บทที่ 170 คนละเส้นทางเป้าหมายเดียวกัน

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

“กองทัพฉู่ไม่มีความเคลื่อนไหวเลย คิดจะรอให้ปาสู่ต่อสู้กันกระมัง” ซ่งชูอีรวบแขนเสื้อ มองออกไปยังราตรีในสายฝนอันมืดมิดผ่านช่องว่างของหน้าต่าง

รอยยิ้มคลุมเครือปรากฏขึ้นบนใบหน้าของจวงจื่อ มิได้พูดในหัวข้อนี้ต่อทว่ากลับเปลี่ยนเรื่อง “ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ข้ารู้สึกถูกชะตากับเจ้ามากทีเดียว”

ซ่งชูอียังมิทันได้ซาบซึ้งก็ได้ยินจวงจื่อกล่าวต่อ “คิดอยากจะโบยสักชุดอย่างน่าประหลาด”

จวงจื่อมีนิสัยตรงไปตรงมา ในใจคิดเยี่ยงไรก็พูดไปเยี่ยงนั้น มักจะมีความเฉียบคมเกินกว่าผู้คนจะต้านทานไหว ทว่าซ่งชูอีได้ผ่านการต่อสู้และทดสอบมาอย่างโชกโชนจึงไม่เหมือนคนทั่วไป นางกลับยิ้มกว้างและกล่าวด้วยความยินดียิ่ง “ข้าน้อยรู้สึกซาบซึ้งที่ได้เจอท่าน นับเป็นเกียรติยิ่งนัก”

จวงจื่อจ้องนางด้วยความเงียบงันครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวอุทานกับตัวเอง “วิถีเต๋าคือธรรมชาติ ช่างลึกลับเหลือเกิน!”

คำว่า “วิถีเต๋าคือธรรมชาติ” นี้มีความหมายต่างกันในสถานการณ์ที่ต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นบัดนี้จวงจื่อกำลังคร่ำครวญถึงความเป็นเอกลักษณ์ของทุกสิ่ง ที่จริงก็สามารถสรุปได้ในประโยคเดียวว่า โลกนี้ช่างกว้างใหญ่จริงๆ มีครบทุกความอัศจรรย์!

วาจานี้ไม่ว่าจะเป็นคำชื่นชมหรือคำดูแคลนก็เหมือนกับคนยืนพูดไม่ปวดเอว[1] หากจวงจื่อรู้ว่าชาติที่แล้วตนต้องอาเจียนเป็นเลือดหลายร้อยครั้งเพราะความแปลกประหลาดนี้ ไม่รู้ว่ายังจะอุทานเหมือนเดิมอยู่ไหม

พูดคุยไร้สาระตลอดทาง

ครั้นกลับมาถึงจวนรับรอง ซ่งชูอีก็สั่งให้คนเตรียมเตา ทั้งสองคนดื่มสุราท่ามกลางสายฝนโปรยปรายในยามดึกสงัด

พอจวงจื่อเมาแล้วก็เริ่มพูดมาก ทว่าที่น่าแปลกก็คือความคิดเฉียบคมกว่าปกติ ทุกสิ่งที่พูดล้วนมีเหตุผลไม่เหลวไหลเลยสักนิด

ขณะที่กำลังเมาได้ที่ ซ่งชูอีเปลือยเท้า ยกช้อนสุราเคาะเป็นจังหวะร้องเพลงด้วยผมเผ้ากระเซอะกระเซิง “อุดรทิศมีมัจฉานามว่าคุน คุนตัวใหญ่มาก ไม่รู้กี่พันลี้ มันได้กลายร่างเป็นวิหคนามว่าเผิง หลังเผิงใหญ่มาก ไม่รู้กี่พันลี้ ครั้นโผบิน ปีกของมันดุจเมฆในท้องฟ้า!”

“อิสรจร” เป็นบทความที่จวงจื่อให้ความรู้สึกตรงไปตรงมาที่สุด ซ่งชูอีก็ได้รับเชื้อจากความอิสระที่ไม่ถูกจำกัดนี้ อดไม่ได้ที่จะร้องเสียงสูง “ดินแดนอันกว้างใหญ่ในอุดรทิศ มีทะเลผืนใหญ่นามว่าเทียนฉือ! มีปลาตัวหนึ่ง ขนาดใหญ่เป็นพันลี้ ไม่มีใครรู้ว่ามันยาวเท่าใด นามของมันก็คือคุน มีนกตัวหนึ่ง นามว่าเผิง แผ่นหลังดุจภูเขาไท่ซาน ปีกคล้ายห้อยอยู่เหนือเมฆ อาศัยลมกรดบินสูงถึงเก้าหมื่นลี้ เหนือเมฆสูง ใต้ฟ้าคราม…”

ทั้งสองคนร้องเพลงกันอย่างมีความสุข รู้สึกว่าเพียงในบ้านยังไม่สาแก่ใจ จึงออกไปร้องเพลงเสียงสูงให้กับท้องฟ้าที่มืดมิดอยู่ในลาน

ยามอารักขาที่ยืนนิ่งเหมือนเสาในลานมีท่าทางงุนงง มองไปยังคนบ้าสองคนที่กอดคอกันร้องบางอย่างที่แปลกประหลาดกับท้องฟ้าท่ามกลางสายฝน ทุกคนตกตะลึงไปชั่วขณะทว่าไม่มีใครเข้ามาห้ามปราม

ราษฎรชาวฉินเคยเห็นชาวเต๋าคลุ้มคลั่งเช่นนี้ที่ไหนกัน หลังจากได้สติกลับมาแล้วก็รีบไปรายงานผู้ต้อนรับ โดยกล่าวว่าบัณฑิตจงหยวนสองคนจู่ๆ ก็เสียสติไปแล้ว

คืนนี้ที่หวังเฉิงมีคนบ้าสามคนที่ไม่ได้หลับได้นอน

ทางนี้หนวกหูจนผู้อื่นนอนไม่หลับ ทางนั้นสู่อ๋องเร่งให้แม่ทัพเตรียมทำสงครามด้านหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็บังคับให้เหล่าขุนนางลุกออกมาเตียงอันอบอุ่น คำขอก็คือจำต้องมีการตัดสินใจถึงแผนการ ครั้นได้ข้อสรุปเมื่อใดก็กลับบ้านไปนอนได้เมื่อนั้น

บรรดาขุนนางก็หารือกันอย่างเคร่งขรึมจริงๆ คิดว่าการที่รัฐฉินเข้ามาค้าขายในช่วงสงครามระหว่างปาและสู่ เป็นไปได้ว่าไม่มีจุดประสงค์ที่ดีนัก ทว่าหากรัฐฉินต้องการที่จะค้าขายด้วยใจจริงก็คุ้มค่าที่จะลอง ฉะนั้นเรื่องนี้จึงไม่ควรด่วนตัดสินใจ อย่างไรก็ดีสู่อ๋องรู้สึกไม่พอใจกับผลลัพธ์นี้เป็นอย่างยิ่ง ขอให้พิจารณาใหม่ทันที

คราวนี้ทุกคนจึงเข้าใจว่าสู่อ๋องตัดสินใจที่จะทำการค้าขายกับรัฐฉินตั้งแต่แรกอยู่แล้ว! ที่เรียกพวกเขามาก็เพื่อจะดูว่ามีใครสามารถหาเหตุผลเพียงพอที่จะโน้มน้าวเขาได้หรือไม่ หากไม่มี เกรงว่าเรื่องการค้าขายก็ตัดสินใจกันตามนี้ ในเวลานี้ทุกคนจึงรู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมาจริงๆ

กองทัพรัฐปาได้เข้ามาใกล้รัฐสู่แล้ว แน่นอนว่ามีกองกำลังประจำการต่อต้านอยู่ที่ชายแดน ทว่าไม่มีใครในรัฐสู่ที่กล้าเพิกเฉย

สู่อ๋องรู้สึกหงุดหงิดเพราะเขาไม่สามารถเกิดอารมณ์กำหนัดได้ การโจมตีของรัฐปาในครั้งนี้ถือเป็นความโชคร้าย ด้วยความเกรี้ยวกราด เขาร่างหนังสือแห่งรัฐทันทีพร้อมด่าทอปาอ๋องเสียๆ หายๆ แล้วสั่งให้ม้าเร็วนำหนังสือฉบับนี้ไปส่งท่ามกลางสายฝน

การกระทำเช่นนี้ดูเหมือนจะกระตุ้นความขัดแย้ง ทว่าความเกลียดชังของปาสู่ยืดเยื้อหลายปี องค์จวินทั้งสองรัฐต่างไม่มีใครยอมก้มหัวก่อน ในใจของสู่อ๋องนั้นชัดแจ้งดุจกระจก ชายชราเช่นปาอ๋องจะโจมฉับพลันจะต้องไม่ใช่เพราะโทสะชั่ววูบแน่ แต่ก็จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ เขาด่าไปสองคำก็เพื่อระบายความโกรธเท่านั้น ไม่มีผลกระทบใดต่อสงครามนี้เลย

ราตรีแห่งความยุ่งเหยิงผ่านพ้นไป

เช้าวันรุ่งขึ้น ในที่สุดท้องฟ้าที่มัวหมองก็แจ่มใส แสงแดดที่หายไปนานดูสดใสเป็นพิเศษ แต่น่าเสียดายที่บางคนไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะชื่นชมกับมัน

ในจวนรับรอง จวงจื่อและซ่งชูอีห่อตัวอยู่ในผ้านวมนอนอยู่ข้างเตา ใบหน้าซีดขาว ใต้ตามีสีคล้ำ และหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดน้ำมูกเป็นครั้งคราว

“ท่าน” กู่หานแบ่งยาสองถ้วยแล้ววางลง ยื่นให้จวงจื่อและซ่งชูอี

เมื่อคืนกู่หานได้ยินว่าปาสู่เปิดสงครามกัน จึงคิดหาวิธีไปสืบข่าว ครั้นกลับมาก็เห็นจวงจื่อกับซ่งชูอีอยู่ในสายฝน จึงลากทั้งสองคนออกมาจากพื้นที่เปียกชื้นและโยนพวกเขาลงในอ่างน้ำร้อน แต่มันก็สายเกินไปแล้ว

กู่หานไม่รู้ว่าควรจะตำหนิซ่งชูอีจากตรงไหนดี จวงจื่อเมามายจนล้มพับก็ช่างประไร แต่นางที่ไม่ได้เมาก็บ้าไปกับเขาด้วย ในฐานะราชทูตแห่งรัฐฉินกระทำเรื่องเช่นนี้ในต่างรัฐ ต้าฉินได้เสียหน้าไปอย่างสมบูรณ์แล้ว บัดนี้กู่หานขี้คร้านที่จะพูดให้มากความอีก

“ท่าน เมื่อเช้าข้าได้ข่าวว่าเมื่อคืนปาสู่สู้รบกันแล้ว ยังไม่รู้ผล” กู่หานจ้องซ่งชูอีที่กำลังเป่าไอร้อนออกไปจากถ้วยยาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

ซ่งชูอีวางถ้วยลง คลำผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดๆ จมูก พูดด้วยเสียงอู้อี้ “สืบเจอสาเหตุที่เปิดสงครามกันไหม?”

“ยังขอรับ” กู่หานกล่าวอย่างละอายใจ

นี่มิได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของซ่งชูอี “มีคนจงใจให้มันเกิดขึ้น ในขณะนี้น่าจะยังสืบไม่ได้”

กู่หานเอ่ย “ความหมายของท่านคือรัฐฉู่ยั่วยุโดยเจตนา?”

“ไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐฉู่…” ซ่งชูอีหดตัวอยู่ในผ้านวม มองไปยังจวงจื่อ

จวงจื่อเหลือบตาขึ้น ใบหน้าสงบนิ่งและอ่อนโยน

กู่หานลอบถอนหายใจ ดูลักษณะจวงจื่อก็มิใช่คนที่สร้างปัญหากระไร แน่นอนว่าทันทีที่ได้อยู่กับซ่งชูอีก็จะมีอาการผิดปกติ

อย่างที่รู้กันว่าครั้งนี้เป็นการกล่าวหาซ่งชูอีอย่างผิดพลาดจริงๆ สาเหตุที่นางมีอาการเสียสมาธิอย่างเช่นวันนี้ โดยมากก็เป็นเพราะการคารวะขอบคุณจวงจื่อ

เงียบงันครู่หนึ่ง จวงจื่อก็เอ่ยว่า “ได้ดื่มกับหวยจินนับเป็นความสุขแท้ ทว่าวันนี้อากาศแจ่มใส พอข้าดื่มยาถ้วยนี้หมดก็ต้องออกไปจากที่นี่แล้ว”

ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ อาจารย์ยังคงเกลียดสงครามเหมือนที่นางจำความได้และเกลียดการต่อสู้ด้วยอำนาจทั้งหมด ไม่ว่าใครหรือเรื่องใดๆ ก็ไม่สามารถขัดขวางเขาได้ แม้แต่ความเจ็บป่วยก็เช่นกัน

ในอดีต จวงจื่อยังคงท่องไปยังรัฐต่างๆ ด้วยทัศนคติที่ต้องการส่งต่อหลักความคิดลัทธิเต๋า แม้จะเป็นชาวเต๋าเช่นเดียวกับเหลาจื่อ ทว่าเขามีความสามารถด้านวรรณกรรมมากกว่าเหลาจื่อมาก ในระหว่างตัวอักษรนั้นเผยให้เห็นความอิสระที่เปี่ยมด้วยอารมณ์เพ้อฝันและไม่มีสิ่งใดสามารถผูกมัดได้ซึ่งมันคือสิ่งที่ผู้คนแสวงหาจากส่วนลึกในจิตใจ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นชั้นวรรณะที่บัณฑิตจำนานมากตามหา

ส่วนบรรดาองค์จวินก็หยุดสนับสนุนผลงานทางวรรณกรรมของเขา จวงจื่อเดินทางไปรัฐต่างๆ มากมายและเคยรับราชการในบางรัฐด้วย ยิ่งเขาได้สัมผัสกับการเมืองการปกครองมากเพียงใด มันก็ยิ่งกลับทำให้เขาหงุดหงิดมากเท่านั้น เดิมทีความฝันกับความเป็นจริงแตกต่างกันมากโขอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นความฝันของจวงจื่อก็สูงกว่าผู้คนทั่วไปมากนัก

“อิสระ…” ซ่งชูอีพึมพำ

จวงจื่อนิ่งไปครู่หนึ่ง “หวยจิน?”

ซ่งชูอีดึงสติกลับมา ยิ้มกว้างให้จวงจื่อพร้อมเอ่ย “ที่ใดมีผู้คนย่อมมีความปรารถนา ที่ใดมีความปรารถนาย่อมมีข้อพิพาท ไม่ว่าข้าทำอะไร ท่านจงเชื่อเถิดว่าความฝันของข้าล้วนไปสู่เป้าหมายเดียวกันกับท่านแต่ด้วยเส้นทางที่แตกต่าง ซึ่งก็คืออิสระ อิสระแห่งใต้หล้า”

นี่เป็นเพียงคำพูดลอยๆ ทว่าจวงจื่อเข้าใจแล้ว แววตาของจริงจังของนางทำให้จวงจื่อหวั่นไหว

เขาไม่เคยมองคนพลาด เด็กหนุ่มที่ยากจะแยกแยะระหว่างความจริงใจและความเท็จตรงหน้านี้ยังมีหัวใจของความเป็นเด็กอยู่ สำหรับนักยุทธศาสตร์แล้ว สองสิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเช่นการโป้ปดและความไร้เดียงสานี้น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง!

จวงจื่อเงยหน้าดื่มยารสขมรวดเดียวหมด วางถ้วยลงแล้วลุกขึ้นจากไป

ซ่งชูอีเม้มริมฝีปากพร้อมมองแผ่นหลังผอมบางนั้นด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า ทว่าดวงตากลับมีเมฆหมอกมาบดบัง

ชาติที่แล้วเขาเลี้ยงดูนางมาจนเติบใหญ่ ตั้งแต่ไรแต่ไรมาไม่เคยผูกมัดอุปนิสัยและความคิดของนางเลย ในที่สุดเมื่อค้นพบว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการจะทำนั้นวิ่งสวนทางกัน เขาก็ทำได้เพียงร้องอุทานว่า “วิถีเต๋าคือธรรมชาติ” เขายังเป็นบิดาของนางอีกด้วย ทว่าในชาตินี้ อย่าว่าแต่ความรักในการอบรมเลี้ยงดูเลย บางทีวาสนาของพวกเขาอาจจบลงตรงนี้แล้วกระมัง!

กู่หานมองซ่งชูอีด้วยความประหลาดใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นอารมณ์ที่นอกเหนือจากการเยาะเย้ยถากถางและความสงบนิ่งบนใบหน้าของนาง

“ไปสืบสาเหตุที่รัฐปาออกทัพและคอยสังเกตความเคลื่อนไหวของรัฐจู” ซ่งชูอีข่มความรู้สึกแล้วสั่งกำชับ

เมื่อนึกถึงหมิ่นฉือ บัดนี้ดูจากท่าทางของเขาก็ไม่เหมือนหนีออกมาจากรัฐเว่ย์เลย ตาแก่เว่ยอ๋องนั่นกักขังเขาไว้ถึงครึ่งปี เหตุใดจึงปล่อยเขาออกมากัน? อีกทั้งในตอนนี้รัฐเว่ยและรัฐเจ้ากำลังต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย โจมตีปาสู่ไม่ได้ด้วยซ้ำ นอกเหนือจากนี้แล้วยังจะมีเป้าหมายอะไรอื่นอีก…

ซ่งชูอีหลับตา ทันใดนั้นฉากที่พบกับหมิ่นฉือในวันนั้นแวบเข้ามาในสมอง

ตอนนั้นมิได้ประจันหน้ากันด้วยซ้ำ เขากลับสั่งคนลอบโจมตี หรือว่าเขาจะ…ประกาศสงคราม? หรือเตือนสตินาง?

ซ่งชูอียืดตัวตรง พร้อมได้ข้อสรุปที่ค่อนข้างไร้สาระ เว่ยอ๋องยังคงไม่คิดที่จะปล่อยนาง!

ซ่งชูอีเข้าใจหมิ่นฉือเป็นอย่างดี เขาทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ในขณะเดียวกันก็หยิ่งผยอง คราวก่อนที่

พ่ายแพ้ในมือของนาง เขาจะต้องหาทางเอาคืนเป็นเท่าตัวอย่างแน่นอน ในใจจะต้องไม่ยอมทำเรื่องลอบฆ่าไร้สมองเช่นนี้เด็ดขาด สามารถคาดเดาได้ว่าแม้หมิ่นฉือจะออกมาจากคุกแล้วแต่กลับไม่ได้เป็นผู้นำในการลอบสังหารในคราวนี้ มิฉะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเตือนนางด้วยวิธีนั้น

มุมปากของซ่งชูอีกระตุกยิ้ม หยิบผ้าเช็ดผ้าออกมาเช็ดๆ จมูกอีกครั้ง พันตัวด้วยผ้านวมแล้วย้ายไปที่เตียง

สะลึมสะลืออยู่ไม่รู้นานเท่าใด กู่หานจึงกลับมา

ครั้นตื่นขึ้นมา ซ่งชูอีก็สดชื่นขึ้นมากแล้ว

ซ่งชูอีเอื้อมมือหยิบกาบนเตาแล้วรินน้ำร้อนให้ตัวเอง เอ่ยถาม “ข้าหลับไปนานแค่ไหน?”

“ประมาณหนึ่งเค่อ” กู่หานเอ่ย

ถ้วยที่จรดปากของซ่งชูอีชะงักเล็กน้อย เหลือบตาขึ้นมองเขาพร้อมเอ่ย “สืบเจอได้เร็วเพียงนี้เชียวหรือ?”

“ยังขอรับ บัดนี้ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว ที่รบกวนท่านเพราะว่ามีอีกข่าวหนึ่ง” กู่หานพูดอย่างไม่ใคร่พอใจ “งานสมรสระหว่างฉินเว่ยถูกกำหนดไว้สิ้นปี”

ซ่งชูอีคำนวณคร่าวๆ “เช่นนั้นก็อีกไม่กี่วันแล้วนี่นา!”

กู่หานกล่าว “ยังเหลืออีกครึ่งเดือน”

ซ่งชูอีจิบน้ำคำหนึ่ง มองดูสีหน้าของเขา อดกล่าวไม่ได้ “เจ้าทำหน้าบึ้งไปทำไมกัน? เพราะเจ้าหึงหวงองค์หญิงเว่ยหรือเพราะหึงหวงฝ่าบาท?”

[1] คนยืนพูดไม่ปวดเอว เปรียบเปรยเป็นเรื่องง่ายที่จะวิพากษ์วิจารณ์เพราะมิได้ประสบด้วยตัวเอง