บทที่ 171 จบไม่สวย

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

“ฝ่าบาทเสียสละมากมายเพื่อต้าฉิน” กู่หานเอ่ย

กู่หานไร้ความน่าสนใจเช่นนี้มาโดยตลอด ซ่งชูอีหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดๆ จมูก ถอนหายใจสรุปว่า “รัฐต้องการความแข็งแกร่ง ผู้ที่เสียสละมิได้มีเพียงฝ่าบาทผู้เดียวเท่านั้น เจ้ายังรักเขาจริงๆ”

“ท่าน ข้าน้อยกำลังกล่าวเรื่องจริงจัง!” กู่หานขมวดคิ้ว เขาไม่เชื่อว่าปากของซ่งชูอีจะไร้สาระได้ตลอดเวลา? เห็นได้ชัดว่าเมื่อพบกับสู่อ๋อง ทุกอากัปกิริยานั้นน่าทึ่งเพียงใด

ซ่งชูอีทำตามที่บอก เก็บอาการเกียจคร้าน “เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้าเรื่องที่จริงจังเรื่องหนึ่ง เจ้าต้องจำใส่ใจเอาไว้”

ครั้นเห็นกู่หานพยักหน้า ซ่งชูอีก็กล่าวด้วยความขึงขัง “หลงรักองค์จวินจบไม่สวยดอก”

เงียบงันไปสองลมหายใจ กู่หานลุกขึ้นพรวด ประสานมือเอ่ย “ข้าน้อยจะไปสืบข่าวการต่อสู้ของปาสู่”

เมื่อเห็นเงาของเขาที่ถอยออกไป ซ่งชูอีจับๆ ผม บ่นพึมพำ “ช่างไม่น่ารักเอาเสียเลย”

สายตาของนางหยุดอยู่ที่ตำแหน่งตรงข้าม ที่ข้างเบาะมีถ้วยชาที่ยังมีไอร้อนหลงเหลือวางอยู่

ในวินาทีนี้เองนางรู้สึกพึงพอใจยิ่ง ชาติที่แล้ว นางไม่เคยเห็นอาจารย์อีกเลยตั้งแต่อายุสิบแปดจนกระทั่งลมหายใจสุดท้าย ชาตินี้แม้จะเป็นการเห็นหน้าเพียงครั้งเดียวก็รู้สึกเติมเต็มแล้ว

แสงอาทิตย์เล็ดลอดเข้ามาจากช่องว่างของหน้าต่างก่อให้เกิดแสงบางๆ ระยิบระยับอยู่บนพื้น ซ่งชูอีลุกขึ้นเดินไปยังหน้าต่าง ยื่นมือผลักหน้าต่างเปิด แสงแดดจ้าสาดเข้ามาทันใด ซ่งชูอีหรี่ตาเพื่อปรับตัวครู่หนึ่ง มองดูดอกชบาภายในลานที่ร่วงโรยและเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝนเปล่านั้น มันยังคงเผยให้เห็นความอ่อนโยนและงดงามภายใต้แสงแดด

อย่างไรก็ดีบัดนี้หล่งซีซึ่งถูกกั้นโดยภูเขาสูงตระหง่านกลับมีหิมะตกหนักแล้ว

ขบวนเกี้ยวส่งตัวองค์หญิงแห่งรัฐเว่ยออกเดินทางจากต้าเหลียง ยังมีเวลาอีกสามวันก่อนสิ้นปี ก่อนจะถึงด้านนอกของด่านหานกู่

องค์หญิงที่จะเข้าพิธีสมรสในคราวนี้คือเว่ยหว่าน พระมารดาของนางมาจากสกุลโจวอันสูงส่งทว่ากลับไม่ได้รับความเอ็นดู เว่ยหว่านเป็นคนที่ไม่ชอบทำตัวเด่น อยู่ที่พระราชวังเว่ยอ๋องก็เงียบงันจนแทนไร้ตัวตน พระธิดาที่สถานะสูงศักดิ์ทว่าไม่ได้รับความสำคัญเช่นนี้คือสิ่งที่เว่ยอ๋องต้องการ

แม้ว่าตระกูลเก่าแก่ในรัฐฉินจะไม่ใคร่พอใจกับเว่ยหว่านนัก แต่ถึงอย่างไรมารดาของนางก็เป็นบุตรสาวของขุนนางชั้นสูงในราชวงศ์โจว จุดนี้ทำให้ชาวฉินยอมรับได้ง่ายขึ้น

ภายในรถม้า สาวใช้นางหนึ่งคุกเข่าต้มชาอยู่หน้าเตา

เด็กสาวในชุดเจ้าสาวสีแดงเอนพิงอยู่บนตั่ง เตาอุ่นฝีมือปราณีตอันหนึ่งอยู่ในมือบอบบางดุจหยกของนาง ชายเสื้อยาวไหลย้อยลงมาจากตั่ง ลวดลายมงคลที่ปักอยู่ด้านบนงดงามอ่อนช้อย ดูเหมือนมีลำแสงหลากสีลอยอยู่ภายใต้แสงไฟ คิ้วตาบนใบหน้าขาวเล็กของเด็กสาวไม่นับว่างดงามโดดเด่น ทว่าเมื่อรวมเข้าด้วยกันแล้วสดใสเป็นอย่างยิ่ง ความสูงศักดิ์อันสง่างามนั้นค่อนข้างสมเกียรติยศกับมาตุภูมิ

เพียงแต่สีหน้าของเด็กสาวบัดนี้มีความเศร้าหมอง ใบหน้าของนางก็ซีดลงด้วยเช่นกัน

“องค์หญิง ดื่มชาอบอุ่นร่างกายเถิดเพคะ” สาวใช้ถือชาอุ่นในอุณหภูมิที่เหมาะสมไว้ในมือทั้งสอง

เว่ยหว่านส่ายหน้าเบาๆ

สาวใช้เห็นดังนี้ก็วางถ้วยชาลง เอ่ยปลอบประโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว องค์หญิงอย่าคิดมากทำร้ายพระวรกายเลย บ่าวได้ยินมาว่าฉินกงอายุยังน้อย วิชาป้องกันตัวไม่สามัญ จะต้องมีบทสนทนาดีๆ กับองค์หญิงได้แน่เพคะ”

“ข้าได้ยินเรื่องของเขามาแล้ว ทว่าข้ามิได้กังวลเรื่องนี้” เว่ยหว่านขมวดคิ้ว นางมาแต่งงานเพื่อปรองดองความสัมพันธ์ มิใช่การแต่งงานทั่วไป บัดนี้ความแค้นระหว่างเว่ยฉินยืดเยื้อมามากกว่าหนึ่งหรือสองชั่วอายุคนแล้ว นางไปคราวนี้จะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง? หากภายภาคหน้าฉินเว่ยผิดใจกัน นางจะพบกับจุดจบเช่นไร?

ได้ยินว่าฉินกงมีนิสัยรุนแรงเย็นชา เขาจะสามารถยอมรับสาวชายเว่ยเป็นพระชายาด้วยใจจริงได้หรือ?

“เสด็จพี่ ข้ามองเห็นด่านหานกู่แล้ว!” เสียงคมชัดของเด็กสาวคนหนึ่งดังมาจากนอกรถม้า

เว่ยหว่านได้ยินเสียงนั้นแล้วหัวใจก็รู้สึกสงบลงมาบ้าง รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า เอื้อมมือเลิกม่านขึ้นเพื่อเปิดเป็นช่องว่าง สายลมเสียดแทงพัดเข้ามา นางรีบพูดขึ้น “หวานเอ๋อร์ รีบเข้ามาในรถเถิด”

รถม้าหยุดลงและประตูรถก็เปิดออก ร่างสีแดงพุ่งเข้ามาพร้อมกับสายลมและหิมะ “เสด็จพี่ ข้างนอกหิมะถมกันหนาแล้ว อีกไม่นานก็จะถึงท้องของม้าอยู่แล้ว มองไปรอบๆ ทุกอย่างขาวโพลน ด่านหานกู่นั้นยังอยู่อีกไกล แต่หวานเอ๋อร์กลับรู้สึกได้ถึงความน่าเกรงขาม มิน่าล่ะถึงได้รบกันไปรบกันมาอยู่ตลอดเวลา”

รอยยิ้มบนใบหน้าของเว่ยหว่านเปลี่ยนไป นางดึงหวานเอ๋อร์พร้อมตำหนิ “จำไว้ว่าต่อไปห้ามพูดจาเช่นนี้อีกเป็นอันขาด! พวกเรากำลังจะไปที่รัฐฉินนะ”

เด็กสาวอายุสิบห้าสิบหกปี ทันทีที่นางยิ้มดวงตากลมโตก็กลายเป็นพระจันทร์เสี้ยว ใบหน้าเจ้าเนื้อเล็ก ๆ ถูกับแขนของเว่ยหว่านอย่างเอาอกเอาใจ “เสด็จพี่อย่าโกรธสิเพคะ ต่อไปหวานเอ๋อร์จะเชื่อฟังเป็นอย่างดี”

“เจ้าน่ะหรือ? หากเชื่อฟังน่ะสิถึงแปลก! คนอื่นล้วนอยู่ในรถม้า มีแค่เจ้าที่อยู่ไม่สุข ประเดี๋ยวก็จะถึงด่านหานกู่แล้ว เจ้าเก็บกิริยาของเจ้าให้ดีเถิด” สีหน้าของเว่ยหว่านอบอุ่นเล็กน้อยทว่าก็ยังตำหนิไม่หยุด

ตามธรรมเนียมของการแต่งงาน สาวสูงศักดิ์ที่ออกเรือนจะต้องมีเพื่อนเจ้าสาวที่เป็นพี่สาวหรือน้องสาวหนึ่งหรือสองคน เว่ยหว่านเป็นองค์หญิง มิได้มีเพื่อนเจ้าสาวที่เป็นองค์หญิงชั้นสามัญเพียงสองคนเท่านั้น แต่ยังมีสตรีชั้นสูงของเว่ยอีกแปดคนและยังมีนางกำนัลอีกแปดสิบเอ็ดคน

ครั้นองค์หญิงชั้นสามัญสองคนและสตรีชั้นสูงแปดคนเดินทางถึงรัฐฉินแล้ว ต้องรายงานสถานะตามกฎทั่วไป สำหรับนางกำนัลที่ติดตามการออกเรือนแปดสิบเอ็ดคนนั้นสามารถจัดการได้ตามใจชอบ หากไม่ต้องการใช้ประโยชน์แล้ว จะเป็นสาวใช้ก็ได้หรือจะมอบให้เหล่าขุนนางก็ได้

เว่ยหวานก็คือหนึ่งในเพื่อนเจ้าสาวผู้มีสถานะเป็นองค์หญิงชั้นสามัญ

“องค์หญิงหวาน” สาวรับใช้ยกชาร้อนให้ถ้วยหนึ่ง

เว่ยหวานเล่นซนอยู่ข้างนอกเป็นเวลานาน แน่นอนว่าต้องกระหายน้ำบ้างแล้ว ขณะที่กำลังเอื้อมมือรับรถม้าก็สั่นไหวรุนแรง น้ำร้อนทั้งถ้วยหกลวกอยู่บนมือของนาง

จากนั้นเว่นหวานร้องเสียงหลง รถม้าหยุดลง ด้านนอกพลันมีเสียงอาวุธปะทะกัน

เว่ยหว่านลุกขึ้นสำรวจเว่ยหวานว่าถูกลวกตรงไหนหรือไม่ ในขณะที่นางก้มหน้าอยู่นั้น ลูกธนูดอกหนึ่งบินเฉี่ยวขมับนางไปพร้อมกับเสียงฟิ้วแหวกอากาศ ได้ยินเพียงเสียงอู้อี้ด้วยความเจ็บปวดสุดขีดอยู่เบื้องหลัง เว่ยหว่านหันไปดูตามสัญชาตญาณ จึงเห็นว่าสาวใช้คนใกล้ชิดของตนถูกลูกธนูลูกหนึ่งแทงทะลุติดกับกำแพงรถ! หางของลูกธนูสั่นไหวส่งเสียงวิ้งๆ

เลือดพ่นไปทั่วรถม้าฉับพลัน สาวใช้ผู้นั้นดิ้นรนอยู่ในบ่อเลือดสองสามครั้งก่อนสิ้นลมหายใจ ดวงตาบนใบหน้าซีดขาวเบิกโพลงด้วยด้วยความหวาดกลัวและถูกแช่แข็งตลอดกาล

เว่ยหว่านใบหน้าซีดเผือด บังคับตัวเองให้สงบสติลง รีบเอามือปิดตาเว่ยหวานไว้

เว่ยหวานตกใจจนอึ้งไปนานแล้ว นางเหม่อลอยไร้ซึ่งซุ่มเสียงใดๆ ปล่อยให้เว่ยหว่านปิดตา

“อารักขาองค์หญิง!” ไม่รู้ว่าเสียงใครคำรามอยู่ข้างนอก

ปัง! เสียงหนึ่งดังขึ้นราวกับมีดาบฟันกำแพงรถอย่างแรง เว่ยหว่านรีบกอดเว่ยหวานนอนลงไปกับพื้นรถ

ทหารเว่ยที่มาส่งขบวนแต่งงานมีสามพันนาย ล้วนสามารถสู้ได้หนึ่งต่อสิบ ทว่ากองโจรเหล่านั้นซ่อนตัวอยู่ในหิมะหนาทึบเพื่อรอคอยจังหวะโจมตีอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นเขาจึงถูกฆ่าตายใกล้กับรถม้าขององค์หญิง

เว่ยหว่านหลับตาแน่น กลิ่นเลือดหนักหน่วงกลับยิ่งทำให้นางหวาดกลัว

“รีบไปขอความช่วยเหลือที่ด่านหานกู่!”

เว่ยหว่านได้ยินเสียงคำสั่งดังอยู่นอกรถ ตื่นตระหนกในใจ หรือว่าทหารสามพันนายก็ยังสู้กองโจรไม่ได้หรือ?

ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด ม้าก็ส่งเสียงร้อง รถม้าสั่นอย่างรุนแรง ทันใดนั้นก็วิ่งอย่างดุเดือด

น้ำร้อนกระเซ็นทั่วพื้น ถ่านหลายอันในเตาเผาถูกสะบัดออกและตกลงน้ำส่งเสียงดังปุดๆ

เว่ยหว่านอาศัยอยู่ในส่วนลึกของวัง ใช่ว่าไม่เคยเห็นบรรดาฮูหยินวางอุบายฆ่าคน ถึงอย่างไรก็ดีนางก็ไม่เคยผ่านประสบการณ์คาวเลือดเช่นนี้ด้วยตัวเอง ดูภายนอกเหมือนสงบนิ่งที่จริงแล้วอกสั่นขวัญแขวนเป็นอย่างยิ่ง

เว่ยหว่านหลับตาแน่น ได้กลิ่นไหม้จางๆ คละคลุ้งในกลิ่นเลือด นางลืมตาขึ้นก็เห็นตั่งที่ลุกเป็นไฟไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด อีกทั้งยังเห็นว่าไฟนั้นควบคุมไม่ได้แล้ว

ในเวลานี้เว่ยหวานจึงดึงสติกลับมา น้ำตาไหลพราก สีหน้าซีดขาว ความหวาดกลัวทำให้เธอร้องไห้ไม่ออกด้วยซ้ำ

ในสมองของเว่ยหว่านวุ่นวายสับสน ทว่านางรู้ว่าบัดนี้มีทางรอดเดียวเท่านั้นคือกระโดดลงจากรถ มิฉะนั้นก็จะถูกเผาตายอยู่ในรถในไม่ช้าแม้ว่าจะไม่ถูกฆ่าตายก็ตาม

“หวานเอ๋อร์ ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกลัว!” เว่ยหว่านพลางปลอบประโลมน้องสาวพลางเปิดประตูรถ

เนื่องด้วยหิมะทับถมกันเป็นชั้นหนา รถม้าจึงไม่สามารถวิ่งได้เร็วนัก เว่ยหว่านกัดฟัน ดึงเว่ยหวานกระโดดลงไป ในเวลานี้เองนางต้องขอบคุณที่ประตูรถม้าอยู่ข้างหลัง

ทันทีที่ลงจากรถ เสียงการต่อสู้โดยรอบดังขึ้นข้างหูโดยไม่มีอะไรขัดขวาง เว่ยหว่านรู้ว่าที่จริงไม่ว่าจะในหรือนอกรถม้าก็อันตรายเป็นอย่างยิ่ง นางมองไปโดยรอบและตกใจเมื่อพบว่าไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน! มีเพียงทหารหลายสิบคนที่วิ่งตามมา แต่กลับไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนในชุดขาวเหล่านั้นเลย

ครั้นทหารเว่ยตั้งแถวเป็นรูปสี่เหลี่ยมในสนามรบก็เรียกได้ว่าอยู่ยงคงกระพัน ทว่าเมื่อพบการโจมตีฉับพลันจากยอดฝีมือ เห็นได้ชัดว่าความสามารถในการสู้แบบตัวต่อตัวดีไม่เท่ามือดาบ

“ฆ่าองค์หญิงเว่ยก่อน” ท่ามกลางความชุลมุนนั้น ไม่รู้ว่าคำสั่งของใครดังขึ้น

บัดนี้เว่ยหวานแทบไม่ได้สติแล้ว ครั้นเว่ยหว่านจะหนีไปผู้เดียวก็มิได้ ยิ่งไม่อาจพานางหนีไปด้วยกัน

มีสามคนพุ่งตรงเข้ามาคว้าเว่ยหว่านและเว่ยหวานขึ้นมาจากพื้น เหลือบมองเพียงแวบเดียวก็สามารถยืนยันได้ว่าเป็นองค์หญิงเว่ยตัวจริงจากเสื้อผ้าและเครื่องประดับ จากนั้นก็ง้างดาบขึ้นอย่างดุเดือด

ในชั่วขณะนั้นเอง ทั้งตัวของเว่ยหว่านขนลุกซู่ ความรู้สึกไวกว่าปกติหลายเท่า นางรู้สึกได้แม้กระทั่งความเย็นเยียบของคมดาบที่เข้ามาใกล้คอของตัวเอง ทว่าบัดนี้ตัวของนางแข็งทื่อแล้ว ส่วนศีรษะก็ถูกเขาจับมั่นแล้ว ความตายปรากฏอยู่ตรงหน้า ทว่าด้วยความภาคภูมิใจเข้ากระดูก นางข่มเสียงกรีดร้องอยู่ในลำคออย่างเอาเป็นเอาตาย

“อ๊า!”

ขณะที่เว่ยหว่านหลับตารอความตายอยู่นั้น เสียงร้องน่าสมเพศของคนข้างหลังดังขึ้น

ศีรษะของเว่ยหว่านที่ถูกจับไว้คลายออก นางอดที่จะประหลาดใจมิได้และหันหลังกลับไปดูโดยไม่รู้ตัว คนที่ง้างดาบต้องการฆ่านางนั้นล้มลงไปบนพื้นหิมะแล้ว สมองแตกและเลือดกระจายบนหิมะสีขาวจนน่าตกใจ เห็นได้ชัดว่ากำลังแขนของคนที่ยิงธนูนั้นน่าทึ่งมาก

นางหันขวับไปทางที่ธนูยิงมาก็เห็นท่านแม่ทัพในชุดเกราะสีดำขี่ม้าเข้ามาทางนี้ บุคคลผู้นี้ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนท่ามกลางการต่อสู้อย่างต่อเนื่องของบริเวณโดยรอบ เพียงพริบตาเดียวเขาก็มาหยุดอยู่ตรงหน้านาง แขนเหล็กยืดเหยียดและอุ้มนางขึ้นหลังม้าอย่างไร้ความทะนุถนอม

ในเวลานี้เองเว่ยหว่านจึงได้สติกลับมา เมื่อดูออกว่าเป็นเครื่องแต่งกายของแม่ทัพชาวฉินก็รีบเอ่ยขึ้น “ได้โปรดพาน้องสาวของข้าไปด้วย!”

คนที่อุ้มนางไร้คำตอบใดๆ นางนอนคว่ำอยู่บนหลังม้าเงยหน้าขึ้นมองด้วยความยากลำบาก ขนหมาป่าสีดำที่พันรอบคอของเขาบดบังใบหน้าส่วนใหญ่ เผยให้เห็นเพียงดวงตานกอินทรีอันเย็นเยียบคู่หนึ่งและคิ้วที่ชี้เข้าไปในขมับ

“ได้โปรดพาน้องสาวข้าไปด้วย!” เว่ยหว่านดิ้นรนสุดกำลัง ตอนที่ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายเมื่อครู่ นางก็ไม่ได้หลบหนี บัดนี้จึงยิ่งไม่สามารถทิ้งเว่ยหวานได้

น่าเสียดายที่ไม่ว่านางดิ้นรนสุดกำลังเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ใดๆ ภายใต้พันธนาการของเขา

เว่ยหว่านหันกลับไปมองข้างหลังและเห็นว่ามีท่านแม่ทัพอีกนายหนึ่งอุ้มเว่ยหวานขึ้นหลังม้า จึงรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย น้ำตาที่อัดอั้นเอาไว้หลั่งไหลออกมาโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า

“ฝ่าบาท ควบคุมกองโจรได้ทั้งหมดแล้วพะย่ะค่ะ” ท่านแม่ทัพที่แบกเว่ยหวานกล่าว

เว่ยหว่านเงยหน้ามองผู้ที่อยู่ใกล้เพียงคืบด้วยความประหลาดใจ นางไม่เคยมาก่อนเลยว่า ฉินกงจะมาช่วยชีวิตนางด้วยตัวเอง

เมื่อนึกถึงสภาพสะบักสะบอมของตัวเองในตอนนี้ ใบหน้าของเว่ยหว่านร้อนผ่าว นางดิ้นรนที่จะลงจากม้า คราวนี้

อิ๋งซื่อกลับไม่ขัดขวาง

“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ช่วยชีวิต” เว่ยหว่านรู้ว่าบัดนี้ตนไม่สวย ทว่านางพยายามรักษาความสง่างามของตนเองอย่างสุดความสามารถ

อิ๋งซื่อมองมาจากบนหลังม้า สายตาหลุบลงเล็กน้อย กวาดตามองนางอย่างบางเบายิ่ง “ไม่ต้องมากพิธี”

ครั้นน้ำเสียงเย็นชาหล่อรวมเข้ากับสายลมหนาวก็ยิ่งรู้สึกเฉยเมยมากกว่าเดิมเล็กน้อย

“ฝ่าบาท จะทรงจัดการกับกองโจรพวกนี้เยี่ยงไร?” ท่านแม่ทัพเห็นว่าอิ๋งซื่อกำลังจะขี่ม้าจากไป ถามขึ้นทันที

“แยกศพประจาน” อิ๋งซื่อกล่าวออกมาสองคำแล้วจากไป

ท่านแม่ทัพผู้นั้นพลิกตัวลงจากม้า ประสานมือเอ่ยกับเว่ยหว่าน “องค์หญิงคงเสียขวัญแล้ว ข้าน้อยซือหม่าชั่ว”

เว่ยหว่านมองดูชายวัยกลางคนผู้นี้ที่มีรูปร่างกำยำ เขาดูไม่ถ่อมตัวแต่ก็ไม่หยิ่งผยอง ดวงตาน่าเกรงขาม ก็รู้แล้วว่าจะต้องมีสถานะไม่ธรรมดาเป็นแน่ ดังนั้นจึงคำนับกลับน้อยๆ

“องค์หญิงได้โปรดรอสักครู่ อีกประเดี๋ยวรถม้าก็มาแล้ว” ซือหม่าชั่วกล่าว

“ลำบากท่านแม่ทัพแล้ว” เว่ยหว่านเอ่ยขอโทษ

ซือหม่าชั่วค่อนข้างประทับใจในเว่ยหว่าน เขาเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ได้อย่างชัดเจน เด็กสาวที่ถูกเลี้ยงในวังสามารถสงบนิ่งได้เพียงนี้นับว่าไม่ง่ายเลย “องค์หญิงอย่าได้เกรงใจ นี่ล้วนเป็นหนึ่งในหน้าที่ของกระหม่อม”

สิ้นวาจา รถม้าของรัฐฉินที่ตระเตรียมไว้ก็เข้ามาอย่างรวดเร็ว

“นี่คือรถม้าของฝ่าบาท แต่ว่าปกติไม่ค่อยได้ใช้” ซือหม่าชั่วกล่าวเสริม

เว่ยหวานถูกอุ้มขึ้นรถม้า เว่ยหว่านมองไปยังทิศทางที่อิ๋งซื่อจากไป จากนั้นก็หมุนตัวตามขึ้นรถ

เมื่อเข้าไปในรถม้า ก็สามารถสัมผัสได้ถึงนิสัยอันเยือกเย็นของอิ๋งซื่อจากการตกแต่งภายใน รัฐฉินให้ความสำคัญกับสีดำ โต๊ะเตี้ยและตั่งที่อยู่ภายในรถม้าล้วนเป็นสีดำ ด้านข้างมีภาพลายสีแดงที่เรียบง่ายทว่ายิ่งใหญ่ นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีสิ่งตกแต่งอื่นใด

เว่ยหวานตรวจสอบลมหายใจของเว่ยหวาน เมื่อพบว่าไม่มีความผิดปกติใดจึงรู้สึกโล่งใจอย่างสมบูรณ์

ครั้นร่างกายและจิตใจสงบลง ความเหนื่อยล้าก็ถาโถมเข้ามา นางพิงอยู่บนตั่งครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ทันทีที่หลับตาลง ในสมองก็เต็มไปด้วยดวงตาอินทรีเย็นเยียบของอิ๋งซื่อ แม้ว่าเมื่อครู่เขาจะไม่ได้แสดงความอ่อนโยนใดๆ ออกมาเลย ในทางตรงกันข้ามกับแข็งกระด้างยิ่งยวด ทว่านางก็ยังไม่สามารถยับยั้งความสุขในใจได้

เขาสามารถเข้ามาช่วยไว้ทันเวลา ไม่แน่อาจเป็นเพราะเตรียมตัวมารับที่นอกด่านด้วยตัวเองอยู่แล้ว ไม่ว่าเป็นเพราะเหตุผลทางการเมืองหรือเหตุผลอื่นใด ในวินาทีที่เขาอุ้มนางขึ้นม้า บางแห่งในหัวใจของนางก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปแล้ว

ยังไม่ทันเข้ารัฐฉิน เว่ยหว่านก็รู้สึกได้ว่าแขนอันทรงพลังของว่าที่สามีในอนาคตคู่นั้นจะสามารถรองรับโลกที่กว้างใหญ่ได้ ดังนั้นทัศนคติในแง่ร้ายต่อการแต่งงานเพื่อปรองดองครานี้ก็กลับกลายเป็นการตั้งตารอ

ภายนอกรถ ซือหม่าชั่วพลิกตัวขึ้นม้า เหลือบตามองในรถม้าแวบหนึ่งแล้วอดที่จะรู้สึกเห็นใจมิได้ เขามองออกว่า

เว่ยหว่านมีความรู้สึกต่อฝ่าบาทที่ต่างออกไปแล้ว แต่กลัวว่ามันจะล้มเหลวเสียมากกว่า!

ซือหม่าชั่วรู้จักอิ๋งซื่อเป็นอย่างดี ผู้ที่เป็นสตรีของอิ๋งซื่อมีทั้งความโชคดีในความโชคร้าย เพราะว่าจะได้รับการคุ้มครองที่ครอบคลุมที่สุดและการดูแลที่ดีที่สุดอย่างแน่นอน แต่ก็เพราะแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รับความรักจากเขา

แววตาของเขาอยู่ใต้หล้า ความหลงใหลของเขาทุ่มเทให้กับสงครามและการบุกเบิก ส่วนหัวใจทั้งดวงของเขานั้นผูกติดไว้กับต้าฉิน

ไม่รู้ว่าจะมีสตรีผู้ใดเข้าไปอยู่ในหัวใจของอิ๋งซื่อได้หรือไม่ ทว่าซือหม่าชั่วมั่นใจว่าไม่ใช่สตรีเช่นเว่ยหว่านอย่างแน่นอน