บทที่ 189: ทดสอบพลัง

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 189: ทดสอบพลัง

ฉินเย่ฟังที่อีกฝ่ายพูดอย่างตั้งใจ

จากนั้นเขาก็เงียบไป ถึงแม้ว่าอาร์ทิสจะเล่าสิ่งที่นางคุยกับโจวเซียนหลงไปจนหมดแล้ว ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาสักพักใหญ่

เขารู้ดีว่าเมืองเป่าอันได้จำกัดการแลกเปลี่ยนข้อมูลกับเมืองอื่น ๆ ซึ่งมันก็ทำให้ไม่มีที่ไหนที่สงบสุขได้เท่าที่นี่

แดนมนุษย์อดทนมามากเกินไปจริง ๆ และทุกอย่างก็เกิดขึ้นเพราะข้อเท็จจริงที่ว่ายมโลกแห่งเก่าได้เข้าไปเล่นกับไฟ ไม่ว่ารัฐบาลใด ๆ ของจีนตอนนี้ต่างก็ต้องให้ความสำคัญเรื่องความมั่นคงเป็นอันดับแรกทั้งนั้น

และการเสียสละก็เป็นสิ่งที่สามารถยอมให้เกิดขึ้นได้ในสถานการณ์แบบนี้

อย่างน้อยการเสียสละของใครบางคนก็ยังดีกว่าการสังเวยชีวิตของพลเมืองของพวกเขาเอง

มีความเป็นไปได้ 70% ที่เขาจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม ‘เสียสละได้’ กลุ่มนั้นเมื่อความจริงเกี่ยวกับตัวตนของเขาถูกเปิดเผย

ยมทูตมีชีวิตไหม? มา พวกคุณเข้ามาทำความรู้จักกับร่างกายผมหน่อยเป็นไง?

ภาพที่ปรากฏขึ้นมานั้นน่ากลัวจนแทบจะไม่อยากคิดต่อ ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน จากนั้นขณะที่เขากำลังจะม้วนลิ้นของตัวเองกลับขึ้นมา เขาก็รู้สึกถึงสายตาของอาร์ทิสที่จ้องมาที่ตนเองด้วยสายตาที่ลุกโชน ขนบนร่างของเขาลุกชันขึ้นมาทันที

“สายตาของท่านตอนนี้น่ากลัวยิ่งนัก…” เขาลอบกลืนน้ำลายอย่างกังวลขณะที่พยายามจะถอยห่างออกมาแต่ก็พบว่าหลังของตนชนกับกำแพงวิหารในไม่กี่วินาทีต่อมา “ใจเย็น ๆ นะ…ใจเย็น! ไม่ว่าท่านจะกำลังคิดอะไรอยู่แต่โปรดคิดดูอีกทีเถอะ!”

อาร์ทิสยังคงมีสีหน้าที่น่ากลัวขณะที่เดินเข้าไปหาฉินเย่ หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็พยักหน้าพร้อมกับแย้มยิ้มบาง “ไม่เลว ลิ้นที่ยาวสามเมตร ในที่สุดเจ้าก็ดูเป็นยมบาลขึ้นมาบ้าง”

“…นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องบ่นหรืออะไร อันที่จริงข้าอยากจะบอกเจ้าด้วยซ้ำ ว่าเมื่อครู่เจ้าเพิ่งได้สัมผัสความรู้สึกของการเป็นประชากรคนหนึ่งของนรก!”

นางหมุนร่มในมือของตนช้า ๆ “ยกตัวอย่างเช่น รูปลักษณ์ของเจ้าในตอนนี้ ครั้งหนึ่งเคยถือได้ว่างดงามมากในยมโลก…”

ฉินเย่กะพริบตาปริบ ๆ อยู่หลายวินาทีก่อนจะตอบกลับไป “อ่าาา….”

“แต่พอเกี่ยวกับเรื่องรูปลักษณ์ เจ้าไม่คิดหรือว่าตัวเองกำลังให้ความสนใจผิดจุด?” อาร์ทิสหันหน้ากลับมายิ้มให้เขาอย่างสดใส “ว่าไง? ไม่อยากจะทดสอบพลังของยมทูตขาวดำสักนิดหรือ?”

ฉินเย่ยังคงม้วนลิ้นของตนต่อไป และเขาก็พบว่าลิ้นของเขามันแห้งราวกับแผ่นไม้ เขาแทบจะไม่รู้สึกอะไรเลยแม้ว่ามันจะเป็นอวัยวะภายในร่างกายของเขาก็ตาม เด็กหนุ่มจึงตอบไปอย่างไม่สนใจนักว่า “ลองอย่างไร?”

อาร์ทิสยิ้มหวาน “เช่นนี้ไง….”

จากนั้นนางก็ง้างมือ

ฟึ่บ! การโจมตีด้วยฝ่ามือที่ดูเรียบง่ายของนางทำให้ต้นไม้ที่อยู่โดยรอบเอนไหวอย่างรุนแรงราวกับมีมือขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นเพิ่งปัดผ่านไป เสียงที่ดังก้องไปทั่วทำให้ฉินเย่รีบยกมือขึ้นเสมอไหล่อย่างหวาดกลัว “ข้ายอม–….”

แต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ ฝ่ามืออันทรงพลังตรงหน้าก็ตบลงมาบนร่างของเขาอย่างแรง

พร้อมกับเสียงที่ดังลั่น ฉินเย่กระเด็นไปด้านหลังทันที เขากรีดร้องออกมาสุดเสียง แต่แล้วเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าร่างของตนเองลอยอยู่ในอากาศราวกับขนนกที่เบาหวิว และค่อย ๆ ร่อนลงกับพื้นก่อนที่จะลงยืนด้วยสองเท้าของตนเอง

“นี่มันอะไร?” เขาอ้าปากค้างมองมือของตน จากนั้นก็ก้มสำรวจร่างกายของตนเอง

ไม่ได้รับความเสียหายเลยอย่างนั้นหรือ?

ความแข็งแกร่งของร่างกายเขาดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเยอะมาก นี่เราสามารถต้านทานการโจมตีจากตัวบอสอย่างอาร์ทิสได้อย่างนั้นหรือ?

นี่หรือเรา…จะกลายเป็น…บอสแล้ว?

“อ่า…” จิตวิญญาณของเขาสงบลงทันที จากนั้นเขาจึงจัดทรงเสื้อคลุมของตนเองและลูบจอนผมของตัวเองอย่างสง่างาม ก่อนจะกระดิกนิ้วเรียกอาร์ทิส “ขออีกที…สิบทีไปเลย!”

เงียบ

เส้นเลือดบริเวณขมับของอาร์ทิสเต้นตุบ ๆ ข้าเพียงลองเชิงเท่านั้น เจ้าต้องทำท่าทางใหญ่โตถึงเพียงนี้เลยหรือ?!

“อย่างนั้นหรือ?” นางแสยะยิ้มอย่างอันตราย จากนั้นจึงสูดหายใจเข้าช้า ๆ ผมของนางสะบัดอย่างรุนแรงก่อนจะพุ่งเข้าหาฉินเย่อย่างรวดเร็ว!

ฟึ่บ! ไม่ว่าเส้นผมเหล่านี้จะผ่านไปที่ใด ต้นไม้บริเวณนั้นจะถูกเฉือนเป็นชิ้น ๆ บางต้นหักโค่นลงกับพื้น ฉินเย่อ้าปากค้าง ให้ตายเถอะ…นั่นมันขี้โกงชะมัด! ผู้ใดเป็นคนบอกว่าท่านสามารถใช้วิชาที่ทรงพลังแบบนั้นได้กัน?!

“เดี๋ยวก่อน…เรามาพูดกันดี ๆ เถอะ…บ้าไปแล้ว! ท่านตั้งใจโจมตีข้าจริง ๆ เลยนี่!!”

อาร์ทิสไม่สนใจคำวิงวอนของเด็กหนุ่มเลยแม้แต่น้อยในขณะที่ฉินเย่นั้นกำลังหวาดกลัวจนเสียสติ มันเร็วจนแทบจะมองไม่ทันด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงป้องกันตามสัญชาตญาณของตนเอง เขางอตัวและใช้มือกุมศีรษะของตนไว้ ราวกับเด็กนักเรียนผู้อ่อนแอที่ถูกนักเลงในโรงเรียนกลั่นแกล้ง

แต่ขณะที่เขากำลังเตรียมตัวที่จะรับการโจมตี เสียงฟึ่บเบา ๆ ก็ดังขึ้นจากภายในร่างของเขา

หนึ่งวินาทีผ่านไป…สองวินาทีผ่านไป…สามวินาทีผ่านไป…

ไม่เจ็บ?

ฉินเย่ลดแขนลงและลืมตาขึ้นอย่างงงงัน และเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่ามีลูกบอลสีดำกำลังห่อหุ้มร่างของเขาอยู่

มันคือลูกบอลที่เกิดขึ้นจากการควบแน่นของพลังหยิน อันที่จริง มันดำมืดและหนาแน่นจนสามารถป้องกันไม่ให้เส้นผมของอาร์ทิสพุ่งมาถึงร่างของเขาได้

“มันเกิดอะไรขึ้น?” เขาเอื้อมมือออกไปสัมผัสกับชั้นพลังหยินที่ควบแน่นตรงหน้า สัมผัสของมันนั้นเย็นเฉียบ อีกทั้งเขายังสามารถเอามือทะลุออกไปได้อย่างสบาย ๆ แต่สิ่งที่อยู่ด้านนอกกลับไม่สามารถเข้ามาด้านในได้

“ศักดิ์ศรีแห่งอำนาจ” อาร์ทิสพยักหน้าขณะที่เรียกเส้นผมของตนกลับไปราวกับคลื่นน้ำที่หวนกลับท้องทะเล “ทุกตัวตนที่อยู่ขั้นต่ำกว่ายมทูตขาวดำจะไม่สามารถทำอันตรายเจ้าได้ นี่เป็นการสำแดงอำนาจอย่างหนึ่งของเจ้า และยมบาลทุกตนที่อยู่ขั้นยมทูตขาวดำและสูงกว่านั้นจะสามารถขยายอำนาจของตนออกไปได้ พวกเราเรียกมันว่าการก่อร่างวิญญาณ ด้วยสิ่งนี้ เจ้าจะสามารถเดินอยู่ในแดนมนุษย์ในตอนกลางวันได้ แม้ว่าจะอยู่ในร่างยมทูตก็ตาม นอกจากนี้เจ้ายังสามารถเข้าออกยมโลกในเวลากลางวันได้อีกด้วย”

นี่พวกท่านทำอะไรแบบนั้นได้ด้วยอย่างนั้นหรือ?

ฉินเย่เคาะเกราะสีดำที่ห่อหุ้มอยู่รอบตัวของตัวเองอย่างตื่นเต้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า อาร์ทิสเอ่ยต่อด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ความแตกต่างระหว่างขั้นยมทูตขาวดำและขั้นนักล่าวิญญาณนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว…ตั้งใจฟังที่ข้าพูดหน่อยสิเจ้าโง่!”

ตูม! พร้อมกับเสียงตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยว ลูกบอลสีดำของฉินเย่พลันสลายหายไปทันที และเขาลงมือลงอย่างเจื่อน ๆ โอเค…อาร์ทิสก็ยังคงเป็นอาร์ทิส ขั้นตุลาการนรกก็ยังคงเป็นขั้นตุลาการนรก….เรายังไม่สามารถขัดใจนางได้อยู่ดี….

อาร์ทิสสูดหายใจเข้าลึก ๆ ว่าที่เจ้านรกตรงหน้านี้เริ่มมีลักษณะของฮัสกี้ที่สมาธิสั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ใครก็ได้บอกนางทีว่ามันเป็นอาชญากรรมหรือไม่หากนางฆ่าอีกฝ่ายเสีย?

“…ฟังให้ดี ยมทูตขาวดำนั้นถูกแบ่งออกเป็นสามระดับได้แก่ระดับต้น ระดับกลาง และระดับสูง เนื่องจากจำนวนวิญญาณที่อยู่ภายใต้ขอบเขตอำนาจที่เพิ่มขึ้นมาก ปริมาณพลังหยินและแต้มกุศลของยมบาลตนนั้นที่จำเป็นจะต้องใช้ในการเลื่อนขั้นจึงเพิ่มขึ้นมหาศาลเช่นกัน ยมบาลขั้นยมเทพและขั้นนักล่าวิญญาณไม่สามารถเข้าใจหรือได้รับสิ่งเหล่านี้ แต่ช่องว่างระหว่างขั้นยมทูตขาวดำและขั้นตุลาการนรกนั้นก็กว้างราวกับระยะห่างของสวรรค์กับพื้นดิน มีเพียงยมบาลเพียงไม่กี่ตนเท่านั้นที่สามารถข้ามผ่านช่องว่างอันยิ่งใหญ่นี้ไปได้”

ฉินเย่ขมวดคิ้วและขยับมือเบา ๆ เรียกบันทึกนรกออกมา แต่ทันทีที่เขาเปิดอ่าน ดวงตาของเขาก็โตขึ้นจนแทบจะถลนออกมา

ชื่อ: ฉินเย่ (ชื่อเล่น – โก่วต้าน)

สถานที่เกิด: หมู่บ้านเนินเขาหลิวเอ๋อ แม่น้ำกาจือ เมืองถังอัน นครฉิงกวง

สมาชิกในครอบครัว: ปู่ (เสียชีวิต) บิดา-มารดา (เสียชีวิต)

เกิด: 1 ตุลาคม 1938

อาชีพ: ยมทูตขาวดำ (ระดับต้น) – แต้มสะสมปัจจุบัน: 2,200 แต้มกุศล จำนวนแต้มที่ต้องใช้สำหรับการเลื่อนขึ้นสู่ขั้นยมทูตขาวดำ (ระดับกลาง): 2,200/200,000 แต้มกุศล

เขาขยี้ตาของตัวเองทันที

เขาไม่ได้ตาฝาด มันคือ 200,000 แต้มจริง ๆ

“อ่า… นั่นมันน่ากลัวชะมัด แค่คิดว่าข้าต้องทำงานหนักขนาดนั้น….มัน… 200,000 แต้มกุศลจริง ๆ สินะ” เขาถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนขณะที่ปิดบันทึกนรก จากนั้นจึงเงยหน้าสบตากับอาร์ทิส

ใจเย็น ๆ ถ้านางเงียบแบบนี้มันจะต้องมีอะไรต่อแน่ ๆ

ทว่าหลังจากผ่านไปสามวินาที ฉินเย่ก็ส่งบันทึกนรกกระเด็นออกไปด้วยฝีมือของลูกเตะเขา “บ้าเอ๊ย เรื่องบ้าบอพรรค์นี้…%(%*$&)%(^!!!”

“200,000 แต้มกุศล?! ท่านคิดว่าแต้มพวกนั้นมันได้มาง่าย ๆ หรือไง?! ฮ่า ๆๆๆๆ…การเลื่อนขึ้นเป็นขั้นนักล่าวิญญาณยังใช้เพียงแค่ 2,000 แต้มเท่านั้น แต่เลื่อนขั้นของขั้นยมทูตขาวดำกลับใช้แต้มกุศล 200,000 แต้มเนี่ยนะ?! ท่านรู้หรือไม่ว่าจำนวนเลขศูนย์ที่เพิ่มมานั้นมันทำให้เกิดความแตกต่างมากแค่ไหน?!”

อาร์ทิสพยักหน้า

ใช่แล้ว

ปฏิกิริยาแบบนี้ต่างหากที่นางต้องการ

ย้อนกลับเป็นตอนที่นางได้เห็นจำนวนตัวเลขนี้ครั้งแรก นางปาแจกันดอกไม้ที่มีค่าที่สุดของตัวเองทิ้งด้วยซ้ำ…

หลายวินาทีต่อมา บันทึกนรกก็บินกลับมาราวกับผีเสื้อที่สวยงาม ฉินเย่มองมันอย่างอาฆาตและกัดฟันกรอด “บอกมา ท่านขึ้นเป็นขั้นตุลาการนรกได้อย่างไร? 200,000….ท่านคิดว่านิยายเรื่องนี้จะแต่งไปตลอดชีวิตเลยอย่างนั้นหรือ? และนี่ก็ยังเพียงแค่จะเลื่อนเป็นขั้นยมทูตขาวดำระดับกลางด้วย นี่มันบ้าไปแล้ว!”

อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตอบด้วยน้ำเสียงไม่แยแสว่า “ง่ายมาก ข้าได้เป็นขั้นตุลาการนรกในช่วงสมัยของราชวงศ์หมิง ตอนนั้นข้าได้เข้าร่วมสงครามอยู่หลายครั้ง และการจัดการพวกวิญญาณที่ตายจากสงครามก็ทำให้ข้าได้แต้มกุศลมา 30,000 ถึง 40,000 แต้มแล้ว ยกตัวอย่างเช่นในรัชสมัยของสมเด็จพระจักรพรรดิว่านลี่ [1] ดินแดนทั้งหมดเต็มไปด้วยวิญญาณ…หากพวกเราไม่ได้มีการรวมพล ข้ามั่นใจเลยว่าภูตผีคลุ้มคลั่งคงได้กลับไปเกิดในเวลาไม่ถึงสิบปีแน่ และข้าก็โชคดีที่ถูกรวมพลเพื่อไปจัดการกับสงครามที่ยิ่งใหญ่ทั้งสาม และแต่ละครั้งก็ได้แต้มกุศลมากกว่า 60,000 แต้ม”

“ฮ่า ๆๆๆ… ข้ากำลังถามถึงปัจจุบันต่างหาก!”

อาร์ทิสเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย “หากเราล้มตะวันออกกลางได้ ข้ารับรองเลยว่าเจ้าจะมีงานให้ทำจนเมื่อยมือเลยไปล่ะ”

ฉินเย่เริ่มหงุดหงิด “นี่ท่านล้อเล่นหรือไง? ท่านกำลังสนับสนุนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สี่อย่างนั้นหรือ?! [2]”

แต่อาร์ทิสกลับไม่หัวเราะออกมาเลยสักนิด นางเพียงจ้องตาฉินเย่นิ่ง ๆ

ฉินเย่กะพริบตาปริบ ๆ จากนั้นก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงแหบพร่า…นี่ท่านกำลังบอกให้ข้า…โค่นล้มยมโลกของทางตะวันออกกลางจริง ๆ หรือ?

ทว่าอาร์ทิสกลับไม่ปฏิเสธหรือยืนยันข้อสงสัยของเขาเลยสักนิด นางเพียงจ้องหน้าเขานิ่ง ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาอย่างกะทันหัน “มันยังมีอะไรอีกมากมายเกี่ยวกับขั้นยมทูตขาวดำที่ข้ายังไม่ได้บอกเจ้า เจ้าจะคุ้นชินกับพลังของตัวเองหลังจากผ่านไปครึ่งปี ส่วนตอนนี้ ข้าจะพาเจ้ากลับไปที่ยมโลกแห่งเดิมเพื่อไปดูอะไรบางอย่าง”

สิ่งแรกที่แวบเข้ามาในหัวของฉินเย่ก็คือ เจ้าหนอนวิญญาณน่ากลัวตัวนั้นที่เขาเคยเห็น ก่อนหน้านี้ เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายอย่างเป็นกังวล “ข้าไม่ไปได้หรือไม่?”

“แน่นอน…เจ้าคงไม่อยากจะเรียนรู้ศาสตร์แห่งนรกที่มีไว้สำหรับขั้นยมทูตขาวดำหรอกใช่หรือไม่?”

ในเมื่อท่านพูดแบบนั้น…

อาร์ทิสเอ่ยต่อ “เจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะใช้พลังของตัวเองได้อย่างเต็มที่ได้อย่างไร พลังของขั้นยมทูตขาวดำ มันต่างกันคนละโลกกับขั้นนักล่าวิญญาณแค่ไหน เจ้าก็คงจะเดาได้จากสิ่งที่ข้าทดสอบเจ้าไปเมื่อครู่ ก็เหมือนกับพวกมนุษย์ที่ถูกยิงแล้วไม่ตาย อีกทั้งมันยังไม่แม้แต่จะสร้างรอยแผลเป็นให้กับเจ้าด้วยซ้ำ ซึ่งแน่นอนว่ายมโลกมีแบบฝึกหัดเพื่อสอนให้เจ้าสามารถใช้ความสามารถทั้งหมดของตัวเองได้ไว้อยู่แล้ว…เหตุใดเจ้าจึงมองข้าเช่นนั้น?”

ฉินเย่ถาม “แล้ว…ท่านไม่รู้หรือ?”

“ข้าลืมไปหมดแล้ว!” อาร์ทิสโพล่งออกมาตรง ๆ “ความรู้พวกนั้นมันผ่านมาเป็นร้อย ๆ ปีแล้ว ผู้ใดจะไปจำได้กัน? นอกจากนี้ยมโลกแห่งเก่าก็ไม่ได้ล่มสลายไปโดยสมบูรณ์ ข้าจะพาเจ้าไปที่ศาลาวิญญาณเทพเจ้า ที่นั่นน่าจะยังมีตำราของพวกศาสตร์ต่าง ๆ ที่เชื่อมโยงกับกฎของยมโลกแห่งเก่าที่เจ้าสามารถนำกลับมาด้วยได้เหลืออยู่”

จากนั้นนางก็มองหน้าฉินเย่อย่างจริงจัง “ตอนนี้เจ้าอยู่ขั้นยมทูตขาวดำแล้ว ภูตผีปีศาจที่เจ้าจะต้องเผชิญหน้านั้นจะไม่สามารถรับมือได้ง่าย ๆ เหมือนพวกวิญญาณในเขตไล่ล่าอีกต่อไป มันยังมีวิญญาณที่ดุดันแข็งแกร่งกว่านั้นซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของเขตไล่ล่าของทุกเมือง เจ้าอาจจะสามารถอยู่อย่างสบายได้ในเมืองเป่าอัน แต่เมื่อเจ้าออกไปนอกเขตของเมืองนี้ วิญญาณร้ายที่อยู่ในพื้นที่อื่น ๆ จะเข้ามาต้อนรับเจ้าทันที จงเตรียมตัวไว้ให้ดี”

………………………………………………..

ณ ‘ยอดแห่งชัยชนะ’ ยอดเขาเทียนซาน

สถานที่ซึ่งตั้งอยู่ที่ชายแดนระหว่างจีนและคีร์กีซ สูงจากระดับน้ำทะเล 7,000 เมตร

ยอดเขาเทียนซานยังรู้จักกันในอีกชื่อว่า ขันเต็งรี มีความหมายว่าราชาเหนือราชาทั้งปวง ธารน้ำแข็งปกคลุมยอดเขาตลอดทั้งปี เกิดเหตุน้ำแข็งและหิมะถล่มจากปลายยอดบ้างเป็นครั้งคราว ซึ่งนั่นทำให้ไม่มีใครก็ขึ้นไปบนยอดเลยแม้แต่คนเดียว

ณ ยอดเขาที่สูงที่สุดในขันเต็งรีมีถ้ำขนาดเล็กตั้งอยู่ หากผู้ใดเดินเข้าไป พวกเขาจะพบว่าภายในถ้ำนั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อง และหลังจากผ่านไปประมาณสิบนาที พวกเขาก็จะพบกับทะเลสาบน้ำแข็ง….

ทั้ง ๆ ที่ไม่ควรจะมีสิ่งมีชีวิตตนใดบินอยู่ในระดับความสูงนี้ แต่ถึงอย่างนั้นมันกลับมีนกหลายตัวร้องส่งเสียงออกมาเมื่อมันบินเข้าไปในถ้ำ และเมื่อบินตรงไปก็จะพบเข้ากับทะเลสาบน้ำแข็ง จากนั้น ทันทีที่พวกมันไปถึง มือที่ปกคลุมไปด้วยพลังหยินก็เอื้อมออกมาจากความมืดและคว้านกทั้งหมดไว้ในคราวเดียว

“นกกางเขนพวกนี้….” เสียงแหบพร่าของผู้หญิงดังขึ้น หลังจากนั้นไม่นานสายลมรุนแรงก็พัดผ่านไปทั่ว และบรรยากาศภายในถ้ำก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง!

เปลวไฟนรกสีเขียงหยกแผดเผาอยู่เหนือกองกระดูกที่แห้งกรอบซึ่งอยู่ภายในเตาอั้งโล่ทองแดงขนาดใหญ่ ผืนผ้าที่ถูกปักด้วยลวดลายวิจิตรถูกแขวนอยู่รอบ ๆ ผนังถ้ำราวกับธง ในขณะที่วิญญาณจำนวนมากที่แต่งกายด้วยชุดอาหรับ ถือหอกและโล่ยืนประจำที่ของตนเอง สายลมที่รุนแรงพลันพัดมารวมตัวกัน และบัลลังก์กระดูกก็ปรากฏขึ้น ณ จุดกึ่งกลางของสถานที่

แมงมุมสาวตนหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ดังกล่าว บนใบหน้าสวมผ้าคลุมหน้าเอาไว้ ร่างกายส่วนล่างของนางมีลักษณะเหมือนกับแมงมุม แต่มันมีขนาดใหญ่กว่ายมทูตที่ไปแย่งดวงวิญญาณของกู่ชิงมาก รูปร่างของนางแทบจะคล้ายกับบรู๊ดมาเธอร์ในเกม [2] ไม่มีผิด วงแหวนสีแดงเข้มวนอยู่รองหน้าท้อง ดูอันตรายและน่ากลัวเป็นอย่างมาก

นกกางเขนหลายตัวลอยอยู่เหนือฝ่ามือของนางทว่านางกลับมองมันด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้น ไม่กี่วินาทีต่อมา นางก็ถอนหายใจและขยี้นกทั้งหมด

“เทพี” วิญญาณตนหนึ่งเอ่ยถามเสียงเบา “ท่านจะไม่ตอบรับข้อความของพวกเขาหรือ?”

“ไม่จำเป็น…” บรู๊ดมาเธอร์ตอบ “พวกเขาตายหมดแล้ว…ยังมียมทูตหลงเหลืออยู่ในประเทศจีน บางที…สภาผู้อาวุโสอาจจะตรวจสอบผิดพลาด”

“เตรียมถอนกำลังทหารของเรา เราไม่สามารถรุกรานจีนได้ในขณะที่เส้นตรวจจับตัวตนเหนือธรรมชาติยังคงทำงานอยู่ ยังมียมทูตของที่อื่นอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ ไม่มีเหตุผลที่เราจะต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป”