บทที่ 169 สู่อ๋องผู้ทรงงานหนัก

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

ช่างเป็นพฤติกรรมที่คุ้นเคย ช่างเป็นประโยคที่คุ้นเคยเหลือเกิน! ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ จู่ๆ ดวงตาก็เปียกชื้น

ลัทธิเต๋าสนับสนุน “วิถีของเต๋าคือธรรมชาติ” ความหมายกว้างๆ ก็คือ ทุกสรรพสิ่งล้วนพัฒนาไปตามกฎเกณฑ์ของมัน ดังนั้นจวงจื่อจึงไม่ใคร่กำหนดกฎตายตัวให้แก่ศิษย์เท่าใดนัก

ซ่งชูอีเติบโตมาข้างกายจวงจื่อ ปกติแล้วนางเป็นคนสงบเสงี่ยม มิได้เป็นเด็กประเภทที่ที่ซุกซนและสร้างปัญหา ทว่าบางคราวความคิดอันเหลวไหลก็ผุดขึ้นมาและมักจะทำให้จวงจื่อที่ถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างดีโมโหจนโบยนางไปชุดหนึ่ง ทุกครั้งที่เป็นเช่นนี้ จวงจื่อก็จะเงยหน้าถอนหายใจพร้อมปลอบใจด้วยคำว่า “วิถีของเต๋าคือธรรมชาติ”

ความคิดหลักของการถอนหายใจนี้น่าจะเป็น ‘การพบกับเด็กหนุ่มไร้ยางอายเช่นซ่งชูอี ก็คงเป็นสาเหตุของการพัฒนาแห่งธรรมชาติ จำต้องปฏิบัติด้วยความใจเย็น’

ซ่งชูอีเพิ่งจะเข้าใจเหตุผลนี้ในภายหลัง เดิมทีนางเคยร่ำไห้ต่อจวงจื่อด้วยความคับแค้นใจ ‘อาจารย์ เป็นเพราะว่าบิดาของข้าฝากฝังข้าไว้กับท่าน แต่ต่อมารอไม่ไหวสิ้นชีพไปเสียก่อน ทำให้ท่านไม่สามารถคืนข้ากลับไปได้ ในใจของท่านจึงรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่งใช่หรือไม่?’

ซ่งชูอีจำได้เป็นอย่างดี หลังจากนางกล่าวประโยคนี้จบแล้ว จวงจื่อก็เงียบงันครู่หนึ่ง เงยหน้าถอนหายใจเอ่ย ‘รอไม่ไหว…คำนี้ใช้ได้ดีมาก!’

บัดนั้นซ่งชูอีอายุแปดขวบ

……

การถามถึงความฝันและความจริงนั้น เป็นเพียงวิธีการตีสนิทของซ่งชูอีต่อจวงจื่อเท่านั้น ทว่าบัดนี้กลับกลายเป็นว่าแยกไม่ออกขึ้นมาจริงๆ

หลังจากดึงสติกลับมา ซ่งชูอีเอ่ยถาม “วันก่อนข้าฝันถึงผีเสื้อ จะแบ่งความฝันและความจริงได้เยี่ยงไร?”

จวงจื่อสำรวจซ่งชูอีอย่างจริงจังรอบหนึ่ง ตอบว่า “จิตใจไพศาลดังขอบฟ้า ดวงตามองลงมายังก้อนเมฆสูง เอื้อมมือไขว่คว้าความฝัน ล้วนเป็นจุดแข็งของสุภาพบุรุษ…ทว่ายิ่งเงยหน้ามองสูงเพียงใด ก็ยิ่งสูญเสียตัวเองได้ง่าย สู้ก้มหน้าเป็นบางคราว มองทิวทัศน์รอยกายยังดีเสียกว่า”

“คิดไม่ถึงว่าท่านก็ปลอบประโลมคนเป็น” ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ย อาจารย์ในความทรงจำของนางปลอบโยนคนน้อยมากจริงๆ

จวงจื่อชอบการถกเถียงถึงเหตุและผลและชื่นชอบการหักห้างความคิดของผู้อื่นเป็นพิเศษ ด้วยเหตุนี้เขาจึงเชี่ยวชาญในการต่อต้านผู้อื่นในสถานการณ์นับไม่ถ้วน ครั้นเวลาผ่านไปมันก็ค่อยๆ กลายเป็นนิสัยอย่างหนึ่ง ในคำพูดของฮุ่ยซือ หากจวงจื่อไม่ต่อต้านผู้อื่น ร่างกายจะต้องงอกหนามจนทุกขทรมานเป็นแน่

บนใบหน้าของจวงจื่อยังคงมีรอยยิ้มที่เงียบสงบและอ่อนโยน “บางเวลาที่อารมณ์ดีก็กล่าวคำพูดน่าฟังอยู่บ้าง”

“ขอบคุณที่ชี้แนะ” ซ่งชูอีโค้งคำนับ จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “วันนี้ได้พบท่านปรมาจารย์ เป็นวาสนายิ่งนัก! ข้าน้อยจะเชิญชวนท่านเดินหมาก ดื่มสุราร้อนกาหนึ่งให้หนำใจท่ามกลางสายพิรุณในเหมันตฤดู ไม่ทราบว่าท่านมีความเห็นเยี่ยงไร?”

ใช้คำว่าดื่มสุราร้อนกาหนึ่งให้หนำใจ หากเป็นผู้อื่นได้ยินก็คงต้องหัวเราะฟันร่วงแน่ๆ ทว่าสำหรับจวงจื่อคนที่ครั้นได้กลิ่นสุราก็เมาไปแล้วสามส่วนนั้น หนึ่งกาก็เพียงพอ

“เยี่ยม” จวงจื่อตอบรับโดยไม่คิดแล้ว เขากระทำการตามใจของตัวเองมาโดยตลอด ได้พบกันนับว่าเป็นวาสนา ไม่จำเป็นต้องคิดมาก

ชาตินี้ซ่งชูอีมิได้วางแผนที่จะคารวะจวงจื่อเป็นอาจารย์อีก ไม่ใช่ว่าเขาจะยอมรับหรือไม่ สิ่งสำคัญก็คือทุกสิ่งที่ซ่งชูอีกระทำนั้นวิ่งสวนทางกับลัทธิเต๋า แม้ว่าสำหรับจวงจื่อแล้ว อย่างมากก็เพียงอุทานคำว่า “ลัทธิเต๋าคือธรรมชาติ” อีกครั้งหนึ่ง ทว่าซ่งชูอีไม่ปรารถนาที่จะดึงดูดการโจมตีจากลัทธิอื่นๆ มาสู่อาจารย์ของตน

บัดนี้นางกล่าวว่าตนเกิดมาจากลักทธิเต๋า แต่ก็เป็นเพียงการเกิดมาเท่านั้น สามารถตัดขาดได้ง่าย ทว่าความสัมพันธ์ฉันท์ศิษย์อาจารย์นั้นยากที่จะตัด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สู้ตัดด้วยคำว่า “วางเฉย” ไปตั้งแต่ต้นเสียดีกว่า

อย่างไรก็ดีไม่ว่าภายนอกจะเป็นเยี่ยงไร จวงจื่อยังคงเป็นอาจารย์ในใจของซ่งชูอีอยู่เสมอ

ซ่งชูอีรักในการเดินทางเช่นเดียวกับจวงจื่อ อีกทั้งต่างใจกว้างและไร้ข้อผูกมัด เวลาได้พูดคุยกันจึงค่อนข้างเข้ากันได้ง่ายโดยธรรมชาติ พวกเขาคุยกันตั้งแต่เรื่องสถานการณ์ปัจจุบันของรัฐต่างๆ ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงกฎหมายใต้หล้า ความคิดที่แพร่กระจายเป็นเหมือนม้าป่าถอดบังเหียนที่วิ่งไปอย่างไร้ทิศทางในโลกอันกว้างใหญ่ จนกระทั่งสู่อ๋องเข้ามา ทั้งสองจึงเงียบเสียงลง

สู่อ๋องนั่งลง สีหน้าเคร่งขรึม “หวยจินเอ๋ย”

ซ่งชูอีนึกว่าต้องการคุยเรื่องการค้าระหว่างสองรัฐ จึงนั่งตัวตรง

สู่อ๋องถอนหายใจ มีความทุกข์ใจอยู่ระหว่างคิ้ว

“ฝ่าบาทมีเรื่องอะไรในใจ พูดออกมาได้พะย่ะค่ะ” ซ่งชูอีเอ่ย

“เรื่องนี้เลวร้ายมากจริงๆ” สู่อ๋องดูเหมือนอารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาก็หลุบต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ด้วยร่างกายที่แข็งแรงกำยำจึงดูเหมือนหมาป่าเบื่ออาหาร “ข้าไร้ความกำหนัดต่อเหล่านางกำนัลในวังหลังแล้ว”

จวงจื่อกับซ่งชูอีอ้าปากค้างพร้อมกัน จากนั้นก็คืนสู่ปกติอย่างรวดเร็ว เอามือสอดไว้ในแขนเสื้อพร้อมมองสู่อ๋องด้วยสีหน้าเห็นอกเห็นใจ

“ทำเยี่ยงไรดี?” สู่อ๋องถาม

ซ่งชูอีไอแห้งทีหนึ่ง ยื่นมือจิ้มๆ จวงจื่อ “ท่านปรมาจารย์ ได้โปรดชี้แนะสักข้อสองข้อเถิด!”

สู่อ๋องพยักหน้าหงึกหงัก เอ่ยด้วยความร้อนรน “หวังว่าท่านจวงจื่อจะให้คำชี้แนะได้”

“ทุกอย่างล้วนมีมูลเหตุ ฝ่าบาททราบสาเหตุของเรื่องนี้หรือไม่?” จวงจื่อสีหน้าจริงจัง ราวกับท่านหมอที่กำลังวินิจฉัยโรค ไร้ความคิดสกปรกโดยสิ้นเชิง

สู่อ๋องถอนหายใจ “นับตั้งแต่ได้ยินหวยจินบรรยายความงามของจื่อเฉาให้ข้าฟังแล้ว กว่าเหรินมองสตรีข้างกายแล้วก็ไม่ใคร่ชอบใจ หากไม่ใช่เพราะผิวพรรณหยาบกระด้างก็เพราะลมหายใจมีกลิ่นไม่พึงประสงค์…สรุปว่าไม่มีผู้ใดสะดุดตาเลย”

เพียงระยะเวลาสั้นๆ เป็ดที่อยู่ตรงหน้าก็เทียบไม่เท่าหงส์ขาวในระยะไกล รอจนกระทั่งเวลาแห่งความหิวกระหายที่สุดผ่านพ้นไปแล้ว ต่อให้หงส์ขาวงดงามเพียงใดก็ไม่สู้เป็ดที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ บางคราวความปรารถนาก็ครอบงำความคิดของคนโดยไม่รู้ตัวถึงเพียงนี้

สิ่งที่ซ่งชูอีต้องการทำก็คือ ยืดระยะเวลาความปรารถนาของเขาที่มีต่อหงส์ออกไป “แทนที่ฝ่าบาทจะคิดเรื่องนี้ สู้ฝ่าบาทปรึกษากับเหล่าขุนนางเรื่องการค้าจะดีกว่า ตราบใดที่ประสบความสำเร็จ รัฐฉินก็จะส่งของขวัญมาให้ทันที รวมถึงจื่อเฉาที่งดงามดุจเทพธิดาด้วย ฝ่าบาทเห็นว่าเยี่ยงไร?”

“คำพูดของหวยจินมีเหตุผล!” สู่อ๋องตบหน้าตัก ขึ้นเสียงสูงทันใด “เด็กๆ!”

“ฝ่าบาท” สาวใช้นางหนึ่งย่อตัวพร้อมรับคำสั่ง

สู่อ๋องควบคุมความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ “กระจายคำสั่งของกว่าเหริน เรียกประชุมราชสำนักบัดนี้”

“ฝ่าบาท นี่ก็ใกล้จะสองยามแล้ว พรุ่งนี้ค่อยหารือก็ไม่สาย” ซ่งชูอีรู้ว่าห้ามไปก็ไร้ประโยชน์ ทว่าก็ดีกว่าไม่พูดอะไรเลย

สู่อ๋องยกมือขึ้นเล็กน้อย สีหน้าจริงจัง “กว่าเหรินทำงานหนักเช่นนี้มาโดยตลอด กว่าเหรินจะสั่งให้คนส่งท่านทั้งสองกลับไปพักผ่อนก่อน”

ซ่งชูอีเม้มปากกลั้นขำ คิดในใจ ‘เพราะว่าตัวเองนอนไม่หลับ จึงไม่ยอมให้ผู้อื่นนอนหลับอย่างสงบสุขกระมัง!’

หัวเราะในใจก็เรื่องหนึ่ง ซ่งชูอีลุกขึ้นค้อมคำนับพร้อมกับจวงจื่อด้วยสีหน้าที่ยังคงสงบนิ่ง

เดินออกมาจากท้องพระโรงด้วยความเงียบสงบ ครั้นเดินออกมาจากพระตำหนักสู่อ๋องแล้วเห็นว่ารอบข้างไร้ผู้คน ทันใดนั้นทั้งสองคนก็ระเบิดหัวร่อเสียงดัง เสียงหัวเราะดังก้องอยู๋ในราตรีแห่งสายฝน ดึงดูดให้เหล่าขุนนางที่มาอย่างรีบร้อนเหลือบมอง

เพิ่งจะสิ้นเสียงหัวเราะ จู่ๆ ก็มีเสียงควบม้าอันรวดเร็วดังขึ้นจากด้านข้าง

หูของซ่งชูอีขยับไหวเล็กน้อย รีบร้อนเข้าพระราชวังในคืนฝนตกเช่นนี้จะต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่ นางเลิกผ้าม่านขึ้นมองด้านนอกแวบหนึ่ง ก็เห็นทหารสู่นายหนึ่งควบม้าผ่านมาจนน้ำสาดกระเซ็นแล้วหายไปในราตรีอันมืดมิดอย่างรวดเร็ว

“กำลังจะมีสงครามแล้ว” ซ่งชูอีพึมพำ

จวงจื่อกล่าว “หวยจินทายถูกหรือไม่ว่าเป็นสงครามระหว่างรัฐใด?”

ซ่งชูอีครุ่นคิด “รัฐปาต้องการจะเปิดสงครามกับรัฐสู่แล้ว”

“องค์จวินหายไป กองทัพรัฐฉู่เข้ากดดัน เตรียมกลืนกินราวกับปลาวาฬได้ทุกเมื่อ?” แม้ว่าจวงจื่อจะไม่เคยถูกเรียกใช้โดยจวินของรัฐต่างๆ แต่เขาก็มีความรักในภูเขาและแม่น้ำ อีกทั้งยังเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลมมาโดยตลอด ในโลกใบนี้มีเพียงสิ่งที่เขาไม่อยากรู้แต่ไม่มีสิ่งที่เขาไม่รู้