับฟังและเข้าในอดีตของโอรสเทพแสงฉาน เขาก็ระลึกถึงอดีตของตนเอง
ข้าไม่ใช่โอรสเทพจักรพรรดิก่อตั้ง…
ความข่มขื่นท่วมท้นขึ้นมาในหัวใจของเขา ครูบาสวรรค์พูดถูกแล้ว คนหนีทัพ ถึงอย่างไรก็ยังเป็นคนหนีทัพ…
“โอรสเทพบอกเล่าความลับเหล่านี้แก่พวกเราอย่างหมดเปลือก หรือว่าเจ้าวางแผนที่จะฆ่าปิดปาก” เสียงของฉินมู่พลันทำลายห้วงคิดของเขา
โอรสเทพแสงฉานหัวเราะเบาๆ และส่ายหัว “ไม่ใช่หรอก สหายผู้นี้ข้างๆ เจ้านั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง อีกอย่าง ร่างกายของเจ้าก็บรรจุไว้ด้วยพลังงานอันน่าสะพรึงกลัว แม้ว่ามันจะถูกสะกดข่มเอาไว้ด้วยเวทปิดผนึก แต่ก็ยังทำให้หัวใจข้าเต้นโครมคราม ข้าไม่ต้องการจะสังหารพวกเจ้าทั้งสอง แต่ต้องการจะชักนำพวกเจ้าให้เข้ามาใกล้ ให้พวกเราสนิทกันมากขึ้นอีกหน่อย”
เขากล่าวเสริมอย่างจริงจัง “จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมีจิตวิญญาณของจักรพรรดิฟ้า แต่เขาได้ถือกำเนิดในเวลาอันผิดพลาด น่าเสียดาย เขาจะต้องตายอย่างแน่นอน ดังนั้นเจ้าสนับสนุนเขาไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร หากว่าอธิการบดีฉินสามารถช่วยเหลือข้าได้ พวกเราก็จะสามารถต่ออายุชะตาของสันตินิรันดร์และแสงฉาน พวกเราสามารถตั้งตัวใหม่และต่อสู้กับสรวงสวรรค์อีกครั้งหนึ่ง! อธิการบดีฉิน โปรดช่วยสนับสนุนข้า!”
ฉินมู่ตกตะลึง จากนั้นเขาก็พลันหัวเราะ เสียงของเขาก้องสะท้อนไปมาระหว่างผนังในโถงศักดิ์สิทธิ์
ผ่านไปเนิ่นนาน เสียงหัวเราะเขาถึงสิ้นสุดลง และรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็หายไปด้วยเช่นกัน เขาส่ายหัวและกล่าว “องค์ชายโอรสเทพคงจะเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไป ข้าไม่ใช่เสาหลักแห่งสันตินิรันดร์และไม่ใช่ราชครูผู้ซึ่งกำกับดูแลการปฏิรูป ข้านั้นเป็นเพียงอธิการบดีแห่งสันตินิรันดร์ ที่เข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องนี้โดยบังเอิญเท่านั้น หากว่าเจ้าต้องการจะชักนำใครสักคน ไปคล้องดึงราชครูเถอะ ความสามารถและความรู้ของเขานั้นเหนือกว่าข้าเป็นร้อ– ไม่สิ สองเท่า! ประมาณสองเท่า บางทีอาจจะไม่ถึงสองเท่า แต่เขาก็ยังพอได้”
“ราชครูสันตินิรันดร์? ข้าจะไปพบกับเขาด้วยตนเองในอนาคต เพื่อดูว่าเขาจะสมกับคำชื่นชมยกย่องของอธิการบดีหรือไม่ อธิการบดีเองก็ไม่จำเป็นต้องผลักไสข้า ใครจะบอกได้แน่ชัดว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต ลองไตร่ตรองมันดูก่อน สมองของจักรพรรดิแดงฉานอยู่ข้างหน้านี่เอง” โอรสเทพแสงฉานกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ฉินมู่และบรรพชนแรกมองไปและเห็นแสงเจิดจ้าส่องมาจากข้างหน้า แสงนั้นไขว้สลับกัน สานเข้าด้วยกันและกัน และรูปทรงของมันเหมือนกับสมองก้อนมหึมาที่กินพื้นที่เป็นไร่ๆ เมื่อใครยืนอยู่ที่นี่ตรงหน้าแสงเช่นนี้ ก็ย่อมรู้สึกถึงความไม่สลักสำคัญและความด้อยปัญญาของตน
แม้ว่าจะเป็นสมองของจักรพรรดิแดงฉาน ก้อนแสงนี้ก็ไม่ใช่สมองจริงๆ จักรพรรดิแดงฉานได้แปรเปลี่ยนเป็นโลกลอยเลื่อนไปแล้ว ดังนั้นก้อนสมองของเขาก็ไม่มีอยู่อีกต่อไป แสงนี้เป็นเพียงแสงแห่งสำนึกรู้ของเขาก็ยังไหลวนอยู่
แสงที่ก่อรูปขึ้นมาเป็นก้อนสมองมีบางจุดที่สว่างมาก และบางจุดที่ขมุกขมัวมาก แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นไปตลอด เพราะว่าลำแสงเหล่านั้นไหลวนและแปรเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าจักรพรรดิแดงฉานยังคงมีกิจกรรมการคิดและพลังชีวิตอยู่
“ตัวตนที่แข็งแกร่งอะไรอย่างนี้! แม้ว่ากายเนื้อของเขาจะแตกดับ และดวงจิตก็ถูกลบล้าง แต่สำนึกรู้ของเขาก็ยังคงอยู่และดำรงไปชั่วนิรันดร์!”
ฉินมู่โค้งคารวะไปยังก้อนแสง ความเลื่อมใสของเขาต่อจักรพรรดิแดงฉานออกมาจากก้นบึ้งหัวใจอย่างแท้จริง นี่คือความเคารพอย่างจริงใจ และไม่มีความมดเท็จเจือปนเลยสักนิด
โอรสเทพแสงฉานมาตรงหน้าสมองของจักรพรรดิแดงฉานและกล่าว “เมื่อครั้งกระโน้น ตอนที่จักรพรรดิแสงสักการะจักรพรรดิแดงฉาน เขาได้รับสะเก็ดเสี้ยวสำนึกรู้ของจักรพรรดิแดงฉาน นี่ทำให้เขาสามารถแสวงหาหนทางล่าถอยให้แก่พวกเรา ข้าสงสัยว่าจักรพรรดิแดงฉานอาจจะไม่ได้ต้องการให้พวกเราค้นพบโลกลอยเลื่อนเพื่อใช้มันเป็นที่ซุ่มซ่อนตัว เขาอาจจะต้องการให้พวกเราอาศัยสะเก็ดเสี้ยวสำนึกรู้นั้นเพื่อเสาะหาสมองของเขา และรับถ่ายทอดความทรงจำจำนวนหนึ่งในจิตคิดของเขา”
ฉินมู่อึ้งไป เขาอุทานในใจ แม้ว่าโอรสเทพผู้นี้จะไม่ใช่บุตรแห่งโชคชะตาตัวจริง แต่เขารู้จักที่จะคิดย้อนพลิกอีกด้าน กระบวนการคิดของเขาคล้ายคลึงกับข้า
โอรสเทพแสงฉานมีสีหน้าซับซ้อนบรรยายไม่ถูก ขณะที่เขาแตะไปยังสมองของจักรพรรดิแดงฉานอย่างแผ่วเบา แสงของสำนึกรู้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เมื่อแสงไหลออกมาจากพื้นผิว ส่องสว่างและขมุกขมัวสลับกันไปอย่างไม่หยุดนิ่ง!
“เขานั้นกำลังพยายามบอกบางอย่างกับข้าจริงๆ แต่ข้าขาดปฏิภาณพรสวรรค์ ดังนั้นข้าจึงมาพบเขาบ่อยครั้งเพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติม แต่ข้าไม่เคยได้รับการชี้แนะนำทางจากเขาเลย”
โอรสเทพแสงฉานถอนหายใจ “มาสิ พวกเจ้าทั้งสอง ทำไมพวกเจ้าไม่ลองดูล่ะ บางทีพวกเจ้าอาจจะได้รับการนำทางจากจักรพรรดิแดงฉานก็ได้”
ฉินมู่กำลังเอื้อมมือจะไปแตะกับสมองของจักรพรรดิแดงฉาน แต่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็ตีมือเขาลงไป “ระวัง จักรพรรดิแดงฉานอาจจะสิงร่างเจ้า”
โอรสเทพแสงฉานกล่าว “จักรพรรดิแดงฉานเป็นตัวตนที่ก่อตั้งยุคสมัยแสงฉาน เขาจะทำเรื่องต่ำช้าเช่นนั้นได้อย่างไร หากว่าเขาต้องการจะทำเช่นนั้น เขาก็คงสิงสู่ร่างของข้าไปตั้งนานแล้ว น่าเสียดาย แม้ว่าข้ามีจิตใจหมายจะอุทิศตนเอง แต่ดวงวิญญาณเขาได้แตกสลายไปแล้ว และแปรเปลี่ยนเป็นโลกลอยเลื่อนแห่งนี้”
ฉินมู่คิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็นำเอาใบหลิวทองคำออกจากหน้าผากของตน เขายื่นมือออกไปด้วยรอยยิ้ม “ข้าแตะสักที คงไม่ตายหรอกน่า…”
บรรพชนแรกขมวดคิ้ว และเขาก็ยื่นฝ่ามือออกไปเช่นกัน ฝ่ามือของทั้งคู่แตะไปที่สมองของจักรพรรดิแดงฉานในเวลาเดียวกัน
ตูมม
เสียงระเบิดกัมปนาทอันราวกับจะผ่าแยกฟ้าแยกดินก็ดังก้องขึ้นมาในสมองของพวกเขา ภาพและเสียงอันสลับซับซ้อนจำนวนไร้ประมาณถั่งโถมเข้าไปในจิตของพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง และเสียงทั้งหมดดูเหมือนจะมาจากบุคคลคนเดียวกัน หากแต่ทว่า ประโยคของเสียงเหล่านี้ล้วนกระชั้นสั้น มันเป็นเพียงแค่วลีหนึ่ง แต่มีจำนวนวลีมากมายอย่างเหลือล้น ในเสี้ยววินาทีวลีนับพันๆ ดังก้องมาในเวลาเดียวกัน!
ในขณะเดียวกันนั้น ภาพที่ปรากฏก็ทั้งซับซ้อนและยากจะไขความหมาย ภาพนับพันๆ พุ่งวูบวาบผ่านหน้าของพกวเขาไป และพวกมันดูเหมือนจะเป็นภาพอันหลากหลายและน่าสยดสยองที่เกิดขึ้นมาจากการถล่มทลายของฟ้าดิน ฉินมู่และกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกมีลูกตาที่กลอกไปรอบๆ ราวกับกลองเขย่า มองไม่เห็นลูกตาของพวกเขาชัดเจนเลยสักนิด!
ตึ๊ง
ข้างในดวงตาที่หว่างคิ้วของฉินมู่ มันถึงกับมันดวงตาอีกดวงและดวงตานั้นกำลังมองออกมาข้างนอกด้วยความสนอกสนใจ
จังหวะนั้นเอง ในแผ่นดินรูปคำว่าฉินข้างในดวงตาของฉินมู่ ฉินเฟิงชิงตัวมหึมาและตุ้ยนุ้ยก็กำลังนั่งทับร่างแยกของเทพสรรพชีวิตอยู่ เขานั้นแหวกเวทปิดผนึกออกไปข้างๆ และใช้ดวงตาข้างหนึ่งแอบมองออกไป พอจะมองเห็นสถานการณ์ภายนอกอยู่บ้าง ทารกยักษ์ผู้นี้สงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง เขาหยิบยืมดวงตาที่หว่างคิ้วของฉินมู่เพื่อจ้องมองไปยังสมองของจักรพรรดิแดงฉานด้วยน้ำลายไหลยืด
ทันใดนั้น ข้อมูลจากสมองจักรพรรดิแดงฉานก็หลั่งไหลเข้ามาท่วมจิตคิดของเขา!
ไอ้เวรไหนมันวางแผนลอบกัดข้า
ทารกยักษ์ผงะออกไปเมื่อชิ้นส่วนข้อมูลอันเชี่ยวกรากรุนแรงตรึงเขาให้แน่นิ่งอยู่กับที่
ในเวลาเดียวกันนั้น แรงกดดันบนฉินมู่ก็บรรเทาลงไปอย่างมาก แต่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกนั้นมีเลือดหลั่งไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด มือของเขาไม่ยอมจะปล่อยออกไป และเขาล้มคว่ำ หมดสติทั้งยังตัวแข็งทื่อ
โอรสเทพแสงฉานถอนหายใจเบาๆ “เจ้าก็ยังคงไม่สามารถรับมือได้กับข้อมูลในสมองของจักรพรรดิแดงฉาน แน่อยู่แล้ว วรยุทธของเจ้าด้อยกว่าข้าอยู่เล็กน้อย หากว่าข้ายังรับมือไม่ได้ แล้วเจ้าจะทำได้อย่างไร”
เขายกมือขึ้น และบนนั้นคือถุงมือโปร่งใส เมื่อเขาแตะกับสมองของจักรพรรดิแดงฉานก่อนหน้า เขาไม่ได้รับผลกระทบก็เพราะว่ามันมีถุงมือที่กางกั้นระหว่างมือของเขากับสมอง
“ส่วนเจ้า อธิการบดีฉิน…”
สายตาของโอรสเทพแสงฉานวูบวาบ ดวงตาทั้งสองของเขาเปิดออกทั้งหมด จับจ้องไปยังฉินมู่ “เจ้ายังทนอยู่ได้โดยไม่หมดสติได้อย่างไรกัน แต่ทว่า นี่ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เจ้าได้ตกลงไปในเขาวงกตแห่งสำนึกรู้ของสมองจักรพรรดิแดงฉานเรียบร้อยแล้ว เจ้าอาจจะไม่มีทางตื่นขึ้นมาอีกต่อไป”
เขายกมือขึ้นอย่างแผ่วเบา และกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกที่หมดสติก็ลอยขึ้นมา โอรสเทพแสงฉานจึงหันกลับไปพร้อมกับกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกที่ลอยตามมาข้างหลังเขา
“ข้าเคยเห็นผู้คนอย่างเจ้า เจ้าจะไม่มีวันศิโรราบแก่ข้า ต่อให้การปฏิรูปของราชครูสันตินิรันดร์ล้มเหลว เจ้าก็จะไม่ยอมก้มหัว และก็จะมีแต่สนับสนุนองค์หญิงอวี้จิวเท่านั้น”
เขาเดินออกไปจากโถงศักดิ์สิทธิ์ด้วยสายตาอันเหินห่าง เขากล่าวอย่างนุ่มนวล “เจ้าจะไม่ตาย แต่สำนึกรู้ของเจ้าจะหลอมรวมเข้ากับของจักรพรรดิแดงฉาน และเจ้าจะจมเข้าไปในเขาวงกตของเขา ต่อให้เจ้าสามารถเดินออกมาได้ในที่สุด เจ้าก็จะพบว่าโลกนี้มิใช่โลกที่เจ้าจดจำได้อีกต่อไป ผู้คนทั้งหลายจะกลายเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเจ้า ไม่ใช่ผู้ที่คุ้นหน้าตาเจ้าอีก…”
เขาเริ่มเดินลงไป ในตอนนั้นเอง สายลมแผ่วเบาก็พัดออกมาจากข้างในโถงศักดิ์สิทธิ์
โอรสเทพแสงฉานตระหนกเล็กน้อย และเขาหันกลับไปมองดูที่ประตูโถงศักดิ์สิทธิ์
โถงศักดิ์สิทธิ์มืดมัวลงไปทันที และเสียงประหลาดใจของฉินมู่ก็ดังมาจากข้างใน “ดับสูญไปแล้ว? มันเป็นแบบนี้ได้อย่างไร บรรพชนแรก? โอรสเทพ? พวกเจ้าอยู่ที่ไหนกัน ไม่มีใครอยู่…งั้นก็ได้เวลาหนี!”
โอรสเทพแสงฉานเห็นฉินมู่เผ่นแผล็วออกมาจากโถงศักดิ์สิทธิ์ราวกับหัวขโมย เมื่อเขาเห็นโอรสเทพข้างนอก ท่าทีลับๆ ล่อๆ ของอธิการบดีผู้นี้ก็หายวับ
โอรสเทพแสงฉานสีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย และเขารีบโยนบรรพชนแรกลงไปกับพื้น ร่างของเขาพุ่งวาบ ในเสี้ยวพริบตา เขาก็เข้าไปข้างในโถงศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเขาเห็นสมองของจักรพรรดิแดงฉาน แขนขาเขาก็เย็นเฉียบ และร่างของเขาแทบจะทรุดลงไป
สมองของจักรพรรดิแดงฉานได้ดับสูญไปแล้ว