เล่อเหยาเหยาปฏิเสธท่าทางของตงฟางไป๋ที่จะส่งเธอกลับวังอ๋อง เพราะเธอตอนนี้อารมณ์สงบลงแล้ว
หลังล้างหน้าที่ทะเลสาบ ดวงตาก็ไม่บวมเป่งแล้ว ทำให้สีหน้าที่เศร้าโศกทำให้คนตกใจเมื่อครู่ ดีขึ้น
หลังรอให้สีหน้าตนกลับมาเป็นปกติ เล่อเหยาเหยาจึงกลับไปที่วังอ๋อง
ประจวบกับได้ยินขันทีน้อยผู้อื่นเอ่ยว่า ท่านอ๋องได้กลับมาแล้ว
แม้จะเตรียมพร้อมในใจ ทว่าใจของเล่อเหยาเหยายังปวดแปลบ
แต่เล่อเหยาเหยายังสูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งรอบ เพื่อจัดการอารมณ์ฟุ้งซ่านของตน ก่อนเดินเข้าไปในตำหนักหย่าเฟิง
เล่อเหยาเหยาคิดว่าพญายมจะสะสางงานราชการอยู่ในห้องหนังสือเช่นที่ผ่านมา ทว่าต่อมาเธอจึงรู้ว่าความจริงพญายมไม่อยู่ที่ตำหนักหย่าเฟิง แต่อยู่ที่ห้องโถง
เมื่อได้ยินเล่อเหยาเหยาตะลึงชั่วขณะ หลังมาที่ห้องโถงจึงพบว่าวันนี้วังอ๋องมีแขกมาเยือน เป็นผู้ใดกันแน่ เล่อเหยาเหยาที่ไม่ทราบจึงคิดไปดูด้วยตนเอง
เมื่อเล่อเหยาเหยามาถึงห้องโถง เห็นภายในนั้นมีคนนั่งอยู่สามคนพอดี
และสามคนนั้น เล่อเหยาเหยารู้จักทั้งหมด
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่ต้องเอ่ยถึง ส่วนที่นั่งตรงข้ามเขากลับคือเหนียนซูหลาน และไทเฮา!
เห็นเช่นนั้น ใบหน้าจิ้มลิ้มของเล่อเหยาเหยาตะลึงงันชั่วขณะ สายตาหยุดอยู่ที่ตัวเหลียนซูหลาน
เพราะตั้งแต่ครั้งก่อนที่เหนียนซูหลานมาหาเธอ จากนั้นใช้ผลประโยชน์ให้เธอออกจากวังอ๋องไป จนถูกพญายมดุด่า และไม่อนุญาตให้เธอมาที่นี่ เล่อเหยาเหยาไม่เคยพบกับเธออีกเลย
เดิมคิดว่าวันหน้าคงไม่เห็นเหนียนซูหลานในวังอ๋องอีก คิดไม่ถึงผ่านไปหลายวัน เหนียนซูหลานจะกลับมาอีกครั้ง
ทว่าครั้งนี้ ข้างกายเธอยังมีไทเฮานั่งอยู่ด้วย
เล่อเหยาเหยาไม่ใช่คนโง่ เธอย่อมเข้าใจว่าเหนียนซูหลานคิดเช่นไรต่อพญายม
ครั้งก่อนเหนียนซูหลานเสนอผลประโยชน์เพื่อให้เธอออกจากวัง ขณะนั้นเธอไม่รู้เหตุผล เพราะบนโลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่ได้มาโดยไม่ลงแรง ตอนนี้เมื่อลองขบคิดอีกครั้ง เล่อเหยาเหยาจึงเข้าใจ
อาจเป็นเพราะเหนียนซูหลานรู้ว่าพญายมมีใจให้กับตน จึงมองว่าเธอคือศัตรูในความรัก ดังนั้นเมื่อสบโอกาสช่วงที่พญายมไม่อยู่ คิดใช้เงินทองเฉดหัวเธอออกจากวังอ๋อง คิดไม่ถึงจะถูกพญายมพบเห็นเข้า
และด้วยนิสัยเด็ดขาดของพญายม เขาจึงเอ่ยว่าห้ามเหนียนซูหลานเข้ามาเหยียบในวังอ๋องแม้แต่ก้าวเดียว เหนียนซูหลานย่อมไม่กล้าเข้ามา
เดิมคิดว่าครั้งก่อนพญายมทำกับเธอเช่นนี้ เหนียนซูหลานคงตัดใจจากพญายม คิดไม่ถึง ไม่เพียงแต่ไม่ตัดใจจากพญายม ตอนนี้ยังฉลาดพาไทเฮามามาที่วังอ๋องเพื่อเป็นสะพานใหญ่
เห็นเหนียนซูหลานวันนี้แต่งกายอย่างงดงาม
บนกายสวมกระโปรงหลัวสีชมพูบางเบาที่ได้รับความนิยมที่สุด ผมหางม้าถูกรวบเป็นมวยผมที่งดงามเฉพาะตัว ตรงกลางศีรษะประดับด้วยจำพวกปิ่นมุกที่ประณีตโดนเด่น ทำให้ใบหน้าเล็กนั้นยิ่งสดใสงดงาม
เพียงมองใบหน้าที่ประทินโฉมอย่างงดงามเย้ายวนของเหนียนซูหลานนั้น ก็รู้ว่าการประทินโฉมบนใบหน้าวันนี้ของเธอ ต้องผ่านการตกแต่งมาอย่างประณีตแน่นอน
คิดไปแล้วก็ถูก เมื่อต้องเจอคนที่ตนรัก จะให้แต่งตัวเพียงธรรมดาได้เช่นไร
ตรงข้ามกับความสดใสงดงามของเหนียนซูหลาน เล่อเหยาเหยาอดหลุบสายตาลงมองการแต่งตัวของตนไม่ได้
ก่อนอดถอนหายใจไม่ได้ และไม่รู้ว่าครั้งหน้าตนจะกลับไปแต่งกายเป็นผู้หญิงได้อีกเมื่อใด ความจริงเห็นหญิงสาวอื่นต่างแต่งตัวกันอย่างงดงาม ในใจเธอก็อิจฉาและปรารถนาเช่นกัน
เพราะทุกคนต่างรักสวยรักงามด้วยกันทั้งนั้น
เดิมทีเธอคือสาวงาม ทว่าต้องแต่งกายเป็นขันที ขณะคิดในใจก็รู้สึกหดหู่
รวมทั้งหลังรู้ว่าเหนียนซูหลานมีใจต่อพญายม เล่อเหยาเหยามักไม่ชื่นชอบเหนียนซูหลาน
เพราะจะพูดเช่นไร เหนียนซูหลานก็คือศัตรูในความรักของเธอ!
แม้คนที่พญายมชื่นชอบจะคือเธอ แต่พอนึกถึงเด็กภายในท้องของตน เล่อเหยาเหยาอดเสียใจไม่ได้ ใบหน้าดูโศกเศร้า
แต่ทันใดนั้น เล่อเหยาเหยาพลันรับรู้ถึงสายตาที่มองมายังตน จึงตกใจเล็กน้อย พลันเงยหน้าขึ้น ดวงตาคู่งามแฝงความสงสัยมองไปยังสายตาที่มองมายังตนนั้น
เมื่อเห็นใบหน้าหล่อเหลาดุดันนั้น เล่อเหยาเหยาใจเต้นแรง แฝงด้วยความขมขื่น
ทว่าเล่อเหยาเหยายังกลั้นความขมขื่นในใจไว้ ยกมุมปากยิ้มอย่างอ่อนหวานให้กับชายหนุ่ม
ประจวบกับเวลานั้น ข้างกายเธอมีขันทีน้อยยกชาผลไม้เข้ามาพอดี ชาผลไม้นี้ต้องส่งเข้าไปที่ห้องโถง เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น จึงเรียกขันทีน้อยนั้นไว้
“ข้าจัดการเอง”
“เช่นนั้นก็ขอบคุณเจ้ามาก เสี่ยวเหยาจื่อ”
ขันทีน้อยนั้นสนิทสนมกับเล่อเหยาเหยา หลังเอ่ยทักทาย ก็ส่งมอบถาดน้ำชาในมือให้กับเล่อเหยาเหยา
เล่อเหยาเหยาเมื่อรับถาดชาผลไม้นั้นแล้วจึงเดินเข้าไปในห้องโถง
เพราะห้องโถงคือแขกพิเศษมาเยี่ยมเยือน ดังนั้นจึงตกแต่งอย่างสวยงามหรูหรา ม่านหน้าต่างบางเบา ม่านลูกปัดพริ้วไหว
แสงแดดเจิดจ้าด้านนอกสาดเข้ามาในห้องโถงผ่านประตูบานสลักที่เปิดอ้านั้น เมื่อกระทบบนพื้นหินสีเขียว เกิดแสงขาวใสออกมา
บนผนังของห้องโถงแขวนภาพวาดหมึกดำที่มีค่าควรเมือง ใกล้กับผนังมีโต๊ะไม้จื่อถานตัวหนึ่งวางอยู่ ด้านบนวางสิ่งของล้ำค่าหายาก
บนพื้นกลับปูด้วยพรมสีแดงลายบุปผา ด้านบนวางโต๊ะกลมแกะสลักสีดำ และเก้าอี้ลายสลักหลายตัว
เวลานี้เหลิ่งจวิ้นอวี๋และพวกเหนียนซูหลานนั่งสนทนากันอยู่ภายในห้องโถง เล่อเหยาเหยาเพิ่งก้าวเข้ามาในห้องโถง ได้ยินเสียงหัวเราะสดใสของไทเฮา
คิดไปแล้ว แม้ไทเฮาจะอายุมาก ทว่าร่างกายยังแข็งแรง
ส่วนเหนียนซูหลานไม่รู้เล่าเรื่องน่าสนใจสิ่งใด จึงทำให้ไทเฮาหัวเราะไม่หยุดเช่นนี้
ทว่าตรงข้ามกับเสียงหัวเราะของไทเฮาและเหนียนซูหลาน เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่นั่งอยู่ตรงข้ามพวกเธอ กลับมีสีหน้านิ่งเฉยตลอดเวลา บนใบหน้าทรงเสน่ห์ไร้รอยยิ้ม
ไม่รู้เพราะเหนียนซูหลานพูดจาไม่น่าขบขันหรือเพราะเหตุใด
ทว่าสำหรับท่าทางเย็นชาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เหนียนซูหลานไม่รู้ว่ามองไม่เห็นหรือแสร้งไม่เข้าใจ
จนกระทั่งเล่อเหยาเหยาเดินเข้ามา นำถาดชาผลไม้ในมือวางลงบนโต๊ะ สายตาที่กำลังมองเหลิ่งจวิ้นอวี๋ของเหนียนซูหลาน อดเหลือบมองมาที่เล่อเหยาเหยาไม่ได้
แม้เหนียนซูหลานจะหยุดมองเล่อเหยาเหยาเพียงไม่นาน แต่ยังคงทำให้เล่อเหยาเหยารู้สึกอึดอัด
และคลับคล้ายว่าเธอรู้สึกได้ว่าสายตานี้คล้ายแฝงไปด้วยแผนการบางอย่าง
เล่อเหยาเหยาตกใจเล็กน้อย ค่อยๆ มองไปที่เหนียนซูหลาน กลับเห็นเหนียนซูหลานเวลานี้กำลังสนทนากับไทเฮา ราวกับเมื่อครู่เป็นเพียงเรื่องไม่ตั้งใจ
เห็นเช่นนั้น ในใจเล่อเหยาเหยาแม้ยังรู้สึกอึดอัด แต่กลับไม่คิดมาก เพียงยกซุปบ๊วยเปรี้ยวถ้วยสุดท้ายลงตรงหน้าชายหนุ่ม
เวลานี้เป็นช่วงฤดูร้อน อากาศจึงร้อนอบอ้าวอย่างยิ่ง จึงต้องดื่มซุปลูกบ๊วยเปรี้ยวเกล็ดน้ำแข็งถึงจะเหมาะสมที่สุด
เมื่อเห็นซุปลูกบ๊วยเปรี้ยวบนโต๊ะ ความจริงเล่อเหยาเหยาก็น้ำลายไหลไม่หยุด
ก่อนหน้านี้ เธอไม่ชอบทานของที่มีรสเปรี้ยว ทว่าพักนี้ เธอกลับรักรสชาติเปรี้ยวหวานนี้ยิ่งนัก
เดิมคิดว่านั่นเพราะตนร่างกายเปลี่ยนแปลง ความชอบจึงเปลี่ยนไป ตอนนี้เล่อเหยาเหยาจึงพบว่า นั่นเป็นเพราะเธอตั้งครรภ์
ก่อนหน้านี้ได้ยินเหล่าป้าน้าอาพูดกันว่า หญิงตั้งครรภ์ จะชื่นชอบทานของที่มีรสเปรี้ยวที่สุด และยังได้ยินว่าหากกินของเปรี้ยวจะได้บุตรชาย กินของเผ็ดจะได้ลูกสาว
ไม่รู้ตอนนี้เธอชอบทานของเปรี้ยวเช่นนี้ เด็กภายในท้องเธอจะเป็นบุตรชายหรือไม่
ความจริงเธอชื่นชอบเด็กเล็ก ไม่ว่าชายหรือหญิง เธอต่างชื่นชอบ ยิ่งกว่านั้น ภายในท้องเธอ นั่นคือบุตรของตนเอง
ขณะเล่อเหยาเหยาคิดในใจ หูพลันได้ยินเสียงออดอ้อนของเหนียนซูหลานดังขึ้น
“พี่อวี๋ หน้าร้อนเช่นนี้ ดีที่สุดคือทานซุปลูกบ๊วยเปรี้ยว มา ท่านลองชิมดูเพคะ”
เห็นเพียงเหนียนซูหลานเอ่ยจบ ยื่นมือออกไปหยิบซุปลูกบ๊วยเปรี้ยวเย็นบนโต๊ะ ก่อนวางลงตรงหน้าเหลิ่งจวิ้นอวี๋
จากท่าทางของเหนียนซูหลานนั้น เปิดเผยมือขาวดุจหยกที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อออกมา
เห็นเพียงมือคู่นี้บำรุงรักษามาเป็นอย่างดี
ผิวขาวเนียนหมดจด สิบนิ้วเรียวยาว และข้อมือขาวใสนั้น สวมหยกไขมันแพะ ทำให้ผิวดูเกลี้ยงเกลา
แต่บนเล็บยาวนั้น กลับถูกแต่งแต้มสีแดงลงไป ทำให้มือของเธอคู่นั้น สวยงามหยาดเยิ้มอย่างที่สุด
เมื่อเห็นท่าทางตั้งใจประจบเอาใจของเหนียนซูหลาน เล่อเหยาเหยายิ่งไม่สบายใจ พร้อมก่นด่าในใจ
เดิมทีซุปลูกบ๊วยเปรี้ยวถ้วยนั้นถูกวางลงตรงหน้าพญายมแล้ว เหนียนซูหลานตั้งใจหยิบขึ้นมาตรงหน้าพญายมอีก นี่มิใช่ตั้งใจดึงดูดความสนใจของพญายมหรือ!
และหากเธอจะหยิบถ้วยซุปควรหยิบเพียงถ้วยซุป เหตุใดต้องตั้งใจเขยิบร่างกายเข้าไปใกล้ชิด
ยิ่งไม่ต้องพูดว่าบนร่างกายเหนียนซูหลานพรมน้ำหอมมามากมายเพียงใด แม้เธออยู่ห่างจากเธอไกลพอสมควร แต่ยังรู้สึกได้ถึงกลิ่นน้ำหอมเข้มข้นที่ฉุนจมูกนั้น
ไม่รู้เพราะตั้งครรภ์หรือเพราะเหตุใด เมื่อได้กลิ่นน้ำหอมบนกายเหนียนซูหลาน เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงภายในท้องปั่นป่วน ทันใดนั้นทั่วใบหน้าพลันซีดขาว
รู้สึกว่าหากตนยืนอยู่ตรงนี้ต่อไป ต้องอาเจียนออกมา
พอดีกับเวลานั้น เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่เหลือบมองมาอย่างไม่ตั้งใจ กลับเห็นสีหน้าผิดปกติของเล่อเหยาเหยาในสายตา ดังนั้นจึงรีบลุกจากที่นั่ง ท่ามกลางสายตาประหลาดใจของไทเฮาและเหนียนซูหลาน ก่อนเอ่ยเสียงทุ้มขึ้นว่า
“เสด็จแม่ ท่านมิใช่อยากเดินชมวังของลูกหรือ ตอนนี้ลูกจะนำท่านเยี่ยมชมเอง”
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยกับไทเฮา เมื่อไทเฮาได้ยิน ยังไม่ทันได้รับสั่งขึ้น กลับเป็นเหนียนซูหลานที่อยู่ด้านข้างเมื่อได้ยิน สีหน้าดูแปลกใจ แววตาปรากฎความลนลาน เอ่ยขึ้นอย่างรีบร้อนว่า
“พี่อวี๋ เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้ มา ท่านดื่มซุปบ๊วยเปรี้ยวนี้ให้หมดก่อนดีกว่า จะได้คลายร้อน”
เอ่ยจบ เหนียนซูหลานดันถ้วยซุปลูกบ๊วยเปรี้ยวที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นไปตรงหน้าเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ด้วยแววตาลนลาน ทำให้คนที่เห็นไม่เข้าใจ
เพราะเพียงซุปลูกบ๊วยเปรี้ยวถ้วยเดียว เหตุใดเหนียนซูหลานกลับคล้ายมีสีหน้าลนลาน