บทที่ 21 ใจเป็นกังวล
เมื่อได้โอกาสฉีเฟยอวิ๋นก็ถอนหายใจ รีบเดินเข้าไปอย่างระมัดระวังทันที
ความสูงส่งและแรงกดดันอันหนักอึ้งของพระพันปีอยู่ตรงหน้าของฉีเฟยอวิ๋นแล้ว เธอก้มตัวลง เดินตรงไปที่ข้างหัวเตียงขององค์จักรพรรดิอวี้ตี้ ฮองเฮาเฉินอวิ๋นชูที่กำลังทรงพระกันแสง กั้นผ่านเพียงผ้าม่าน
นางกำนัลสองคนเปิดม่านออก ฉีเฟยอวิ๋นเดินตรงเข้าไปคุกเข่าต่อหน้าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิอวี้ตี้
เวลานี้องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงบรรทมอยู่บนเตียง บนพระวรกายห่มด้วยผ้าห่มสีเหลืองสว่าง พระพักตร์ของพระองค์ทั้งเหลืองและซูบไปมาก ใต้ดวงพระเนตรดำคล้ำ พระโอษฐ์ม่วงเขียว
ฉีเฟยอวิ๋นพูดขึ้นว่า : “ถูกพิษเป็นแน่แท้ ให้หมอหลวงตรวจพิษแล้วหรือไม่เพคะ?”
วินาทีที่ฉีเฟยอวิ๋นมองไปที่องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ เธอดูออกได้ในทันทีว่าฝ่าบาทถูกยาพิษ จะว่าเป็นโหงวบี่จี้ (ผลไม้ห้ารสในตำนาน) ก็ไม่น่าจะใช่
พระพันปีทรงเข้ามาจากด้านนอก มีคนช่วยประคองพระองค์ พร้อมกับเตรียมพระที่นั่งให้กับพระองค์ พระพันปีทรงประทับลงอย่างช้าๆ และทรงทอดพระเนตรไปทางอื่น ฮองเฮาจึงรีบตรัสขึ้นว่า : “ตรวจแล้ว”
“ขอทูลถามพระองค์ หมอหลวงได้ว่าอย่างไรบ้าง?” น้ำเสียงและท่าทางฉีเฟยอวิ๋นในวันนี้ ทำฮองเฮารู้สึกแปลกพระทัยไม่ใช่น้อย ไม่เหมือนฉีเฟยอวิ๋นคนเดิมที่เคยเป็น
แต่ฮองเฮาก็มิกล้าที่จะเมินเฉย รีบตอบกลับมาว่า : “โดนยาพิษ แต่ตรวจไม่ได้ว่าเป็นพิษอะไร?”
“มีบันทึกหรือไม่เพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นต้องรักษาโอกาสนี้ไว้ ไม่ให้จวนท่านนายพลถูกทำร้ายอย่างเด็ดค่ะ
“มี” ฮองเฮาตอบกลับ และทรงทอดพระเนตรไปอีกทาง หมอหลวงส่งหนังสือมาหนึ่งเล่ม ฉีเฟยอวิ๋นเปิดดูอยู่ครู่หนึ่ง
ด้านบนบันทึกเกี่ยวกับการใช้ยาและอาหารขององค์จักรพรรดิอวี้ตี้ ส่วนด้านล่างบันทึกเกี่ยวกับการถูกยาพิษและบรรยายเกี่ยวกับลักษณะพิษ มีรายละเอียดตั้งแต่เริ่มหมดสติ ตรวจพบยาพิษ องค์จักรพรรดิอวี้ตี้เองใช้ยาด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างมาก ผู้คนที่อยู่รอบข้างไม่ว่าจะเป็นนางกำนัลหรือขันที แม้แต่ฮองเฮาเองก็ได้รับการทดสอบพิษด้วย สิ่งที่น่าแปลกก็คือ ไม่มีใครโดนยาพิษแม้แต่คนเดียว
เพราะฉะนั้นการโดนยาพิษขององค์จักรพรรดิอวี้ตี้จึงชี้มาที่ฉีเฟยอวิ๋นคนเดียว ฮองเฮาเองก็ทรงดื่มน้ำโหงวบี่จี้ของฉีเฟยอวิ๋นแล้ว แต่ไม่ทรงเป็นอะไร
คาดว่าองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงดื่มน้ำโหงวบี่จี้มากเกินไป และเป็นเพราะพระวรกายของพระองค์อ่อนแอด้วย
เพราะฉะนั้นความรับผิดชอบทั้งหมดจึงตกอยู่กับฉีเฟยอวิ๋น
ฉีเฟยอวิ๋นวางหนังสือลง พร้อมกับถามขึ้นว่า : “ตรงนี้เขียนซุปบำรุงฤทัยด้วย ไม่ทราบว่ามันคืออะไร?”
หมอหลวงอธิบายว่า : “ซุปยาตัวนี้ถูกคิดค้นและพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษโดยหมอหลวงหูสำหรับพระพันปีโดยเฉพาะ ดวงฤทัยของพระพันปีอ่อนแอเป็นบางครั้งบางคราว หลังจากทรงดื่มแล้ว พระอาการก็ทรงดีขึ้น เมื่อองค์จักรพรรดิทรงบรรทมไม่หลับ พระพันปีจึงได้นำมาถวายโดยเฉพาะ”
ฉีเฟยอวิ๋นค่อยๆ หันไปมองพระพันปีที่ทรงพลัง เคร่งขรึมและสง่าผ่าเผย แม่ทำร้ายลูกเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
พระพันปีผู้สูงส่งที่น่าเคารพเกรงขาม แต่เป็นเพราะพระโอรสได้เป็นจักรพรรดิ พระนางจึงทำร้ายพระองค์เหรอ ก็ไม่น่าจะใช่
“ขอข้าดูซุปบำรุงฤทัยได้หรือไม่ ทั้งตัวยาก่อนนำมาต้มและเศษที่เหลือหลังการต้มด้วย”
ฉีเฟยอวิ๋นพูดจบ หมอหลวงหันหน้าไปมองพระพักตร์พระพันปีอยู่ครู่หนึ่ง พระพันปีจึงตรัสขึ้นว่า : “ไปเถิด”
หมอหลวงจึงรีบไปนำตัวยาและเศษที่เหลือมาโดยทันที
ฉีเฟยอวิ๋นยื่นมือไปสัมผัสอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงนำมาดมกลิ่น
จากนั้นก็เปิดห่อตัวอย่างมาดู ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉีเฟยอวิ๋นจึงพูดขึ้นว่า : “พระพันปี ต้องเรียกตัวหมอหลวงหูมาด้วยเพคะ”
“เรียกตัวมา!”
ไม่นานหมอหลวงหูก็มาถึงที่พระที่นั่งบำรุงฤทัยอย่างรวดเร็ว หมอหลวงหูเองที่ตื่นตระหนกตกใจอยู่แล้ว คุกเข่าลงเหงื่อไหลท่วมตัว พระพันปีทรงทอดพระเนตรไปมองอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตรัสขึ้นด้วยพระสุรเสียงที่เย็นชา : “ดูเถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
หมอหลวงหูคุกเข่าต่อหน้าฉีเฟยอวิ๋น เนื้อตัวที่สั่นเทา
ฉีเฟยอวิ๋นพูดขึ้นว่า : “หมอหลวงหู ตัวนี้เป็นส่วนที่ใช้แล้ว ส่วนนี่ยังไม่ได้ใช้ อยากจะถามหมอหลวงหูว่า ตัวยาทั้งสองตัวนี้หมอหลวงเป็นคนจัดยาเองหรือไม่?”
หมอหลวงหูดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องเล่นตลกขบขัน
จากนั้นหมอหลวงหูพูดขึ้นอย่างแปลกใจว่า : “ไม่ใช่นี่นา นี่เป็นตัวยาที่กระหม่อมจัดเองไม่ผิด แต่ตัวนี้ไม่ใช่”
ฉีเฟยอวิ๋นพอใจกับคำตอบของหมอหลวงเป็นอย่างมาก แล้วจึงถามต่อว่า : “หมอหลวงหูท่านดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วหรือไม่”
“กระหม่อมดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนดีแล้ว ห่อที่ยังไม่ได้ใช้เป็นตัวยาที่กระหม่อมจัดเองไม่มีผิด กระหม่อมเป็นคนจัดเองกับมือ วัตถุดิบแต่ละอย่างสัดส่วนไม่มากไม่น้อย แต่ตัวนี้กลับมีกลิ่นแปลกๆ……สองตัวนี้มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดพ่ะย่ะค่ะ”
หมอหลวงหูยื่นมือไปสัมผัสอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นด้วยความตกใจ : “นี่ไม่ใช่ผงชาดนี่นา!”
หมอหลวงหูรีบดูตัวยาอีกห่อทันที จากนั้นก็หยิบเอาชาติออกมา : “ตัวนี้สิถึงจะเป็นผงชาด นี่มันคนละอย่างกันอย่างเห็นได้ชัด”
ตอนนี้หมอหลวงหูลืมเรื่องความกลัวไปชั่วขณะ เขาเป็นหมอ สุขภาพร่างกายของคนป่วยสำคัญที่สุด
หมอหลวงหูใช้เวลาดูอยู่นานพอควร แล้วจะพูดขึ้นว่า : “นี่เป็นผงถั่วแดง?”
ถั่วแดง?
ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้สติขึ้นมาทันที ถั่วคิดถึง?
ถั่วแดงก็ถูกเรียกว่า (ถั่วคิดถึง) ที่แท้แล้วมันเป็นเพียงแค่เมล็ดถั่วแดง (เมล็ดกะหล่ำทะเล) มีแหล่งกำเนิดอยู่ทางตอนใต้ของจีน และสิ่งสิ่งนี้มีพิษไซยาไนด์อยู่ด้วย พิษร้ายแรงพอตัว หากใครที่โดนพิษตัวนี้ อวัยวะภายในจะเปื่อยเน่าและเสียชีวิตในที่สุด ตายอย่างทรมาน ไร้มนุษยธรรมมาก
ฉีเฟยอวิ๋นเองก็เคยเจอ เพราะฉะนั้นเธอจึงรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี
เพียงแต่ว่าเรื่องมันเคยเกิดขึ้นนานมาแล้วหลายปี เธอจึงลืมมันไป
ฉีเฟยอวิ๋นหยิบผงถั่วแดงบี้แล้วเอามาดม ถามขึ้นอย่างแปลกใจ : “ผงถั่วแดงมีลักษณะเป็นผงสีขาว อยากถามหมอหลวงหูว่า ทำไมถึงกลายเป็นผงสีแดงได้?”
“มีคนต้องการปกปิดอย่างแน่นอน แล้วตั้งใจทำให้มันเหมือนผงชาดสีแดง” หมอหลวงหูดมอยู่ครู่หนึ่ง : “ยังหลงเหลือลักษณะของผงชาดอยู่บ้าง ดูแล้วน่าจะผ่านกรรมวิธีมาแล้ว”
“ใต้เท้าหู มีวิธีแก้หรือไม่?” ฉีเฟยอวิ๋นรีบถามขึ้นทันที
“มี แค่เพียงรู้ชนิดของพิษก็ง่ายขึ้นแล้ว กระหม่อมจะไปเตรียมทันที”
หมอหลวงหูพูดจบก็หันไปทางพระพันปีพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “กระหม่อมขอตัวไปเตรียมยาถอนพิษก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“รีบไป”
พระพันปีส่งหันมาทอดพระเนตรฉีเฟยอวิ๋น พร้อมกับตรัสขึ้นว่า : “เจ้าคุกเข่าอยู่ที่นี่ เดี๋ยวก็เกิดเรื่องอะไรขึ้นมาอีก”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวขอบพระทัย : “หม่อมฉัน……”
ยังพูดไม่ทันจบ ฉีเฟยอวิ๋นก็สลบกองลงกับพื้น ฮองเฮาตกพระทัยพระวรกายสั่นเทา : “พระชายาเย่ พระชายาเย่……”
พระพันปีทรงรีบตรัสขึ้นว่า : “หมอหลวงคนอื่นไปไหนกันหมด เหตุใดถึงยังไม่รีบเข้ามาดู?”
หมอหลวงที่อยู่ด้านนอกรีบกรูเข้ามาทันที คุกเข่าลงต่อหน้าฉีเฟยอวิ๋น แล้วรีบตรวจดูอาการ จากนั้นก็รีบรายงานว่า : “กราบทูลพระพันปี พระชายาเย่ร่างกายกำลังอ่อนแอ จึงหมดสติไปพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่างนั้นหรือ?”
“พ่ะย่ะค่ะ”
“ยกไปดูแลด้านข้าง”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นถูกยกลงไป ในใจก็แอบโล่งอกขึ้นมาทันที จะให้เธอคุกเข่าจนองค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงฟื้นขึ้นมา เข่าของเธอไม่ได้พังไปก่อนรึไง
ฉีเฟยอวิ๋นถูกยกไปไว้ข้างพระที่นั่งบำรุงฤทัย จากนี้คงไม่มีอะไรแล้ว
เพราะยังมีนางสนมและขันทีดูแลอยู่ ส่วนเธอเองก็แกล้งนอนเป็นตาย
ไม่มีวิธีที่จะหลบหนีแล้ว จู่ๆ โดนโทษตายขึ้นมาจะทำยังไง ก็ต้องรีบชิ่งก่อนสิ ตอนนี้ตีเนียนนอนเป็นผักไปก่อนแล้วกัน
ตำหนักเย่
“ท่านอ๋อง ร่างกายของท่านยังไม่หายดีเลย จะเข้าวังจริงๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ?” อาอวี่พูดขึ้นด้วยความเป็นกังวลใจ มองแผลบนร่างกายของหนานกงเย่ที่เริ่มมีเลือดซึมออกมา จึงทำได้เพียงรั้งไว้ก่อน
หัวหน้าพ่อบ้านยืนอยู่หน้าประตู โบกมือส่งสัญญาณให้เด็กไปหาทังเหอ
ทังเหอเป็นที่ปรึกษาและนักวางแผนส่วนตัวของท่านอ๋องเย่ มีเพียงเขาคนเดียวที่จะสามารถขัดขวางท่านอ๋องเย่ไว้ได้
ไม่นานทังเหอก็เดินทางมาถึง ทังเหอเองก็เพิ่งรู้เรื่องที่หนานกงเย่บาดเจ็บอาการสาหัส เขาเองออกไปก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่อง บวกกับแม่ของเขาพึ่งเสียชีวิต ท่านอ๋องจึงไม่ได้บอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับเขา พอทราบเรื่อง เขาก็ร้อนใจดั่งไฟเผา เดินเข้าประตูมาก็เห็นหนานกงเย่ที่บาดแผลเต็มตัว เลือดไหลไม่หยุด ไม่สนใจเจ้านายคนใช้ รีบเข้าไปขวางเขาไว้ทันที
“ท่านอ๋อง ท่านยังไม่หายดี จะออกไปได้ยังไง?”
“เสด็จพี่โดนยาพิษ ข้าจะไม่ไปได้ยังไง?”
จริงๆ แล้วหนานกงเย่ยังมีเรื่องอื่นอีกด้วย ตั้งแต่ผู้หญิงคนนั้นจากไป ในใจของเขาก็เป็นกังวลไม่หยุด จนไม่เป็นอันจะพักผ่อนเลย
ข่าวคราวภายในวังเงียบสนิท นอกจากเข้าวังแล้วเขาก็ไม่มีวิธีอื่นอีก
“ท่านอ๋อง ถึงแม้จะไปตอนนี้ ก็เข้าวังไปไม่ได้ เพราะตอนนี้ประตูวังปิดและลงกลอนใหญ่แล้ว กระหม่อมเพิ่งให้คนไปดูข่าวคราว แต่เข้าไปไม่ได้แล้ว”
หนานกงเย่หันหน้าไปทางอื่น ดวงตาลุ่มลึก : “ประตูวังปิดรึ?”
“พ่ะย่ะค่ะ” ทังเหอพยักหน้าเบาๆ หนานกงเย่ค่อยๆ หมุนตัวกลับมา เลือดบนร่างกายหยดลงพื้นไม่หยุด
หัวหน้าพ่อบ้านร้อนใจจนเหงื่อตก แต่ไม่สามารถทำอะไรได้
หนานกงเย่พูดขึ้นน้ำเสียงเรียบเฉย : “ตอนนี้เกิดเรื่องขึ้นกับฝ่าบาท ทรงมีรับสั่งให้ข้าเข้าเฝ้าโดยด่วน แต่ตอนนี้กลับปิดประตูวัง แบบนี้ เป็นเพราะสงสัยในตัวข้ารึ?”
**********************