บทที่ 188: ยมทูตขาวดำ

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 188: ยมทูตขาวดำ

มันจบแล้ว

ฉินเย่หลับตาลงและถอนหายใจออกมายาวเหยียด ในที่สุด หัวใจที่ตึงเครียดของเขาก็สามารถผ่อนคลายได้สักที

เสียงเดียวที่สามารถได้ยินภายในวิหารโบราณตอนนี้มีเพียงเสียงหน้ากระดาษที่พลิกไปมาของบันทึกนรก ฉินเย่แย้มยิ้ม “ขั้นยมทูตขาวดำ…หลังจากที่ลงแรงไปมาก ในที่สุดข้าก็ได้ขึ้นเป็นขั้นยมทูตขาวดำเสียที…”

“ลงแรงไปมาก?” อาร์ทิสค่อนขอด “ใบหน้าของเจ้าใช่หรือไม่? ร่างกายของเจ้าใช่หรือไม่?”

ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงถามกลับไปว่า “แล้วตอนที่ข้าเข้าออกหอบรรพบุรุษหลายต่อหลายครั้งตลอดสองสามวันที่ผ่านมาล่ะ? และยังการต่อสู้ที่เสี่ยงตายกับยมทูตนอกอาณาเขตอีก ท่านลืมเรื่องพวกนั้นไปหมดแล้วหรืออย่างไร?”

“…เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าคำพูดของเจ้าดูปรุงแต่งและโอ้อวดอยู่ในนั้นกัน….”

แต่ก่อนที่ฉินเย่จะโอ้อวดไปมากกว่านี้ บันทึกนรกก็สั่นเล็กน้อย และเสียงอู้อี้ก็ดังขึ้นจากทุกทิศทาง

การเลื่อนขั้นสู่ยมทูตขาวดำเริ่มขึ้นแล้ว!

สายลมรุนแรงเริ่มก่อตัวกันขึ้นจากรอบด้าน ต้นไม้บนหุบเขาโน้มลงมาราวกับโค้งคำนับให้กับผู้ที่อยู่วิหาร หลุมศพโบราณจำนวนมากที่อยู่กระจัดกระจายบนหุบเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง ธงวิญญาณสีขาวของพวกมันต่างชี้ไปในทิศทางที่วิหารโบราณตั้งอยู่อย่างรุนแรง

“นี่มัน….” ฉินเย่ตกตะลึง เขามองคลื่นพลังหยินที่ก่อตัวขึ้นรอบตัว กระแสพลังหยินเริ่มหลั่งไหลเข้ามาในวิหารที่เก่าแก่ผ่านรอยแตกต่าง ๆ กรอบหน้าต่างที่ผุพังและทางเข้าหลัก มันเป็นเหมือนกับแม่น้ำสายใหญ่ที่ไหลเข้ามาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในเวลานี้ วิหารโบราณเป็นเหมือนกับเป็นวัตถุหยินที่ทรงพลังชิ้นหนึ่งไปแล้ว!

สายฝนยังตกกระหน่ำลงมา ท้องฟ้ายังคงมืดครึ้ม แต่ด้วยเหตุผลบางประการ จู่ ๆ แสงขาวนวลของดวงจันทร์ก็เริ่มส่องทะเลผ่านก้อนเมฆ และลงมายังดินแดนด้านล่าง จากนั้น ราวกับเขื่อนที่ถูกทำลาย พลังหยินที่อยู่โดยรอบทั้งหมดพุ่งเข้าไปในร่างของฉินเย่อย่างบ้าคลั่ง!

ฟึ่บ! ชั้นของพลังหยินโอบล้อมวิหารโบราณ ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนพลังหยินที่มีขนาดใหญ่จนสามารถมองเห็นได้แม้ว่าจะอยู่ห่างออกไป 100 เมตรก็ตาม

ฉินเย่รู้สึกได้ถึงพลังหยินที่ไหลเวียนอยู่ในเส้นเลือด เส้นประสาท และกระดูกของตัวเอง และเขาก็รู้สึกว่ามันแตกต่างจากการเลื่อนขั้นก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง เขามองเห็นแม้กระทั่งกล้ามเนื้อทุกส่วนของตัวเองกระตุกเกร็งอย่างห้ามไม่หยุด! เส้นลมปราณของเขาบางเส้นขยายใหญ่ขึ้น ในขณะที่บางเส้นค่อย ๆ เหี่ยวแห้งไป แม้แต่กระดูกของเขาก็เริ่มเป็นสีดำจากพลังหยินที่เข้มข้นนี้

และมันก็ไม่ใช้สีดำธรรมดา ๆ กลับกันมันให้ความรู้สึกเหมือนกับหินออบซิเดียนสีดำที่มีความใสวาว มันเหมือนกับงานศิลปะ

“เกิดอะไรขึ้น…” ความแตกต่างของขั้นนักล่าวิญญาณและขั้นยมทูตขาวดำนั้นกว้างมากจนเขาเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นกับมัน เด็กหนุ่มมองพลังหยินที่ก่อตัวขึ้นรอบตัวของตนอย่างกระวนกระวาย และมันก็มีเสี้ยววินาทีหนึ่งที่เขานึกอยากจะเดินหนีไปจากเรื่องทั้งหมดนี่ให้รู้แล้วรู้รอด

ทว่าราวกับรู้ถึงความลังเลที่เกิดขึ้นในใจของเขา เสียงอาร์ทิสก็ดังขึ้น “การเลื่อนสู่ขั้นยมทูตขาวดำคือหนึ่งในจุดเปลี่ยนที่สำคัญมากที่สุดของเหล่ายมบาลทุกตน นี่คือจุดที่พลังของเจ้าจะมีอำนาจครอบคลุมเมืองทั้งเมือง ด้วยการเลื่อนขั้นนี้ เจ้าจะสามารถขยายพลังไปทั่วทั้งเมืองเป่าอันและตำบลต่าง ๆ ได้ วิญญาณทั้งหมดจะถูกดึงเข้ามาหาเจ้าและให้คำมั่นสัญญาว่าจะจงรักภักดีต่อเจ้า หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ นี่คือการแสดงอำนาจของเจ้า”

“มณฑลและเมืองนั้นเปรียบเสมือนกับอาคารไม่กี่หลังในประเทศจีน แต่จำนวนวิญญาณที่อยู่ภายใต้เจ้านั้นจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ขั้นยมเทพอาจจะสามารถทำหน้าที่ของขั้นนักล่าวิญญาณได้ แต่ขั้นนักล่าวิญญาณไม่สามารถทำหน้าที่ของขั้นยมทูตขาวดำได้! ผู้ที่ได้เลื่อนขึ้นเป็นขั้นยมทูตขาวดำจึงถือได้ว่าเป็นเสาหลักของยมโลก และก็เป็นเพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้ผู้ที่เลื่อนเป็นขั้นได้รับพลังหยินมหาศาลเฉกเช่นเจ้าในตอนนี้”

“จงอย่าต่อต้าน แต่จงน้อมรับมัน ร่างกายของเจ้าจะปรับอยู่ในสภาพที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการกำจัดวิญญาณของเจ้า….”

ฉินเย่ไม่ได้ยินสิ่งที่นางพูดอีกต่อไป

ยิ่งพลังหยินหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเขามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าร่างของตัวเองบวมขึ้นเรื่อย ๆ จนเหมือนกับว่ามันจะระเบิดออก แต่ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าก็ไหลไปตามเส้นประสาท มันเย็นสบาย และค่อนข้าง….เคลิ้ม

อาร์ทิสลอยออกมานอกรังพลังหยินที่มีขนาดสิบเมตร ในที่สุดพลังหยินที่หมุนวนก็สงบลง และทันใดนั้น…นกกระเรียนกระดาษก็เปล่งแสงสีดำออกมาและพลังหยินที่อยู่โดยรอบก็บิดเบี้ยวและเปลี่ยนรูป หลายวินาทีต่อมา ร่างของอรากษสะก็ก้าวออกมา

นางถือร่มกระดาษ สวมเสื้อคลุมที่มีสีสัน และลิ้นยาวที่ห้อยออกมาจากปากจนถึงพื้น เส้นผมมากมายโผล่ออกมาจากทวารทั้งเจ็ดราวกับอสรพิษที่น่าสะพรึงกลัว นางหมุนตัวอย่างสง่างามและเดินออกไปจากวิหารโบราณ

สายฝนยังคงตกอย่างต่อเนื่อง กระทบกับใบไม้บนต้นไม้จนเกิดเป็นเสียงเปาะแปะดังขึ้นให้ได้ยิน แต่ถึงกระนั้น บริเวณที่พวกนางอยู่กลับไม่มีเสียงนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว!

หากคุณลองสังเกตดูดี ๆ คุณจะพบว่าไม่มีฝนสักหยดที่กระทบลงบนใบไม้ในพื้นที่บริเวณนั้น คล้ายกับมีเกราะกำบังที่มองไม่เห็นถูกติดตั้งไว้ล่วงหน้าเพื่อรอต้อนรับการมาถึงของแขกคนสำคัญ สายฝน…ไม่ตกลงมาในบริเวณนี้จริง ๆ!

“ข้ารู้อยู่แล้วว่าข้าคงไม่สามารถซ่อนสิ่งที่เกิดขึ้นจากสายตาของเจ้าได้” อาร์ทิสถอนหายใจออกมา จากนั้นเสียงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากรอบด้าน “ยมทูต?! ขั้นตุลาการนรก?!”

โจวเซียนหลงนั่นเอง

“ถูกต้อง นับว่าเจ้ามีสายตาที่เฉียบคมไม่น้อย” อาร์ทิสแย้มยิ้มอย่างจริงใจ “ขอข้ายืมใช้พื้นที่ของเจ้าเพียงชั่วครู่ ข้าต้องการเวลาเพียงชั่วโมงเดียวเท่านั้น”

ฟึ่บ….กลุ่มก้อนพลังปราณลอยออกมาจากต้นไม้ที่อยู่โดยรอบ และก่อตัวเป็นร่างของชายสูงวัย เขาจ้องหน้าอาร์ทิสอย่างตกตะลึง แม้แต่เสียงที่เอ่ยออกมาก็สั่นเทา

มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาอยากจะพูด แต่เขาไม่รู้ว่าควรจะเริ่มมันอย่างไรดี

เกิดอะไรขึ้นกับนรก?

ทำไมมันถึงมีวิญญาณร้ายจำนวนมากปรากฏตัวขึ้น?

พวกท่านตัดขาดจากแดนมนุษย์แล้วอย่างนั้นเหรอ?

ทำไมพวกเรา…ถึงไม่สามารถหาพวกท่านพบ?

ทำไมพระยมแห่งพระตำหนักทั้งสิบและราชันย์วิญญาณทั้งหกถึงไม่ทำอะไรสักอย่าง ถึงแม้ว่าสัญญาณขอความช่วยเหลือจากแดนมนุษย์จะถูกจุดอยู่ตลอด?!

“ทำไม?” โจวเซียนหลงหลับตาลงในที่สุด หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่เขาก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง

อาร์ทิสถอนหายใจเบา ๆ “ยมโลก…ไม่มีอยู่อีกแล้ว”

โจวเซียนหลงลืมตาขึ้นทันที ดวงตาของเขาแดงขึ้นเล็กน้อย

เขารู้ดีว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมันสื่อถึงอะไรได้บ้าง

อาร์ทิสเอ่ยต่อ “ยมโลกได้ประสบกับหายนะที่ไม่คาดคิด พระยมแห่งพระตำหนักทั้งสิบและราชันย์วิญญาณทั้งหกที่เจ้ารู้จักจากไปแล้ว และสิ่งที่เร่ร่อนอยู่ในแดนมนุษย์ในเวลานี้ก็คือราชาผีทั้งสามของกงล้อแห่งสังสารวัฏ และพวกมันแต่ละตนก็ล้วนอยู่ขั้นฝู่จวินระดับสูงทั้งสิ้น”

ลูกกระเดือกของโจวเซียนหลงสั่นเทา เขาถอนหายใจออกมาอย่างกลัดกลุ้ม

เขาไม่คาดคิดว่าจะได้ยินความจริงอันโหดร้ายในวันนี้เลยสักนิด เขายังไม่ได้เตรียมใจมาฟังสิ่งนี้เลย

“ส่วนเรื่องอื่น เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ นี่เป็นเรื่องของยมโลก แดนมนุษย์เพียงต้องอดทนต่อไปเท่านั้น และยมโลกแห่งใหม่จะเสร็จเรียบร้อยภายในหนึ่งร้อยปี ตอนนี้พวกเรากำลังทำงานกันอย่างหนัก”

“ท่านคิดว่าพวกเราจะสามารถอดทนได้ถึงร้อยปีเลยหรือ?” โจวเซียนหลงมองสายฝนเย็นที่ตกลงมาและเอ่ยด้วยน้ำเสียงราวกับคนสำลักว่า “ท่านรู้หรือเปล่าว่าตอนนี้แดนมนุษย์เป็นอย่างไร แล้วทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนเกิดจากการละทิ้งหน้าที่ของพวกท่านน่ะหรือ?!”

ชายสูงวัยยังคงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่าโดยไม่ให้โอกาสอาร์ทิสได้ตอบโต้ “ทุกวันนี้ ผู้คนจำนวนมากต้องเสียชีวิตอย่างหวาดกลัว ท่านคิดว่าเมืองเป่าอันในเวลานี้มันปลอดภัยมากหรืออย่างไร?ใช่ ตอนนี้มันคือสวรรค์ แต่หากท่านเดินทางไปที่มณฑลอื่นๆ…นอกเหนือจากเมืองหลวงของมณฑล ทุก ๆ ตำบลและหมู่บ้านต่างตกอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างอะไรกับนรกบนดิน!!”

“พวกท่านไม่มีทางเข้าใจ…พวกท่านไม่เข้าใจหรอกว่ามันรู้สึกอย่างไรสำหรับพ่อแม่ที่ต้องไปทำงานและกลับมาพบกับศพที่ถูกแยกส่วนของลูก ๆ ของพวกเขานอนจมกองเลือดอยู่ ท่านไม่เข้าใจหรอกว่ามันรู้สึกอย่างไรที่ทั้งครอบครัวจะต้องนอนเบียดกันอยู่บนเตียงในทุก ๆ คืนโดยที่พ่อแม่ต้องตื่นมาสลับเวรยามกันอย่างหวาดกลัว ท่านไม่เข้าใจหรอกว่า….ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนเขานั้นรู้สึกว่าตนเองโชคดีมากแค่ไหนที่สามารถผ่านในแต่ละวันไปได้โดยที่พวกเขายังมีชีวิตรอด! ท่านไม่เข้าใจเลยว่าการที่พวกเรา มนุษย์ ถูกปฏิบัติเยี่ยงปศุสัตว์นั้นเป็นอย่างไร!!”

“และทั้งหมดนี่ก็เป็นผลมาจากการละเลยหน้าที่ของพวกท่าน!!”

ตูม!! ต้นไม้ที่อยู่รอบ ๆ ระเบิดเป็นเสี่ยง ๆ จากพลังปราณที่รุนแรง หางตาของโจวเซียนหลงกระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ขณะเขาจ้องไปที่อาร์ทิสด้วยดวงตาที่แดงก่ำ

เขารู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นบ้า

ไม่รู้ว่าทุกอย่างมันเริ่มผิดพลาดที่ตรงไหน บางทีมันอาจจะเป็นเพราะการละเลยในหน้าที่ของยมโลก หรืออาจจะเป็นเพราะการขาดความสามารถของหน่วยสอบสวนพิเศษ หรืออาจจะเป็นเพราะม้วนคัมภีร์โชกเลือดที่เขาไม่กล้าแม้แต่จะมอง…แต่ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ สิ่งเดียวที่เขารู้ในตอนนี้ก็คือความโกรธของเขานั้นก่อตัวจนมีขนาดใหญ่ที่ภูเขา แต่มันกลับไม่มีที่ให้ระบายออกเลยสักนิด

เงียบ

อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรเลยแม้แต่น้อย

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ อาร์ทิสก็โค้งคำนับอีกฝ่ายเล็กน้อยและเอ่ยว่า “ข้าต้องขอโทษเจ้าจากใจจริง พวกเราเองก็ไม่คาดคิดเช่นกัน ที่ข้าสามารถรอดมาจากหายนะครั้งนั้นได้ก็เพราะว่าข้าซ่อนตัวอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของยมโลกเท่านั้น แต่เชื่อข้าเถอะ พวกเรากำลังทำทุกวิถีทางที่สามารถทำได้เพื่อสร้างยมโลกขึ้นมาอีกครั้ง หากพวกเจ้าสามารถอดทน…”

“อดทน?” โจวเซียนหลงแค่นหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “อดทนกับอะไรล่ะ? กองซากศพของมนุษย์หรือ? ลืมซะเถอะ พวกเราจะแก้ปัญหาด้วยตัวเอง พวกเราจะผ่านวิกฤตนี้ไปให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม!!”

อาร์ทิสพยักหน้า

โจวเซียนหลงถอนหายใจ “ยมทูตนอกอาณาเขตพวกนั้นล่ะ เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา?”

“พวกมันตายหมดแล้ว” อาร์ทิสเอ่ยตอบเสียงเรียบ “ผู้ที่กระทำผิดจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต กลุ่มขนนกทมิฬของเราจะตามล่าพวกมันไป ไม่ว่าจะเป็นทั่วมหาสมุทรแปซิฟิกก็ตาม”

โจวเซียนหลงไม่ได้ตอบอะไรอีก พร้อมกับส่งเสียงฮึดฮัด เขาสะบัดแขนเสื้อของตนเองและเตรียมจะจากไป

ทว่าขณะที่ร่างของชายสูงวัยกำลังจะกลายเป็นกลุ่มก้อนพลังปราณ อาร์ทิสก็เอ่ยขึ้นว่า “ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม…แม้ว่านั่นจะหมายถึงการเสียสละชีวิตของยมทูตอย่างนั้นหรือ? ขอโทษด้วยที่ต้องพูดตรง ๆ แต่ตอนนี้ยมทูตทุกตนล้วนแบกรับความหวังที่จะสร้างยมโลกแห่งใหม่ให้สำเร็จได้เอาไว้อยู่บนบ่า และนั่นทำให้การมีอยู่ของพวกเขามีค่าอย่างมหาศาล”

“แม้ว่านั่นจะหมายถึงการเสียสละชีวิตของยมทูต” ร่างของโจวเซียนหลงเปลี่ยนเป็นกลุ่มก้อนพลังปราณสีขาวที่เริ่มลอยเข้าไปในป่า “ท่านไม่คิดว่าตัวเองกำลังทะนงตนเกินไปหรือ? ตอนนี้แดนมนุษย์ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับยมโลกอีกแล้ว พวกเราอาจจะไม่สามารถอดทนได้ถึงร้อยปีหรอกนะ แต่พวกเราจะไม่มีทางยอมปล่อยความหวังที่มีอยู่หายไปง่าย ๆ เด็ดขาด!”

จากนั้น ร่างของเขาก็หายไปโดยสมบูรณ์ และหุบเขาก็กลับสู่ความเงียบอีกครั้ง อาร์ทิสลุกขึ้นยืน และเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูวิหารเป็นเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงครึ่ง จากนั้นเสียงคำรามก็ดังขึ้นจากใจกลางของวิหาร และพลังหยินที่อยู่โดยรอบก็กระจัดกระจายไปทันที

วูบบบบบ!

เม็ดฝนที่ตกลงมาจากฟ้าถูกพัดออกไปโดยคลื่นกระแทกที่กระจายตัวออกจากวิหาร จากนั้นร่างสีดำก็เดินออกมาจากวิหารอย่างช้า ๆ

เขายังคงสวมหมวกไร้ปีกทรงจีนดังเดิม แต่ตอนนี้มันสูงขึ้นกว่าเดิมมาก คำถูกปักเอาไว้ยังคงเหมือนเดิม ‘ความสงบสุขของโลก’ ลิ้นห้อยออกมาจากปาก และผมของเขาในตอนนี้ก็เป็นสีเขียวหยก ราวกับมีเปลวไฟแห่งนรกลุกโชนอยู่รอบ ๆ ใบหน้าดูเหี่ยวและซูบตอบอย่างไม่ปกติ เขาสวมเสื้อคลุมสีขาวที่ปักดิ้นเป็นรูปของเซี่ยจื้อ ในขณะที่กระบี่ปีศาจในมือของเขา…เปลี่ยนเป็นไม้ขกสังปั้ง![1]

ทันทีที่ฉินเย่ก้าวออกมาจากวิหาร วิญญาณทั้งหมดที่อยู่ในเมืองเป่าอันต่างหันไปมองยังทิศทางที่ชายหนุ่มยืนอยู่ราวกับพวกเขาสัมผัสได้

พวกเขาทั้งหมดมองเห็นกลุ่มเมฆสีดำทะมึนมารวมตัวอยู่เหนือเมืองเป่าอัน และตราสัญลักษณ์บางอย่างก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางหมู่เมฆ แค่การมองเพียงแวบเดียวก็ทำให้วิญญาณทั้งหมดตัวสั่นด้วยความกลัว

ฟึ่บ!

วิญญาณแต่ละตนเริ่มคุกเข่าลงอย่างยอมจำนน แม้แต่วิญญาณที่อยู่ในเขตไล่ล่าก็กรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่งขณะที่รีบไปซ่อนอยู่ในเงามืดอย่างหวาดหวั่น

ขั้นตุลาการนรกเพิ่งได้รับการแต่งตั้ง จะมีวิญญาณตนใดกล้าสร้างความวุ่นวายภายใต้การจับตาดูของเขากัน?

“นี่คือขั้นยมทูตขาวดำสินะ?” ฉินเย่มองดูมือของตัวเอง เล็บของเขาเป็นสีเขียวหยก ผิวของเขาขาวซีดจนแทบจะโปร่งใส ทันใดนั้นเอง แววตาของเขาก็วูบไหวขณะที่เขาจับลิ้นที่ห้อยออกมาขณะที่จ้องอาร์ทิสอย่างตื่นตะลึง “ท่านช่วยอธิบายที่ได้หรือไม่…หมายความว่าอย่างไรที่ท่านบอกว่าข้าจะอยู่ใน ‘สภาพเหมาะสมที่สุดสำหรับการกำจัดวิญญาณ’ ?!”

แต่อาร์ทิสกลับไม่แม้แต่จะหันมามองเขา กลับกัน นางเพียงจ้องมองไปยังสายฝนที่ตกกระหน่ำพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “โจวเซียนหลงมาที่นี่”

ฉินเย่เงียบไปทันที

“ข้าลองถามเขาดูว่า หากการทำให้แดนมนุษย์สงบลงนั้น หมายถึงการเสียสละชีวิตของยมทูตเขาจะคิดเห็นอย่างไร”

“คำตอบของเขาคือ – ‘เช่นนั้นก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว’”

“ข้าพอจะคาดเดาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าแดนมนุษย์จะต้องไม่พอใจ การละเลยหน้าที่ของยมโลกทำให้วิญญาณร้ายหลั่งไหลมาที่แดนมนุษย์ พวกเขาไม่ได้รู้เรื่องอะไร แต่กลับต้องทุกข์ทรมานมากเหลือเกินกับความประมาทของเรา นี่คือเหตุผลว่าทำไมเจ้าถึงต้องปิดบังตัวตนมาตลอด และทำไมเจ้าจึงยังต้องทำเช่นนั้นต่อไป เพราะเราไม่รู้ว่าพวกเขาไม่พอใจพวกเราขั้นรุนแรงถึงเพียงไหนแล้ว ดังนั้นข้าจึงลองทดสอบเขาดูเท่านั้น…”

“แต่ตอนนี้มันไม่จำเป็นอีกแล้ว” นางหันกลับมาและจ้องลึกเข้าไปในตาของฉินเย่ “จงเป็นฮัสกี้ที่ดี ด้วยกำลังของเราตอนนี้ เราไม่สามารถเจรจากับแดนมนุษย์ได้หรอก”

[1] ยมทูตขาวดำ เชื่อว่าหากคนในครอบครัวพบเห็นยมทูตขาวดำเข้าบ้าน หมายความว่าที่บ้านจะมีคนใดคนหนึ่งต้องตาย เป็นความเชื่อที่คล้าย ๆ กับความเชื่อเรื่องนกแสกของคนไทย