ขณะเล่อเหยาเหยาคิดในใจ เห็นเพียงเหลิ่งจวิ้นอวี๋ใช้เล็บเกี่ยวเข้าที่เล็บของเหนียนซูหลาน จากนั้นดวงตาเย็นชาเหลือบมองผงแป้งที่ติดอยู่บนเล็บตน ก่อนเอ่ยกับเหนียนซูหลานว่า
“ดี ดียิ่งนัก เจ้ากล้าวางยาเปิ่นหวางหรือ!”
“อวี๋ พี่อวี๋”
เมื่อเห็นท่าทางของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ และคราบผงแป้งบนเล็บของเขา เหนียนซูหลานรู้ว่าแผนการของตนถูกเปิดโปงแล้ว ทันใดนั้นไม่สนใจความเจ็บปวดที่ข้อมือ บนใบหน้าพลันซีดขาว
ไทเฮาที่อยู่ด้านข้างเห็นเข้า ก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ ทว่าไม่นานก็เข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
อย่าคิดว่าไทเฮาปกติที่อ่อนโยนน่าเข้าใกล้ เพราะในวังหลวงมีคนที่โหดเหี้ยม ทะเยอทะยานมากมาย ดังนั้นไม่จำเป็นต้องอธิบายให้มากความ เมื่อเห็นคราบผงแป้งที่เล็บของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ และความยุ่งเหยิงภายในห้อง จึงรู้ทันทีว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
ดวงตาที่หลุบลงคู่นั้นอดเบิกกว้างไม่ได้ สายตาที่มองหลานสาวตน ก็แฝงด้วยความประหลาดใจ
ทว่าไทเฮายังได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว ก่อนมองเหนียนซูหลานที่ใบหน้าซีดขาวดุจกระดาษ
ไม่ว่าเหนียนซูหลานจะทำสิ่งใด เพราะเป็นหลานสาวที่ตนรักใคร่ที่สุด ไทเฮาจึงย่อมยืนอยู่ข้างเดียวกับเหนียนซูหลาน ดังนั้น จึงรีบรับสั่งโน้มน้าวเหลิ่งจวิ้นอวี๋ว่า
“อวี๋เอ๋อร์ มีเรื่องอันใด ก็ปล่อยหลานเอ๋อร์ก่อนเถิด เจ้าทำเช่นนี้ต่อไป มือของหลานเอ๋อร์จะหักเอาได้”
“ฮึ ชีวิตของผู้อื่นถูกนางทำลาย แม้มือของนางจะหักแล้วจะเป็นเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ไร้ความเห็นใจสงสาร และก็ไม่สนใจว่าไทเฮาจะโน้มน้าวเช่นไร ไม่ยอมปล่อยมือของเหนียนซูหลาน
ส่วนเหนียนซูหลานเห็นใบหน้าเย็นชาโหดเหี้ยมของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ในใจอดเกรงกลัวและหวาดกลัวไม่ได้
เพราะใกล้ชิดกับชายผู้นี้มาตั้งแต่เด็ก และเข้าใจอารมณ์ของชายผู้นี้เป็นอย่างดี
แม้ในใจจะรู้ว่าเขาไม่ชื่นชอบถูกคนใช้อุบายวางยา แต่หากไม่ใช่เพราะถูกบีบบังคับ เธอไม่อยากทำเช่นนี้
เพราะชายผู้นี้คือคนที่เธอรักที่สุด
ตั้งแต่เด็กจนโต หัวใจทั้งดวงของเธอล้วนมอบให้กับชายหนุ่มผู้นี้ ตั้งแต่ตอนนั้นมาจนถึงตอนนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เดิมคิดว่า เพียงตนพยายาม ชายหนุ่มผู้นี้จะต้องชื่นชอบตนแน่ และอภิเษกกับเธอ เธอจึงรอคอยมาตลอด
แต่ห้าปีมานี้ ชายหนุ่มผู้นี้กลับยิ่งทำให้ยากที่จะอ่านใจได้
ไม่ว่าเธอจะทำเช่นไร สายตาเขาไม่เคยอยู่ที่ตัวเธอ
เธอสำหรับเขา คล้ายเป็นเพียงอากาศธาตุเท่านั้น
รวมทั้งสัญชาตญาณของผู้หญิงบอกกับเธอว่า ชายหนุ่มผู้นี้ไม่เพียงในใจไม่มีเธอ แต่ยังชื่นชอบผู้อื่น
สำหรับเรื่องนี้ ทำให้เธอวิตกกังวล และคิดแผนการนี้ออกมา
เดิมคิดว่าเธอจะลงมือวางยาในซุปลูกบ๊วยเปรี้ยว ขณะที่ไม่มีผู้ใดรู้ตัว จากนั้นเปลี่ยนให้ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกกับเขา หลังเรื่องจบ แม้เขาจะรู้ว่าเธอลงมือ ความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกกำหนดแล้ว หรือแม้วันหน้าเรื่องจะแดงขึ้น เสด็จป้าที่รักเอ็นดูเธอ แม้จะรู้ว่าเธอทำผิดมาก่อน แต่ต้องล้างมลทินให้กับเธอ และให้เธออภิเษกกับเขา
ผู้ใดจะรู้ ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ซุปลูกบ๊วยเปรี้ยวนี้กลับถูกคนอื่นดื่มเข้าไป และยังเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
สำหรับเรื่องนี้ ทำให้เหนียนซูหลานสับสนวุ่นวาย
บนใบหน้าซีดขาว ดวงตาที่แต่งแต้มอย่างงดงามคู่นั้นปรากฎความพร่าเลือนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ทำให้เธอดูสะดุดตาเป็นพิเศษ
“พี่อวี๋ ท่านคิดว่าข้าอยากทำเช่นนี้หรือ หากท่านดีกับข้ากว่านี้ ข้าจะไม่ทำแผนเช่นนี้ออกมา”
เมื่อเรื่องเปิดเผย เหนียนซูหลานไม่ปฏิเสธว่าเรื่องนี้คือฝีมือเธอ และร้องไห้อย่างน่าสงสาร ดวงตาพร่าเลือนคู่นั้น มองไปยังใบหน้าดุดันของเหลิ่งจวิ้นอวี๋อย่างคับแค้นใจ
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ได้ยิน ยังโมโหแต่กลับยิ้มออกมา
“โอ้ พูดเช่นนี้ ถือเป็นความผิดของเปิ่นหวางหรือ”
เสียงทุ้มต่ำแหบพร่าของชายหนุ่ม ริมฝีปากยกสูงยิ้มจางๆ ออกมา แต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่ถึงก้นบึ้งของดวงตา ความเย็นชาในแววตา มากเพียงพอที่จะแช่แข็งคนได้!
เมื่อเห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋เช่นนี้ ก็รู้ว่าเขากำลังโมโหสุดขีด เหนียนซูหลานยิ่งตื่นตระหนก จึงอ้อนวอนไม่หยุด ท่าทางดุจดอกแพร์กลางสายฝนนั้น น่าสงสารยิ่งนัก!
“พี่อวี๋ เพราะเหตุใด เหตุใดท่านจึงไม่ชอบข้า ข้าไม่ดีที่ใด ท่านบอกข้าเถิด ข้ายินยอมเปลี่ยนแปลง ข้าจะเปลี่ยนแปลงจนกว่าท่านจะชื่นชอบ”
เหนียนซูหลานเอ่ยพูดอย่างต่ำต้อย น้ำตานั้น ดุจน้ำทะลักเขื่อน ไหลรินลงอาบแก้ม
ท่าทางของสาวงามร้องไห้ แม้คนใจแข็งได้เห็น ใจอ่อนลงอย่างง่ายดาย
น่าเสียดาย แม้ใจของเหลิ่งจวิ้นอวี๋จะไม่ได้สร้างมาจากหิน แต่เขาอ่อนโยนกับคนเพียงคนเดียวเท่านั้น และคนผู้นั้น ไม่ใช่เหนียนซูหลาน
ดังนั้น ไม่ว่าเหนียนซูหลานจะพูดอย่างไรโศกเศร้าเพียงใด ความเย็นชาห่างเหินบนใบหน้าของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่อ่อนลงแม้แต่นิดเดียว จึงเผยอริมฝีปากเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชาว่า
“ไม่ว่าเจ้าจะเปลี่ยนแปลงเช่นไร เปิ่นหวางไม่มีวันชอบเจ้า”
เสียง ‘ตูม’ ดังขึ้น หลังประโยคนี้ของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เหนียนซูหลานดุจถูกฟ้าผ่า ใบหน้าตะลึงงัน พลันอ่อนแรงทรุดลงบนพื้น
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นเช่นนั้น ไม่สงสารเห็นใจแม้แต่นิดเดียว เพียงสะบัดมือของเหนียนซูหลานออกอย่างรุนแรง
ดวงตาเย็นชากวาดมองภายในห้องแวบหนึ่ง ใบหน้าบึ้งตึง ก่อนเอ่ยกับหนานกงจวิ้นซีที่มีสีหน้าตื่นตระหนกว่า
“จวิ้นซี สวมเสื้อผ้าแล้วออกมาเถิด”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ หนานกงจวิ้นซีพลันได้สติ จึงพบว่าเวลานี้เขาและถงหย่าเอ๋อร์ ต่างไม่ได้มีเสื้อผ้าติดกาย เพียงใช้ผ้าปูเตียงห่อหุ้มกายเท่านั้น
เขาไม่แยแส เพราะเป็นบุรุษ แต่หย่าเอ๋อร์ไม่เหมือนกัน
เรื่องนี้หากเล่าลือออกไป ชีวิตหย่าเอ๋อร์จบสิ้นแน่
ดังนั้น หนานกงจวิ้นซีเมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ พลันรีบสวมเสื้อผ้าอย่างลวกๆ ก่อนเห็นถงหย่าเอ๋อร์ บนเตียงยังคงร้องไห้ไม่หยุด แม้เรื่องเมื่อครู่จะไม่ใช่ความปรารถนาของเขา แต่เรื่องที่ไม่ควรทำเขาทำหมดแล้ว เขาเป็นบุรุษ ต้องรับผิดชอบต่อเรื่องนี้แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น หย่าเอ๋อร์เป็นศิษย์น้องสามของเขา!
แม้ก่อนหน้านี้เขาจะมองเธอเป็นน้องสาวมาตลอด แต่สถานการณ์ตอนนี้ เฮ้อ…
พอคิดถึงตรงนี้ หนานกงจวิ้นซีก็อึดอัดในใจ แต่เขายังเอ่ยปลอบใจถงหย่าเอ๋อร์ ที่ยังคงร้องไห้อย่างแผ่วเบาว่า
“หย่าเอ๋อร์ เจ้าวางใจ เรื่องในวันนี้ ข้า ข้าจะรับผิดชอบเจ้าแน่”
สำหรับคำพูดของหนานกงจวิ้นซี ถงหย่าเอ๋อร์ กลับเพียงเอาแต่ร้องไห้เช่นเดิม และไม่มองหนานกงจวิ้นซีแม้หางตา
จนกระทั่งหลังจากหนานกงจวิ้นซีสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ออกมาจากห้องพร้อมปิดประตูลง ถงหย่าเอ๋อร์ จึงค่อยๆ ลงจากเตียง จากนั้นข่มความเจ็บปวดบนร่างกายท่อนล่าง สวมเสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว เงยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา มองไปยังประตูไม้ลายสลักที่ปิดแน่นนั้น ก่อนพึมพำอย่างเศร้าโศกว่า
“ศิษย์พี่รอง ลาก่อน”
เธอมีเกียรติของตน แม้เธอจะชอบศิษย์พี่รอง แต่ไม่หวังให้เขารับผิดชอบเธอเพราะเรื่องนี้
พอคิดถึงตรงนี้ ถงหย่าเอ๋อร์ ใช้มือเช็ดน้ำตา ก่อนกระโดดจากหน้าต่างนั้นออกไป จากนั้นจากไปอย่างเงียบเชียบ
…
สำหรับเรื่องการวางยาของเหนียนซูหลาน เหลิ่งจวิ้นอวี๋คิดลงโทษอย่างหนัก ทว่าไทเฮารักใคร่หลานสาว กลัวเหลิ่งจวิ้นอวี๋จะทำเรื่องบางอย่างกับเหนียนซูหลานจึงตกใจจนหมดสติไป
ไม่รู้ว่าเวลานี้ไทเฮาตั้งใจหมดสติไป หรือว่าเป็นเรื่องจริง
ทว่าด้านนอกเล่าลือกันว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋เย็นชาไร้ความรู้สึก ความจริงสำหรับไทเฮาที่ดูแลและปฏิบัติกับเขาไม่เลวนี้ เขายังถือว่ากตัญญูอย่างยิ่ง ดังนั้นหลังไทเฮาหมดสติไปเพราะเสียใจกับเรื่องนี้ เขาจึงสั่งให้คนไปเชิญตงฟางไป๋มาทันที
ส่วนเรื่องของเหนียนซูหลาน ด้วยเกรงว่าไทเฮาจะกังวลตื่นเต้น ดังนั้นแม้ในใจเหลิ่งจวิ้นอวี๋จะโมโหเพียงใด ยังให้เธออยู่อีกด้าน
ไม่นาน หลังตงฟางไป๋ได้รับข่าว ก็รีบร้อนมาทันที หลังฝังเข็มให้ไทเฮา ไทเฮาก็ค่อยๆ ได้สติ
เหนียนซูหลานที่อยู่ด้านข้างรู้ความผิดของตน จึงนั่งร้องไห้อยู่ด้านข้างไม่หยุด
เวลานี้ เมื่อเห็นไทเฮาในที่สุดฟิ้นขึ้นมา เหนียนซูหลานถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เสด็จป้า”
“เด็กโง่ เจ้าโง่จริงๆ โง่มากเหลือเกิน”
หลังได้สติ เห็นหลานสาวตนร้องไห้ดุจดอกแพร์กลางสายฝน แม้ไทเฮาจะรู้แก่ใจดีว่าครั้งนี้เป็นความผิดของเหนียนซูหลาน แต่ก็รู้ว่าหลานสาวของตนผู้นี้รักเหลิ่งจวิ้นอวี๋อย่างมาก แต่ไม่รู้ว่าควรลงโทษเช่นไร
เพราะเรื่องความรักนี้ เธอคือคนที่เคยผ่านมาก่อน ครั้งนี้ หลานสาวตนถูกความรักทำให้เสียสติ
พอคิดถึงตรงนี้ ไทเฮาถอนหายใจอย่างจนใจ ทันใดนั้น พลันฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเงยหน้ามองไปยังเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่มีสีหน้าเย็นชาอยู่ด้านข้าง
“อวี๋เอ๋อร์ ครั้งนี้ข้ารู้ว่าทั้งหมดคือความผิดของหลานเอ๋อร์แต่ความผิดนี้ของนาง ล้วนเป็นเพราะรักเจ้ามากเกินไป รักคนผู้หนึ่งไม่ใช่เรื่องผิด น่าเสียดาย เธอรักคนผิดไป”
พอพูดถึงตรงนี้ ไทเฮาถอนหายใจยาวออกมา ก่อนรับสั่งต่อว่า
“ครั้งนี้ เห็นแก่ข้า ปล่อยหลานเอ๋อร์ไปสักครั้งได้หรือไม่”
“เสด็จแม่ รักคนผู้หนึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่ผิดที่เธอใช้ใช้วิธีการที่ผิด และครั้งนี้คนที่โดนทำร้าย ไม่ใช่เพียงลูกคนเดียว”
เมื่อได้ฟังคำพูดเย็นชาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ไทเฮาทรงเสียพระทัย
เพราะเรื่องครั้งนี้ ความจริงลุกลามใหญ่โตแล้ว
อีกทั้งสถานะของหนานกงจวิ้นซี เป็นถึงองค์ชายเจ็ดแห่งต้าเซี่ย!
พอคิดถึงตรงนี้ ไทเฮาพลันไม่รู้ควรทำเช่นไร
แต่ขณะเดียวกัน เสียงแตกตื่นกลับดังขึ้นมา
“แย่แล้ว แย่แล้ว ท่านอ๋อง คุณหนูถงหายตัวไปแล้ว”
คนที่พูด คือป้ารูปร่างอ้วนท้วนผู้หนึ่ง
ในวังรุ่ยอ๋องไม่มีสตรี แต่ห้องครัวกลับมีแม่ครัวหลายคน เชี่ยวชาญการล้างผักทำอาหาร
เมื่อครู่เกิดเรื่องนั้นขึ้นกับถงหย่าเอ๋อร์ เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงให้คนเรียกตัวป้าแม่ครัวยกน้ำร้อนมา คิดให้เธอปรนนิบัติถงหย่าเอ๋อร์ อาบน้ำ เพื่อให้เธออารมณ์เย็นลง
ผู้ใดจะรู้ หลังป้าผู้นั้นเข้าไปในห้อง ภายในห้องก็ไร้ผู้คนแล้ว
ป้าแม่ครัวเห็นเช่นนั้น รู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่หลวงขึ้นแล้ว จึงรีบร้อนเข้ามารายงาน
จากเสียงของท่านป้า ทุกคนที่ได้ยิน ต่างตกตะลึงชั่วขณะ
“อะไรนะ หย่าเอ๋อร์หายไปหรือ”
คนทีมีปฏิกิริยาที่สุดคือหนานกงจวิ้นซี
เมื่อได้ยินคำพูดของป้านั้น ทันใดนั้น ใบหน้าหล่อเหลานั้นอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้าง พลันกลัวถงหย่าเอ๋อร์ จะทำเรื่องโง่เขลาเพราะเรื่องนี้ จึงหน้าซีดขาว ก่อนเอ่ยกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ว่า
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าจะไปตามนางกลับมา”
เอ่ยจบ หนานกงจวิ้นซีดุจลูกธนู พลันหายตัวไปไม่เห็นแม้แต่เงา
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นเช่นนั้น ก็ไม่วางใจ รีบร้อนให้คนใต้บังคับบัญชาออกตามหา โดยมีภารกิจตามถงหย่าเอ๋อร์ กลับมา