เล่อเหยาเหยาที่กำลังอดกลั้นกับความปั่นป่วนในท้องอยู่ด้านข้าง และควบคุมตนเองอย่างไม่ง่ายดาย นึกถึงเรื่องนี้ของเหนียนซูหนานขึ้นมาได้พอดี ในใจจึงสงสัยไม่หยุด
ทว่าเธอยังไม่ทันได้คิดมาก เหลิ่งจวิ้นอวี๋ก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“ซูปบ๊วยเปรี้ยวนี้วางไว้ที่นี่ค่อยกลับมาทานเถิด พวกเราไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้กันก่อน พอดีครั้งนี้ในวังของลูกเพิ่งได้โบตั๋นมาหนึ่งกระถาง เสด็จแม่ชอบโบตั๋นมากที่สุดมิใช่หรือ”
“โอ้ จริงหรือ เช่นนั้นพวกเราไปดูกันเถิด”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ บนใบหน้าไทเฮาปรากฎความชื่นชอบขึ้นมาหลายส่วน ดูแล้วไทเฮาก็คือคนที่ชื่นชอบบุปผา!
เหนียนซูหลานเห็นเช่นนั้น ก็ไม่พูดสิ่งใด ความลนลานบนใบหน้าเพียงพริบตาเดียว พลันกลับมาเป็นปกติ ทันใดนั้นดึงมือไทเฮาอย่างยิ้มแย้ม แสร้งทำเป็นชื่นชอบ
“ฮ่า ฮ่า เช่นนั้นก็ดี ตอนนี้พวกเราไปชมดอกไม้กันเถิด ข้าจำได้ว่าเสด็จป้าชื่นชอบดอกโบตั๋นเป็นที่สุด”
“ฮ่า ๆ ถูกต้อง เด็กน้อยเจ้ายังจำได้หรือ”
การเดินทางเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ไทเฮาและเหนียนซูหลานเดินอยู่ด้านหน้า เหลิ่งจวิ้นอวี๋เดินรั้งท้าย
ทว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋เดินได้เพียงไม่กี่ก้าว พลันหยุดฝีเท้าลง ก่อนหมุนกายเอ่ยกับเล่อเหยาเหยาที่เดินตามเข้ามาว่า
“หากไม่สบาย เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด!”
“เอ่อ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เล่อเหยาเหยาตะลึงชั่วขณะ พลันเข้าใจความหมายในคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋
ที่แท้ชายหนุ่มก็สนใจเธอตลอดเวลา กระทั่งร่างกายเธอไม่สบายก็ยังสังเกตเห็น สายตาช่างคมกริบนัก!
เรื่องนี้ เล่อเหยาเหยาทั้งดีใจและกังวลใจ
ดีใจก็คือ ชายหนุ่มดีต่อเธอ กังวลคือชายหนุ่มที่เห็นเย็นชาไร้ความรู้สึก กลับอ่อนไหวละเอียดอ่อน กระทั่งเมื่อครู่เธอเกิดอาการไม่สบายเล็กน้อย เขายังเห็นได้อย่างชัดเจน
เขาปราดเปรื่องเช่นนี้ เธอจะปิดบังความลับต่อหน้าเขาได้เช่นไร
อาจเพราะเรื่องที่ไม่คาดหวังกำลังจะเกิดขึ้นและน่าจะใกล้เกิดขึ้นแล้ว
แม้เธอจะไม่ยินยอมเพียงใด
พอคิดถึงสิ่งเหล่านี้ เล่อเหยาเหยาพลันอ้างว้าง ทว่าเธอกลัวจะเผยความลับของตนออกมาต่อหน้าชายหนุ่ม จึงพลันก้มหน้าลง ก่อนเอ่ยกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋อย่างแผ่วเบาว่า
“อืม เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยจบ พลันจากไป และเมื่อเธอหมุนกายจากไป น้ำตาไหลรินลงมาอย่างอดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป
เล่อเหยาเหยาเดิมทีเพราะเรื่องในวันนี้ เหนื่อยล้าทั้งกายและใจ หลังกลับมาถึงห้องพัก พลันล้มตัวลงบนเตียง ไม่นานเข้าสู่ห้วงฝันไป
ไม่รู้หลับไปนานเพียงใดจนกระทั่งมีเสียงกรีดร้องรุนแรงดังเข้ามา เล่อเหยาเหยาจึงตกใจอย่างหนัก พลันลุกขึ้นจากเตียง
เมื่อเห็นความมืดสลัวเข้ามาสู่สายตา เล่อเหยาเหยารู้ว่าเวลานี้พระอาทิตย์ตกดินแล้ว
แต่เสียงกรีดร้องรุนแรงเมื่อครู่นั้น เกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่!
และเสียงนั้นคุ้นหูอย่างยิ่ง คล้ายกับ… ถงหย่าเอ๋อร์ !
พอคิดถึงตรงนี้ ร่างกายเล่อเหยาเหยาพลันสั่นสะท้าน ลงจากเตียง สวมรองเท้าอย่างรีบร้อน ก่อนพุ่งออกจากห้อง
เพราะแม้ถงหย่าเอ๋อร์ กับเธอจะรู้จักกันไม่นาน แต่สาวน้อยที่น่ารักเช่นถงหย่าเอ๋อร์ เธอชื่นชอบยิ่งนัก ตอนนี้ได้ยินเสียงกรีดร้องของเธอ น่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่ เล่อเหยาเหยาจึงอกสั่นขวัญแขวน ดังนั้นจึงพุ่งออกไปโดยไม่คิด
จากทิศทางของเสียงเมื่อครู่นั้น เล่อเหยาเหยามั่นใจว่ามาจากห้องของหนานกงจวิ้นซี
เพราะตำหนักหย่าเฟิงห่างจากที่พักของหนานกงจวิ้นซีไม่ไกล เล่อเหยาเหยาหลังได้ยินเสียงกรีดร้องนั้นพลันพุ่งเข้ามาทันที เมื่อมาถึงหน้าห้องของหนานกงจวิ้นซี พลันผลักประตูวิ่งเข้าไป
เดิมคิดว่า ที่นี่คงเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ เช่นการลอบสังหาร มิฉะนั้นถงหย่าเอ๋อร์ คงไม่กรีดร้องหนักเช่นนี้
ผู้ใดจะรู้ เมื่อเล่อเหยาเหยาเข้าไป ภาพทั้งหมดที่ปรากฎสู่สายตา ทำให้ร่างกายดุจถูกฟ้าผ่าลงมาตอนกลางวันแสกๆ จนแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น!
เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฎในสายตา คือห้องที่ยุ่งเหยิง
เสื้อผ้าจำนวนไม่น้อยเกลื่อนกลาดบนพื้น มีเสื้อคลุมของบุรุษ มีกระโปรงหลัวของผู้หญิง เสื้อชั้นใน และตู้โตว กระทั่งเห็นถึงเสื้อผ้าบางส่วนถูกฉีกอย่างรุนแรง ไม่ต้องคิดก็ทราบว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องใดขึ้น
จากเสื้อผ้าบนพื้นนั้น สายตาเล่อเหยาเหยามองไปด้านหน้า เมื่อเห็นภาพบนเตียง ร่างกายต้องตกตะลึงอีกครั้ง อดที่จะสูดลมหายใจไม่ได้
เห็นเพียงบนเตียงไม้จื่อถานลายสลักนั้นดูยุ่งเหยิง ผ้าม่านก็ฉีกขาด คล้ายที่นี่เมื่อครู่เกิดสงครามใหญ่ขึ้นมา
ส่วนที่ทำให้เธอตกตะลึงที่สุดคือ ชายหญิงบนเตียงคู่นั้น กลับเป็นถงหย่าเอ๋อร์ และหนานกงจวิ้นซี!
เห็นชัดว่าการบุกเข้ามาของเล่อเหยาเหยา ทั้งสองคนบนเตียงไม่รู้เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเล่อเหยาเหยาจึงได้ยินคำอธิบายอย่างกังวลลนลานของหนานกงจวิ้นซี
“หย่าเอ่อร์ เรื่องเมื่อครู่ข้าขออภัย แต่ข้าไม่รู้ว่าตนเองเป็นอันใด ข้าคล้ายถูกปีศาจเข้าสิง เปลี่ยนไปไม่เป็นตัวของตัวเอง รู้สึกเพียงร้อนรุ่นยิ่งนัก ดังนั้นจึง…”
เมื่อเอ่ยถึงประโยคสุดท้าย หนานกงจวิ้นซีอ้ำอึ้งหลายจังหวะ พลันฉุกคิดขึ้นมาได้ จึงรีบเอ่ยขึ้นว่า
“จริงสิ ต้องเป็นซุปบ๊วยเปรี้ยวถ้วยนั้นแน่ เมื่อครู่พวกเรากลับมา ข้าพลันดื่มซุปถ้วยนั้น ต้องมีคนวางยาลงบนซุปถ้วยนั้นแน่ ดังนั้น ข้าจึง…”
หนานกงจวิ้นซีรีบร้อนอธิบายบางอย่าง ใบหน้าแดงก่ำขึ้น
เขาเวลานี้ ท่อนบนไม่ได้สวมเสื้อผ้า เพียงใช้ผ้าปูที่นอนปกปิดร่างกายท่อนล่างเอาไว้แน่น เผยร่างกายท่อนบนที่แข็งแกร่งออกมา
ทว่าร่างกายท่อนบนของเขาเวลานี้ กลับฟกช้ำดำเขียว
รอยเลือดนั้น เพียงมองก็รู้ว่าถูกเล็บจิกอย่างรุนแรงจนเกิดแผล และรอยฟันบนไหล่ เวลานี้ยังมีเลือดไหลซึมออกมา!
เมื่อได้ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นซี ถงหย่าเอ๋อร์ ที่กำลังหดตัวอยู่ที่มุมเตียง ไม่มีเสื้อผ้าติดกาย ใช้เพียงผ้าปูที่นอนห่อหุ้มร่างกายไว้ เวลานี้กำลังร้องไห้ไม่หยุด สำหรับการอธิบายของหนานกงจวิ้นซี คล้ายกับไม่ได้ยิน ร้องไห้พลางเอ่ยขึ้นว่า
“ศิษย์พี่รอง ข้ารู้ว่าท่านไม่ได้ชอบข้า แต่ท่านไม่ชอบข้าเพราะเหตุใดก็ดี ข้าเองก็ไม่อยากเป็นตัวแทนของผู้อื่น ข้าไม่ใช่เจ้าหมูน้อย เมื่อท่านชอบเธอ เหตุใดไม่ไปหาเธอ เหตุใดต้องกอดข้า ในใจกลับคิดถึงผู้อื่น!”
นี่คือเหตุผลที่ถงหย่าเอ๋อร์ เสียใจและร้องไห้!
ร่างกายถูกคนที่ชอบครอบครอง ความจริงเธอยินยอม แต่คนที่ตนชื่นชอบที่สุด ขณะโอบกอดตนกลับลืมตัวเอ่ยชื่อผู้อื่นออกมา จะให้เธอรับไหวได้เช่นไร
แม้ศิษย์พี่รองจะไม่ได้ชอบเธอ แต่เธอก็ไม่ยินยอมเป็นตัวแทนของคนอื่น!
ขณะถงหย่าเอ๋อร์ ตะคอกหนานกงจวิ้นซีอย่างเสียใจที่สุด คิดไม่ถึง เล่อเหยาเหยาได้ยินคำพูดของเธอ อดสูดลมหายใจเข้าไม่ได้
เพราะคำพูดของถงหย่าเอ๋อร์
เมื่อครู่ขณะหนานกงจวิ้นซีโอบกอดถงหย่าเอ๋อร์ ทำเรื่องพรรค์นั้น กลับเรียกชื่อเธอออกมา…
พอคิดถึงตรงนี้ ใบหน้าจิ้มลิ้มของเล่อเหยาเหยาแข็งทื่อไปชั่วขณะ
แต่ทันใดนั้น เงาร่างหนึ่งกลับมายืนอยู่ข้างกายเธออย่างไร้สุ้มเสียง สำหรับสิ่งที่เห็นก่อนหน้านี้ เพียงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามว่า
“จวิ้นซี เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่!”
“”ศิษย์พี่ใหญ่!
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ หนานกงจวิ้นซีพลันเงยหน้า จากนั้นคล้ายเด็กน้อยที่ทำผิดแล้วถูกผู้ใหญ่จับได้ พลันอธิบายอย่างลุกลี้ลุกลนว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ เรื่องมันไม่ได้เป็นดังเช่นที่ท่านเห็นนะ ข้า ข้า เฮ้อ ข้าก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น เมื่อครู่ข้ากับศิษย์น้องกลับมา หลังผ่านห้องโถง เห็นบนโต๊ะมีซุปบ๊วยเปรี้ยว ตอนนั้นข้าร้อน ก่อนพบว่าซุปนั้นยังไม่ได้ถูกดื่ม ผู้ใดจะรู้ หลังดื่มซุปถ้วยนั้นแล้วกลับมาที่ห้อง ก็ร้อนรุ่มไปทั้งตัว พอดีศิษย์น้องมาหาข้า ข้า ข้าจึง…”
เรื่องหลังจากนั้น หนานกงจวิ้นซีไม่เอ่ย ทว่าดูจากสถานการณ์ตอนนี้ คนโง่รู้ก็ว่าหลังจากนั้นเกิดเรื่องใดขึ้น
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ได้ยิน คิ้วที่ขมวดเพียงเล็กน้อยพลันขมวดมุ่น กระทั่งเล่อเหยาเหยาที่อยู่ด้านข้างได้ยิน ก็คล้ายฉุกคิดถึงบางอย่าง จึงสูดลมหายใจเข้าอย่างหวาดเสียว!
สวรรค์!
ซุปบ๊วยเปรี้ยวนั้น!
เมื่อได้ยินคำพูดของหนานกงจวิ้นซี เล่อเหยาเหยาอดนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องโถงเมื่อครู่ไม่ได้
เมื่อครู่ เธอรู้สึกเหนียนซูหลานแปลกไป และคล้ายมักอยากให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋ดื่มซุปถ้วยนั้น หรือเธอรู้ว่าซุปถ้วยนั้นถูกวางยา ดังนั้นจึงตั้งใจให้พญายมดื่มเข้าไป จากนั้นแยกตัวจากทุกคน วางแผนให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกกับพญายม ประจวบกับที่ไทเฮาอยู่ที่นั่น ต้องไม่ให้หลานสาวตนไม่ได้รับความเป็นธรรมแน่ ดังนั้น จะทำให้พวกเขา…
เล่อเหยาเหยาไม่ใช่คนโง่ จากเบาะแสนี้ เล่อเหยาเหยาจึงคิดที่มาที่ไปของเรื่องนี้ออกมาอย่างชัดเจน
ทว่าไม่เพียงเล่อเหยาเหยาที่เข้าใจ กระทั่งเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่อยู่ด้านข้างก็พลันเข้าใจต่อมาว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ดวงตาเย็นชาพลันหรี่ลงชั่วขณะ ทันใดนั้นเหลือบมองไปยังเหนียนซูหลานที่ตกใจเดินเข้ามา
เดิมทีเมื่อครู่เหลิ่งจวิ้นอวี๋และพวกไทเฮากำลังชมดอกไม้อยู่ด้านหน้า ต่อมาได้ยินเสียงจากทางนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงขอตัวรีบรุดหน้ามาก่อน
ไทเฮาอายุมาก จึงเดินได้ไม่เร็ว เหนียนซูหลานจึงประคองอยู่ด้านข้าง ดังนั้นทำให้มาถึงในตอนนี้
เมื่อมาถึงที่นี่ ไทเฮาพลันรับสั่งถามอย่างสงสัย
“อวี๋เอ๋อร์ เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ เมื่อครู่เสียงร้องของผู้ใด!”
“ใช่เพคะ พี่อวี๋เกิดเรื่องใดขึ้นหรือ”
เหนียนซูหลานแสดงท่าทีร้อนรนออกมา คิดไม่ถึง เธอเพิ่งเอ่ยพูดจบ เห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋แวบกาย ดุจสายฟ้าตรงมาที่เธอ ขณะที่เหนียนซูหลานตกใจ เขาบีบลงที่ข้อมือของเธออย่างแรง ก่อนกัดฟันเอ่ยขึ้นว่า
“เจ้าทำเรื่องงามหน้าใด ยังไม่รู้ตัวอีกหรือ!”
“โอ๊ย พี่อวี๋ข้าเจ็บ ท่านทำข้าเจ็บ”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เหนียนซูหลานสงสัยในใจ และไม่สบายใจ เพราะเวลานี้สีหน้าของเหลิ่งจวิ้นอวี๋น่ากลัวเกินไป สายตาโหดเหี้ยมนั้นคล้ายกับจะกลืนกินเธอเข้าไป
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมือใหญ่ของเขาที่จับข้อมือของตน น้ำหนักรุนแรง คล้ายต้องการหักข้อมือเธอลง
กระทั่งไทเฮาด้านข้างเห็นเข้า พลันรับสั่งขึ้นอย่างกังวลว่า
“อวี๋เอ๋อร์ เจ้ารีบปล่อยมือหลานเอ๋อร์ก่อนเถิด เจ้าทำเช่นนี้ คิดจะหักข้อมือนางหรือ!”
เมื่อเห็นหลานสาวที่รักของตนเวลานี้มีสีหน้าเจ็บปวด ไทเฮาปวดใจอย่างหนัก จึงรับสั่งให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋ปล่อยมือ
แต่เวลานี้เหลิ่งจวิ้นอวี๋มีสีหน้าโหดเหี้ยม เคร่งเครียดไม่หยุด คล้ายเมฆดำทะมึนกำลังเคลื่อนเข้ามาปกคลุมเมือง
เล่อเหยาเหยาเห็นก็รู้ว่า ต้องมีคนโชคร้ายอย่างหนัก!