ข้อมือของคามิลล์สั่นเล็กน้อยแล้วหอกเงินก็หายไปในอากาศ
“ข้าจะปล่อยให้คนอื่นมาทำลายของเล่นชิ้นโปรดของข้าได้อย่างไรล่ะ?” รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นที่มุมปากของคามิลล์แล้วเขาก็เหลือบมองเตียงที่ยุ่งเหยิงของชีอ้าวชวาง
คามิลล์ยืนนิ่งเงียบอยู่สักพักจากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าด้วยใบหน้าจริงจังและเริ่มเก็บข้าวของบนเตียงให้ชีอ้าวชวาง…
ในเวลานี้ ชีอ้าวชวางรู้สึกเพียงว่าท้องฟ้าหมุนไปรอบๆ และพื้นที่ทั้งหมดก็มืดจนนางไม่รู้สึกอะไร
“จิ๊บๆ!”
“ฮู่ๆ!”
เสียงที่คุ้นเคยทั้งสองทำให้ชีอ้าวชวางสงบลงเล็กน้อยแล้วยื่นมือออกไปจับอุ้งเท้าเล็กๆ ทั้งสองไว้ในมือโดยไม่รู้ตัว
ในที่สุดก็มีแสงนวลๆ อยู่ข้างหน้า แล้วมันก็สว่างขึ้นเรื่อยๆ
ชีอ้าวชวางเพิ่งเดินออกมาจากที่สว่าง และในที่สุดก็ตระหนักได้ว่าที่ใต้เท้าของนางมันคือแผ่นดิน! ก่อนที่จะได้เห็นว่าสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร นางก็รู้สึกว่าสัมผัสในมือดูแปลกไป
ชีอ้าวชวางบีบมือทั้งสองข้างจากนั้นขมวดคิ้วและก้มลงไปมองที่มือของนาง แล้วก็ได้รู้ว่านางกำลังจับมือขนาดใหญ่อยู่
ชีอ้าวชวางเงยหน้าขึ้นมองไปทางซ้ายก็พบกับชายที่มีผมเหมือนหิมะ ดวงตาเหมือนดวงจันทร์ คนที่มีรอยยิ้มงดงามบนใบหน้าที่บอบบางไร้ที่ติของเขา
นี่คือไป๋ตี้ในร่างมนุษย์!
จากนั้นชีอ้าวชวางก็มองไปทางขวาอีก แล้วก็พบกับชายที่มีผมเหมือนน้ำหมึกดวงตาเหมือนดวงดาว คนที่มีรอยยิ้มชั่วร้ายที่มุมปากของเขา ในตอนนี้เขากำลังมองมาที่ชีอ้าวชวางอยู่
นี่คือเฮยหยู่ในร่างมนุษย์!
ในตอนนี้มือข้างหนึ่งของพวกเขาก็จับมือของนางเอาไว้แน่น!
ชีอ้าวชวางรีบดึงมือของนางออกด้วยความประหลาดใจ “พวกเจ้าทำไมพวกเจ้าถึงอยู่ในร่างมนุษย์ได้ล่ะ?”
“เพราะที่นี่คือโลกพิเศษ” ไป๋ตี้พูดเบาๆ ในขณะมองไปรอบๆ
“หึๆ สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยพลัง ฮ่า…” เฮยหยู่ยืดเอวของเขาและเหลือบตาคู่สวยของเขามองอย่างสบายๆ “ถ้าข้ายังไม่ขยับอีกกระดูกก็คงขึ้นสนิมแล้ว”
“ที่นี่คือที่ไหน?” ชีอ้าวชวางมองไปรอบๆ และถามด้วยความประหลาดใจ
อากาศโดยรอบสดชื่นกว่าปกติ ด้านหน้าเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจี ภูเขามีลักษณะที่เป็นสันเขา ดอกไม้มีกลิ่นหอมมากแ ละหญ้าก็สูงถึงครึ่งหนึ่งของตัวคน
“โลกแห่งความวุ่นวาย” ไป๋ตี๋มองขึ้นไปบนฟ้า “ดูสิ!”
โลกแห่งความวุ่นวาย? ชีอ้าวชวางเงยหน้าขึ้นมองไปตามทิศทางที่ไป๋ตี้ชี้ก็ตกตะลึง บนท้องฟ้าครึ่งหนึ่งมีดวงอาทิตย์ อีกครึ่งหนึ่งมีดวงจันทร์สว่าง อีกทั้งโลกนี้ดูเหมือนจะถูกแบ่งออกเป็นสองซีกโลก คือโลกที่สว่างไสวอยู่ด้านหนึ่ง และอีกด้านหนึ่งคือโลกที่มืดมิด
“ที่นี่มีทั้งกลางวันและกลางคืนอยู่รวมกัน” เฮยหยู่ยิ้มชั่วร้าย เขาก้มลงกระซิบที่ข้างหูของชีอ้าวชวาง “โลกนี้มีอยู่ทุกเผ่าพันธุ์ และสถานที่แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยพลัง ดังนั้นพวกเราจึงคืนร่างมนุษย์ได้ แต่ที่นี่อันตรายมาก เจ้าจะต้องอยู่ข้างๆ ข้า และต้องระวังอย่าให้ปีศาจกินเข้าล่ะ” เฮยหยู่หัวเราะเบาๆ แล้วพ่นลมหายใจร้อนๆ ใส่หูชีอ้าวชวาง ทันใดนั้นเขาก็โน้มตัวเข้ามาใกล้และจะจูบใบหูของชีอ้าวชวาง ชีอ้าวชวางไม่ได้สังเกตสิ่งที่เฮยหยู่จะทำ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไป๋ตี้จะไม่เห็น
ไป๋ตี้มองเหมือนไม่แยแส แต่ยกนิ้วขึ้นสะบัดเบาๆ จากนั้นสายฟ้าขนาดเล็กก็พุ่งเข้าใส่หัวของเฮยหยู่ทันที
การโจมตีที่ไม่คาดคิดทำให้เฮยหยู่ถูกโจมตีเข้าอย่างจัง พลันมีกลิ่นไหม้ลอยมาจากผมสีเข้มของเขาด้วย
เฮยหยู่กระตุกมุมปากและกำลังจะโจมตี
“เจ้าอยากจะดึงดูดความสนใจจากผู้อื่นหรือ?” ไป๋ตี้พูดอย่างเย็นชา
เฮยหยู่มองไปที่ชีอ้าวชวางและระงับความโกรธในใจเอาไว้ได้ หากต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งในโลกนี้ แม้ในตอนที่พวกเขาอยู่ในตอนที่แข็งแกร่งที่สุดก็แทบแย่เหมือนกัน คงจะดีกว่าถ้ารีบออกจากที่นี่ทันทีที่ช่วยชีอ้าวชวางให้ได้รับแก่นแท้ของไฟตามที่คามิลล์บอก เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เฮยหยู่ก็ขมวดคิ้วและถามอย่างจริงจัง “อ้าวชวาง คามิลล์เป็นใครกันแน่?” ชีอ้าวชวางถึงกับผงะ โลกนี้เป็นสถานที่แบบไหนกันแน่นะ? นางถึงได้เห็นความแข็งแกร่งของไป๋ตี้และเฮยหยู่ในร่างมนุษย์ได้ แต่ตอนนี้พวกเขาคืนร่างมนุษย์แล้วยังต้องระมัดระวังขนาดนี้เลย สิ่งมีชีวิตในโลกนี้แข็งแกร่งมากเลยหรือ? โลกแห่งความวุ่นวาย? ทำไมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยล่ะ?
หลังจากได้ยินคำถามของเฮยหยู่ ไป๋ตี้ก็หันหน้าไปมองชีอ้าวชวาง ดวงตาของเขาดูสง่างามเช่นกัน คามิลล์บอกว่าหอกเงินนั้นคือกุญแจสำคัญในการเปิดมิติและมีประโยชน์มาก ตัวตนของเขาคืออะไรกันแน่?!
ชีอ้าวชวางก็ขมวดคิ้วและพูดอย่างเคร่งขรึม “ข้า ข้าก็ไม่รู้ ตอนแรกเขาเป็นเพียงแค่นักวิชาการ และเขาก็เป็นคนที่เหนือกว่านักวิชาการอันดับหนึ่งในเมืองหลวง ต่อมาข้าได้รู้ว่าเขาเป็นนักฆ่า แถมยังเป็นนักฆ่าที่ทรงพลังมากด้วย”
“เรื่องนี้พวกเราก็รู้” เฮยหยู่ตอบรับอย่างไม่พอใจ “หมอนี่ดูเหมือนจะแข็งแกร่งมากเลยนะ มันน่าหงุดหงิดจริงๆ” เฮยหยู่กลอกตาและพึมพำ
“เราไปเอาแก่นแท้ของไฟแล้วกลับไปถามเขาตรงๆ ดีกว่า” ไป๋ตี้พูดรวบรัด “รีบหาแก่นแท้ของไฟแล้วกลับไปกันเถอะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เราจะอยู่นานๆ ได้หรอก” ไป๋ตี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ถ้าเป็นตอนที่พวกเขามีพลังเต็มที่ก็คงดี แต่นี่นอกจากพวกเขาจะไม่ได้มีพลังเต็มที่แล้วมีชีอ้าวชวางมาด้วยอีก ถ้าเกิดปัญหาขึ้นจะถอยออกไปยาก
“เด็กคนนั้นทำให้ข้ารู้สึกอึดอัดมาก” เฮยหยู่พูดอย่างไม่พอใจ
ชีอ้าวชวางเงียบ ในหัวเอานึกถึงภาพสุดท้ายก่อนที่จะมาโลกนี้ ภาพที่ตาของคามิลล์เปลี่ยนสี เดิมทีตาของคามิลล์เป็นสีฟ้า แต่เมื่อครู่กลับเป็นสีดำเป็นสีดำข้างหนึ่งและอีกข้างเป็นสีแดง เขาเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาจริงๆ หรือ?
“ไปกันเถอะ อ้าวชวาง เราต้องรีบไปที่หุบเขาลึกทางทิศตะวันตกโดยเร็วที่สุด คามิลล์บอกว่าแก่นแท้ของไฟอยู่ที่นั่น” ไป๋ตี้เร่งด้วยเสียงนุ่มลึก
“อื้ม” ชีอ้าวชวางพยักหน้าและกำลังจะก้าวไป แต่เสียงที่อ่อนโยนก็ดังขึ้นในความคิดของชีอ้าวชวาง “ท่านแม่!”
“ดอกบัวสีทอง?!” ชีอ้าวชวางหยุดนิ่งด้วยความประหลาดใจ
“ที่นี่คือที่ใดกัน? เหตุใดจึงมีพลังอยู่ทุกหนทุกแห่งเลย ฮ่าๆ ช่างเป็นสถานที่ที่ดีมาก ข้าแปลงร่างที่นี่ได้เลยนะ!” ดอกบัวสีทองตื่นขึ้นมา หลังจากที่เขาพูดประโยคนี้จบ ตรงหน้าของพวกเขาทั้งสามคนก็ปรากฏร่างของเด็กที่งดงามราวกับแกะสลักจากหยก เด็กน้อยอายุประมาณสามสี่ขวบ ดวงตาของเขามีสีดำดุจอัญมณี ผมสีทอง คิ้วสีทอง และเสื้อผ้าทั้งหมดของเขาก็เป็นสีทอง ทำให้เขาดูสง่างามและสูงส่งมาก จากนั้นเขาก็ยื่นฝ่ามืออ้วนๆ ออกมาคว้าที่ชายเสื้อของชีอ้าวชวาง
“ท่านแม่ อุ้มๆ” เด็กน้อยยิ้มสดใส
“ดอกบัวสีทอง?” ชีอ้าวชวางเรียกอย่างไม่แน่ใจ เสียงพูดนั้นกับภาพนี้…ดูไม่เข้ากันเลย น้ำเสียงและความคิดแก่แดดของดอกบัวสีทองทำให้นางคิดว่าอย่างน้อยเขาก็น่าจะเป็นวัยรุ่น แต่ตอนนี้กลับเป็นเด็กน่ารักเนื้อนุ่มๆ ที่ปรากฏตัวขึ้น
“ท่านแม่ ข้าเอง นี่ข้าเอง อุ้มข้าหน่อยสิ” ดอกบัวสีทองยิ้มแล้วกางแขนออก
“เจ้าเด็กเจ้าชู้” วินาทีต่อมาร่างเล็กๆ ของดอกบัวสีทองก็ถูกเฮยหยู่ดึงขึ้นมาอย่างไม่ไยดี “หัดเจ้าชู้แต่เล็กแต่น้อยเลยหรือ!”
“พูดอะไรไร้สาระ! ข้า…” ดอกบัวสีทองหน้าแดงและตะคอกอย่างเย็นชาก่อนที่จะพูดต่อไป
“ปล่อยสามีข้านะ!”
ห๊ะ? ทุกคนจ้องไปที่เด็กหญิงตัวเล็กๆ ในชุดขาวที่ปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขา เด็กหญิงที่อายุน่าจะไม่เกินห้าขวบแต่งกายด้วยชุดสีขาวราวกับหิมะกำลังมองเฮยหยู่ด้วยตาโตๆ ที่เต็มไปด้วยความโกรธ และริมฝีปากแดงก่ำของนางก็กำลังเบ้ปากเ ป็นเด็กที่งดงามที่สุดคนหนึ่งเลย
สามี? เฮยหยู่จ้องไปที่เด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันนั้น จากนั้นก็หันไปมองดอกบัวสีทองที่ถูกเขาอุ้มอยู่ เมื่อครู่ดอกบัวสีทองยังคงโอ้อวดความสามารถอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับก้มหน้าก้มตาแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้มีอยู่
“สามี? นี่หรือ?” เฮยหยู่อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ เด็กๆ แก่แดดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย คนหนึ่งรู้จักที่จะเอาเปรียบ อีกคนก็มาเรียกคนอื่นมาสามีเนี่ยนะ?
“พูดแปลกๆ สามีของข้า ถ้าไม่ใช่เขาจะให้เป็นเจ้าหรือ?” เด็กหญิงตัวเล็กกำหมัดแน่นและยกขึ้นอย่างโกรธๆ
เฮยหยู่เงียบไปเลย “…”
“หินหมึกแก้วหลากสี?” ชีอ้าวชวางเคยเห็นสาวน้อยคนนี้ นางเป็นสมบัติที่ขังพวกเขาเอาไว้ในเมืองทะเลทราย แต่สุดท้ายมันก็เปลี่ยนมือกลายเป็นสมบัติของตนเอง
“สวัสดีค่ะแม่สามี…” ใครจะรู้ว่าเด็กหญิงตัวน้อยจะก้มหัวให้กับชีอ้าวชวางอย่างมีมารยาท
เอ่อ…ทุกคนนิ่งค้างไปเลย
ชีอ้าวชวางนิ่งอึ้ง ส่วนมุมปากของเฮยหยู่ยังคงกระตุกอยู่ แม้กระทั่งใบหน้านิ่งของไป๋ตี้ก็กระตุกเล็กน้อยเช่นกัน
สวัสดี…แม่สามี…
ทันใดนั้นชีอ้าวชวางก็รู้สึกว่าจิตใจตกต่ำลงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้ควรจะเรียกตนเองว่าเจ้านายนะ?
“อย่ามาเรียกมั่วๆ ข้า ข้ายังไม่ได้ตกลงว่าจะแต่งงานกับเจ้าเลย” ดอกบัวสีทองพูดพร้อมกับสูดอากาศเย็นเข้าจมูกแล้วเชิดหน้า
“แค่ข้าตกลงว่าจะแต่งงานกับเจ้าก็พอแล้วนี่” เด็กหญิงตัวเล็กๆ ในชุดสีขาวยิ้มกว้างเห็นฟันขาวดูน่ารัก
เฮยหยู่ปล่อยมือออกจากดอกบัวสีทองที่ยังคงตะลึงอยู่ ทำให้เขาไม่ทันตั้งตัวแล้วตกลงพื้น เขาร้องออกมาแล้วถูก้น พอเด็กหญิงเห็นดังนั้นก็อยากจะเข้าไปช่วย
ดอกบัวสีทองเดินวนรอบคนทั้งสามด้วยความตกใจและสาวน้อยก็เดินตามเขาไปต้อยๆ คนหนึ่งหลบ อีกคนไล่ตาม
“ดูเหมือนว่าในโลกนี้จะไม่ได้มีเพียงแต่เราที่ฟื้นฟูร่างมนุษย์ได้เท่านั้น แต่พวกเขาก็ทำได้ด้วยเช่นกัน” ไป๋ตี้พูดอย่างเคร่งขรึม
“ก็คงจะเป็นเช่นนั้นแหละ” เฮยหยู่ก้มลงมองดูเด็กน้อยทั้งสองที่เดินวนไปรอบๆ พวกเขาพลางกระตุกมุมปากอย่างเห็นด้วย
“ท่านแม่ ข้าไปก่อนแล้ว ข้าทนนางไม่ไหว” พอดอกบัวสีทองพูดจบ แสงสีทองก็สว่างวาบขึ้นแล้วเขาก็หายไป
“ท่านแม่สามี หินหมึกแก้วก็ขอลาไปก่อนเช่นกันค่ะ” เด็กหญิงตัวเล็กๆ กระทืบเท้าอย่างเร่งรีบแล้วก็หายตัวไป
ชีอ้าวชวางกลืนน้ำลายมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วอดถอนหายใจไม่ได้ โลกนี้มันช่างวุ่นวายจริงๆ…
“เอาละ รีบไปกันเถอะ” ไป๋ตี้ขมวดคิ้ว
“อื้ม” ชีอ้าวชวางพยักหน้า จากนั้นทั้งสามคนจึงรีบเดินไปทางทิศตะวันตก
สถานที่ที่พวกเขาอยู่ตอนนี้เป็นเนินเขา บริเวณนั้นเต็มไปด้วยหญ้าสีเขียวสูงเท่าครึ่งตัวคน เวลานี้ลมพัดหญ้าสีเขียวปลิวไปกับสายลม เฮยหยู่เดินอยู่ด้านหน้าแล้วดึงหญ้าสีเขียวที่หนาแน่นเพื่อเปิดทางเดินไปข้างหน้า ด้านล่างเนินเขาเป็นป่าทึบ เมื่อผ่านป่าไปจะเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขา หุบเขาลึกที่อยู่ทางตะวันตกก็คือจุดหมายปลายทางของพวกเขา