วันรุ่งขึ้น ข่าวคราวที่แพร่งพรายออกมามีใจความว่าการพิจารณาตัดสินของราชเลขากรมโยธาได้บทสรุปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยฮ่องเต้ทรงตัดสินให้ผู้กระทำผิดได้รับบทลงโทษประหารชีวิตเมื่อฤดูใบไม้ร่วงมาเยือน ทว่าการตัดสินคดีความของหลี่จิ้งเสียนกลับถูกชะงักเอาไว้ก่อน
หลินหลันอดกังวลใจขึ้นมาไม่ได้ เดิมทีคิดว่าอีกไม่นานทุกอย่างจะคลี่คลายได้แล้ว การหยุดชะงักไว้เช่นนี้ ไม่อาจรู้ได้เลยว่าต้องรอไปอีกนานเพียงใด ที่ทำให้หลินหลันรู้สึกอึดอัดใจอย่างยิ่งคือ เมื่อวานนี้เฉียวอวิ๋นซียังเอ่ยด้วยความมั่นอกมั่นใจว่าข่าวนี้เชื่อถือได้ นั่นจึงหมายความว่าฮ่องเต้ได้ไตร่ตรองทะลุปรุโปร่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เหตุใดถึงมาเปลี่ยนใจกะทันหันไปได้
หลังครุ่นคิดไปครุ่นคิดมา ท้ายที่สุดหลินหลันจึงตัดสินใจไปพบเฉียวอวิ๋นซี
จิ้งปั๋วโหว์เอาชนะพวกทิเบตได้และกำลังยกกองทัพกลับมาราชสำนักในเร็วๆ นี้ เฉียวอวิ๋นซีจึงมีความสุขเป็นพิเศษ ส่งผลให้สีหน้าดูสดใสผุดผ่องและงดงามดึงดูดสายตายิ่งขึ้น
หรงเอ๋อร์ในวัยแปดเดือน ผิวขาวจ้ำม่ำน่ารักน่าเอ็นดูอย่างยิ่ง ด้วยความที่ไม่ชอบให้แม่นมคอยอุ้ม จึงคลานอยู่บนเตียงเตาเป็นส่วนใหญ่ เขาผงกศีรษะขึ้นมายิ้มให้ผู้คนเป็นระยะๆ ทันทีที่ฉีกยิ้มก็จะตามด้วยน้ำลายไหลเยิ้มลงมา ลักษณะของเด็กน้อยช่างชวนให้ผู้พบเห็นเอ็นดูอย่างยิ่ง
“น่าแปลกจริง เด็กน้อยนี่พอเห็นเจ้าก็ยิ้มออกมาทันที อาจเพราะรู้ว่าเจ้าเป็นผู้มีพระคุณของเขากระมัง” เฉียวอวิ๋นซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“นั่นสิเจ้าคะ ท่านหมอหลินก็แวะเวียนมาบ่อยสักหน่อย คุณชายน้อยก็เสมือนญาติมิตรของท่านแหละเจ้าค่ะ” ฟางฮุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลินหลันหยอกล้อเด็กน้อยพลางเอ่ยขึ้น “แน่นอนอยู่แล้ว หรงเอ๋อร์ของพวกเราฉลาดเฉลียวเสียยิ่งกระไร!”
แม่ฟางหัวเราะก่อนกล่าวด้วยสีหน้าเบิกบาน “แต่ก็จริงนะเจ้าคะ คุณชายน้อยเป็นเด็กที่ฉลาดเฉลียวมากที่สุดเท่าที่บ่าวเคยพบเจอมาก็ว่าได้เจ้าค่ะ ท่านพูดอะไรกับเขา เขาเป็นอันเข้าใจได้ทั้งหมด แล้วยังว่านอนสอนง่ายอีกด้วยเจ้าค่ะ หลายวันก่อนทางสำนักพระราชวังส่งน้ำผึ้งดอกท้อสดใหม่มาให้ คุณชายน้อยเอามากอดไว้ ผู้ใดขอก็ไม่ยินยอมปล่อยให้ทั้งนั้น แต่พอบ่าวเอ่ยว่าสิ่งนี้เก็บไว้ให้ท่านแม่ของเขา ท่านลองเดาดูสิเจ้าคะว่าเป็นเช่นไร คุณชายน้อยหัวเราะคิกคักแล้วยอมปล่อยมือแต่โดยดีเลยเจ้าค่ะ”
“ช่างฉลาดหลักแหลมเสียจริงนะ! มา ให้น้าอุ้มหน่อยสิ” ยิ่งหลินหลันแสดงท่าทีหลงใหลได้ปลื้มในตัวเขา หรงเอ๋อร์จึงปรบมือยกใหญ่ หลังจากนั้นเด็กน้อยผู้นี้ก็คลานเข้ามาอย่างคล่องแคล่วแล้วซบลงที่เรือนร่างของหลินหลัน
เมื่อทุกคนเห็นดังกล่าวจึงพากันส่งเสียงหัวเราะ หลังหยอกเย้าอยู่สักพัก เฉียวอวิ๋นซีจึงเรียกแม่นมให้อุ้มหรงเอ๋อร์ออกไปเล่นอย่างอื่นด้านนอกเพื่อจะได้พูดคุยเรื่องทางการกับหลินหลัน
“บอกตามตรง ข่าวคราวนั่น พระชายาขององค์ชายสามได้ยินมาจากฮองเฮา ซึ่งฮ่องเต้มีพระประสงค์พิจารณาจัดการตระกูลหลี่อย่างใจกว้างจริงๆ จากคำบอกกล่าวเป็นเพราะความโปรดปรานที่มีต่อบัณฑิตหลี่ เพียงแต่วันนี้ไม่รู้ด้วยเหตุใดถึงเปลี่ยนแปลงกะทันหันไปได้” เฉียวอวิ๋นซีรู้สึกอึดอัดใจเช่นกัน
หลินหลันขมวดคิ้วเล็กน้อย “ความนึกคิดของฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ยากเกินจะคาดเดาได้! หากฮ่องเต้คิดว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องตรวจสอบใหม่อีกครั้งจึงไม่เร่งรีบ คงเกรงว่าจะมีผู้ใดไปพูดอะไรต่อหน้าพระองค์เข้าแล้วกระมัง ฮ่องเต้ถึงได้เปลี่ยนพระทัยกะทันหัน”
เฉียวอวิ๋นซีครุ่นคิดอย่างหนักก่อนกล่าวขึ้น “ข้าจะลองไปสืบเสาะดูอีกที ไว้ลองถามดูว่าเมื่อวานนี้มีผู้ใดเข้าเฝ้าฮ่องเต้หรือไม่”
เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง พวกนางจำเป็นต้องรู้ให้ได้ว่าด้วยเหตุอันใดฮ่องเต้ถึงเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจอย่างกะทันหัน พวกนางถึงจะกำหนดเป้าหมายได้ชัดเจนได้
“รบกวนท่านด้วย” หลินหลันกล่าวอย่างเกรงใจ
เฉียวอวิ๋นซีชำเลืองมองนาง “รบกวนอันใดกันเล่า เห็นข้าเป็นคนอื่นคนไกลหรือไรกัน น่าเสียดายที่โหว์เหยียยังไม่กลับมา มิเช่นนั้น โหว์เหยียคงช่วยพูดอันใดต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ได้บ้าง”
เฉียวอวิ๋นซีจัดการเรื่องราวได้อย่างรวดเร็วฉับไว นางได้รับข่าวสารมาในคืนเดียวกันนั้นจึงส่งฟางฮุ่ยมาบอกกล่าวหลินหลัน โดยมีใจความว่าเมื่อวานนี้หลังฮ่องเต้เสร็จสิ้นราชกิจแล้วก็ไม่ได้พบขุนนางชั้นผู้ใหญ่ท่านใดอื่น มีเพียงไปเข้าเฝ้าไท่โฮ่วในพระราชวังเท่านั้น
มีบางคำพูดบอกกล่าวอย่างตรงไปตรงมาเกินไปไม่ได้ หลินหลันเข้าใจสิ่งที่เฉียวอวิ๋นซีกำลังบอกกล่าวนาง ซึ่งก็คือ ปัญหาอาจอยู่ที่ตัวไท่โฮ่วนั่นเอง ส่วนที่ว่าไท่โฮ่วพูดคุยสิ่งใดกับฮ่องเต้ จะเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษต่อตระกูลหลี่ นางไม่อาจรับรู้ได้ในยามนี้
หลินหลันเคยได้ยินเผยจื่อชิ่งเอ่ยว่า อู่หยางจวิ้นจู่ได้รับความโปรดปรานจากไท่โฮ่วเป็นอย่างยิ่ง และยังเคยช่วยขอความเมตตาให้ตระกูลหลี่ต่อหน้าไท่โฮ่วอีกด้วย ว่ากันตามหลักเหตุและผล ไท่โฮ่วไม่น่าจงใจทำให้ตระกูลหลี่ตกที่นั่งลำบาก อย่างไรก็ตาม จิตใจคนเรานั้นยากจะคาดเดาได้ โดยเฉพาะความนึกคิดของผู้ชรา หลินหลันจึงจำเป็นต้องไปพบเผยจื่อชิ่งอีกครั้ง และเอ่ยเพียงว่าช่วยขอร้องให้อู่หยางช่วยเหลือหน่อย โดยการให้นางไปหยั่งเชิงความนึกคิดของไท่โฮ่วผู้นั้นให้อีกสักครั้งได้หรือไม่
หลังเผยจื่อชิ่งตกปากรับคำ จึงเรียกคนให้เตรียมเกี้ยวเพื่อมุ่งไปยังจวนอู่หยางจวิ้นจู่ทันที
อู่หยางได้ยินว่าเป็นหลินหลันร้องขอให้นางช่วยเหลือ จึงเอ่ยขึ้นโดยไม่ลังเลใจ “เดี๋ยวข้าจะเข้าไปในวังเดี๋ยวนี้ละ”
แม้จะตกปากรับคำแล้ว ทว่าอู่หยางกลับไม่มีความมั่นใจเช่นกัน ตามจริง หลังตระกูลหลี่เกิดเรื่องขึ้น นางก็ช่วยพูดขอความเห็นใจให้ตะกูลหลี่ทางอ้อมแล้ว ปรากฏว่าไท่โฮ่วกลับหยอกล้อนางว่า หลี่หมิงอวินมิใช่หลานเขยของนางเสียหน่อย แล้วไยนางต้องเป็นเดือดเป็นร้อนไปด้วยหรือ
ตอนนั้นนางยังพูดโดยอาศัยเหตุและผล ซึ่งนางก็แค่พูดไปตามความเป็นจริงเท่านั้น ทว่าไท่โฮ่วกลับเอาแต่เผยรอยยิ้มโดยไม่เอื้อนเอ่ยใดๆ สีหน้าของไท่โฮ่วในยามนั้น ทำให้อู่หยางมีความรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างบอกไม่ถูก อาจเพราะนางไม่อาจคาดเดานัยที่แอบแฝงภายใต้รอยยิ้มของไท่โฮ่วได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
“ไท่โฮ่ว เหตุใดระยะนี้ท่านถึงไม่ให้อู่หยางเข้าเฝ้าเลยเพคะ อู่หยางรู้สึกไม่สบายใจเอาเสียเลย หรือว่าไท่โฮ่วไม่โปรดปรานอู่หยางแล้วเพคะ” อู่หยางออดอ้อนไท่โฮ่วทันทีที่เข้ามาพบ
ไท่โฮ่วมองดูนางพร้อมรอยยิ้มเบิกบาน “เราแค่เกรงว่าเจ้าจะอึดอัดเมื่อต้องอยู่เป็นเพื่อนหญิงชราอย่างเราทั้งวันมากกว่า”
“ไท่โฮ่วเพคะ…” อู่หยางกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “อู่หยางอยากมาเข้าเฝ้าไท่โฮ่วทุกวันเลยต่างหากเพคะ ท่านแม่เอาแต่บ่นหม่อมฉันตลอดทั้งวัน บ่นจนหม่อมฉันปวดหัวไปหมดแล้วเพคะ ก็มีแต่ไท่โฮ่วที่ไม่บ่นอู่หยาง ไท่โฮ่วยังเกรงว่าอู่หยางจะอึดอัดใจอีกหรือเพคะ หลายวันมานี้อู่หยางไม่รู้จะพูดคุยกับใคร นี่ต่างหากเพคะถึงทำให้อึดอัดใจ! อึดอัดจนแทบจะหายใจหายคอไม่ออกแล้วเพคะ”
ไท่โฮ่วตรัสด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “ก็มีแต่เจ้าที่รู้จักพูดเอาอกเอาใจเราให้มีความสุขไปได้”
อู่หยางเข้าไปคลุกคลีอยู่ข้างกายไท่โฮ่ว พูดคุยกับไท่โฮ่วถึงเรื่องราวทั่วไปในบ้านก่อนจะหาโอกาสเปลี่ยนไปเข้าประเด็นเกี่ยวกับราชเลขาแห่งกรมโยธา
“อู่หยางได้ยินว่าใต้เท้าหยางราชเลขากรมโยธาถูกตัดสินให้ได้รับโทษประหารชีวิตในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะตัดสินคดีความของใต้เท้าหลี่ราชเลขากรมคลังอย่างไรหรือเพคะ”
ไท่โฮ่วหรี่ตาลงเล็กน้อยและตรัสด้วยรอยยิ้มจาง “นั่นเป็นเรื่องของกรมยุติธรรม ทั้งหมดก็ดำเนินไปตามตัวบทกฎหมายที่ระบุไว้นั่นละ”
“ใต้เท้าหลี่สมควรได้รับโทษ เพียงแต่อู่หยางคิดว่าบัณฑิตหลี่ต้องติดร่างแหไปด้วยเพราะการกระทำของบิดาเขา นั่นช่างเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยเพคะ บัณฑิตหลี่เป็นผู้มีพรสวรรค์และความสามารถอันพบเจอได้ยากยิ่งของราชวงศ์เราเชียวนะเพคะ!” อู่หยางกล่าวด้วยสีหน้าหดหู่
ไท่โฮ่วหรี่ตามองดูอู่หยางอย่างมีนัยยะเป็นอื่น “อู่หยาง เจ้าพูดความจริงกับเรามา เจ้าช่วยพูดให้บัณฑิตหลี่หลุดพ้นจากปัญหาในครานี้ครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นความประสงค์เจ้าเองหรือได้รับการไหว้วานจากผู้ใดมาหรือไม่”
อู่หยางตกตะลึงไปชั่วขณะหนึ่ง “แน่นอนว่าเป็นความประสงค์ของอู่หยางเองเพคะ อู่หยางคิดว่าจริงๆ แล้วหากบัณฑิตหลี่ต้องได้รับโทษด้วยเหตุนี้ จะเป็นความเสียหายของราชวงศ์เราไปเปล่าๆ เพคะ”
ไท่โฮ่วตรัสเชิงหยอกล้อ “แต่ไหนแต่ไรมามิเคยได้ยินเจ้ากล่าวชื่นชมผู้ใด บัณฑิตหลี่ผู้นี้คงเข้าตาเจ้าแล้วสินะ?”
อู่หยางกล่าวด้วยท่าทีเคอะเขิน “ในราชสำนักของเรา ดูเหมือนผู้ที่อุปนิสัยดีงามและมีความสามารถโดดเด่นเกินผู้อื่นใดเฉกเช่นบัณฑิตหลี่ก็มิได้มีอยู่มากมายเช่นกันนี่เพคะ!”
ไท่โฮ่วหัวเราะร่าก่อนตรัสขึ้น “พูดได้ไม่เลวเลย บัณฑิตหลี่เป็นผู้มีพรสวรรค์และความสามารถที่พบเห็นได้ยากจริงๆ นั่นละ เพียงแต่น่าเสียดายที่เขามีภรรยาแล้ว มิเช่นนั้นก็คงคู่ควรกับเจ้า”
“ไท่โฮ่วเพคะ…เหตุใดท่านถึงหยอกล้ออู่หยางอีกแล้วเพคะ” อู่หยางรู้สึกลำบากใจอย่างยิ่ง
ไท่โฮ่วนิ่งเงียบ รอยยิ้มเบิกบานกลับค่อยๆ จางหายไป นัยน์ตาปรากฏความจริงจังเคลือบไว้อย่างเด่นชัดขณะตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “อู่หยาง หากเราจับบัณฑิตหลี่มาเป็นคู่ครองเจ้า เจ้าจักยินยอมหรือไม่”
อู่หยางตกตะลึง “ไท่โฮ่วเพคะ ท่านล้อกันเล่นใช่หรือไม่เพคะ บัณฑิตหลี่แต่งงานมีภรรยาแล้วนะเพคะ”
ไท่โฮ่วตรัส “เรื่องเหล่านี้เจ้ามิต้องสนใจไป เจ้าสนใจเพียงเพียงบอกเรามาว่าเจ้ายินยอมหรือไม่”
เมื่อเห็นดูสีหน้าจริงจังของไท่โฮ่ว อู่หยางถึงเป็นอันตระหนักได้ว่าไท่โฮ่วไม่ได้กำลังล้อเล่นแต่อย่างใด ถ้าหาก มีคำว่าถ้าหากนี้จริงๆ เช่นนั้น นางคิดว่านางก็คงยินยอมกระมัง! ทว่า บนโลกนี้ไม่มีคำว่าถ้าหาก คู่สามีภรรยาบัณฑิตหลี่ครองรักกับหมอหลินอย่างลึกซึ้ง ต่อให้นางแทรกเข้าไประหว่างกลางแล้วมันดีอย่างไรหรือ
อู่หยางกล่าวอย่างจริงจัง “ไท่โฮ่วเพคะ อู่หยางเรียนพระองค์จากใจจริง บัณฑิตหลี่เป็นคนดีมาก ทว่าคนที่เขารักคือภรรยาของเขา อู่หยางไม่ยินยอมแต่งให้กับสามีที่มิได้รักตนเองเพคะ”
ไท่โฮ่วพยักหน้า ตามด้วยถอนหายใจออกมาเบาๆ “เด็กน้อย เรารู้ว่าเจ้ามีความทะนงตนมาแต่ไหนแต่ไร เพียงแต่ ดั่งที่เจ้ากล่าวไว้ บัณฑิตหลี่เป็นผู้มีพรสวรรค์และความสามารถอย่างที่ราชสำนักเราไม่อาจพบเจอได้มากนัก ตอนแรกที่บรรดาผู้อาวุโสในราชสำนักเห็นกระดาษข้อสอบในยามที่เขาเข้าร่วมการสอบเตี้ยนสื่อก็เคยกล่าวไว้ว่าคนผู้นี้มีพรสรรค์อันยอดเยี่ยม ขนาดที่ว่าเป็นเสาหลักให้แก่ราชสำนักเราได้ เขาเข้าดำรงตำแหน่งเพียงปีเดียว จัดการเรื่องราวต่างๆ อย่างอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ทว่าด้วยความเจิดจรัสในตัวเขาที่เปล่งประกายออกมา ไม่เพียงแค่ฮ่องเต้ทอดพระเนตรเห็น บรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักต่างก็ชื่นชมเขา ยามนี้องค์ชายสี่เอาชนะศึกการสู้รบได้ คงต้องมีอำนาจใหญ่โตขึ้นอย่างแน่นอน อีกทั้งเต๋อเฟยก็เป็นพระสนมที่ฮ่องเต้โปรดปรานมากที่สุด เราจะบอกเจ้าเป็นนัยๆ เลยแล้วกัน หากไม่ใช่มีเราคอยควบคุมอยู่ ฐานะขององค์รัชทายาทพี่ชายเจ้า ไม่ช้าก็เร็วคงเป็นอันต้องถูกช่วงชิงไป”
อู่หยางใจเต้นระรัวด้วยความตื่นตกใจ ไท่โฮ่วไม่เคยพูดคุยถึงประเด็นที่จริงจังเหล่านี้กับนางมาก่อน
ไท่โฮ่วกล่าวขึ้นอีกครั้ง “เราชรามากแล้ว ได้แต่นับเวลาถอยหลังลงไปทุกวัน เราเกรงก็แต่ว่าหากวันใดที่เราลาจากโลกนี้ไปแล้ว ท่านป้าเจ้าคงไม่อาจต่อกรเต๋อเฟยได้ พี่ชายเจ้ายิ่งไม่อาจต่อกรองค์ชายสี่เข้าไปใหญ่ หากถึงเวลานั้นขึ้นมาจริง ตำแหน่งของตระกูลฉินเราก็คงเป็นการยากที่จะรักษาเอาไว้ได้ อู่หยาง เราในฐานะสตรีของตระกูลฉิน ในเมื่อวงศ์ตระกูลได้ให้เกียรติอันสูงสุดแก่เรา เราก็มีหน้าที่จักต้องรักษามันไว้ให้วงศ์ตระกูลเราเช่นกัน”
อู่หยางตกอยู่ในภวังค์แห่งการครุ่นคิดอย่างหนัก ขณะเดียวกันภายในใจก็เต็มไปด้วยความสับสน นางเข้าใจสิ่งที่ไท่โฮ่วเอื้อนเอ่ยทั้งหมด ผู้เป็นป้าอภิเษกสมรสเป็นฮองเฮาของฮ่องเต้ พี่สาวของนางเป็นพระชายาขององค์รัชทายาท นางคิดว่าภาระอันหนังอึ้งเหล่านี้มีหนึ่งคนแบกรับไว้ก็คงเพียงพอแล้ว คงไม่ตกมาถึงนางไปได้ นางคงใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระ มีความรักและได้แต่งงานตามที่ตนเองต้องการ ใครจะรู้ว่าชะตาชีวิตของนางก็ไม่อาจรอดพ้นเรื่องราวเหล่านี้ไปได้เช่นกัน
“อู่หยาง เราไม่กล้าเอ่ยว่าการมีความช่วยเหลือของบัณฑิตหลี่ องค์รัชทายาทพี่ชายเจ้าก็จะคลายความกังวลไปได้อย่างสูง แต่หากข้างกายองค์รัชทายาทพี่ชายเจ้ามีคนผู้นี้ผู้เดียว ก็คงช่วยเบาแรงเขาไปได้อย่างมากแน่นอน แต่หากบัณฑิตหลี่มีใจเอนเอียงไปทางองค์ชายสี่ เช่นนี้คงไม่ดีต่อพี่ชายเจ้าอย่างยิ่ง ดังนั้นหากครอบครองคนผู้นี้ไว้ไม่ได้ เราคงจำเป็นต้องตัดสินใจเด็ดขาดโดยการกำจัดเขาทิ้งให้สิ้นซาก” นัยน์ตาไท่โฮ่วฉายความเยือกเย็นไว้เด่นชัด
อู่หยางรู้สึกประหนึ่งถูกค้อนทุบลงมาอย่างแรง ความหมายของไท่โฮ่วคือ นางจะใช้โอกาสนี้บีบบังคับบัณฑิตหลี่ให้เลือกข้าง หากบัณฑิตหลี่ตกลงเป็นผู้ช่วยองค์รัชทายาท เช่นนั้นไท่โฮ่วจะให้นางแต่งกับบัณฑิตหลี่ เพื่อเป็นเครื่องมือในการผูกพันทางใจ จะได้ง่ายต่อการทำให้บัณฑิตหลี่ยอมศิโรราบ หากบัณฑิตหลี่ไม่ปฏิบัติตามประสงค์ของไท่โฮ่ว เช่นนั้น ชะตาชีวิตของบัณฑิตหลี่ก็คงตกอยู่ในอันตราย! นางไม่เคยคาดคิดเลยว่าเรื่องราวจะดำเนินมาถึงขั้นร้ายแรงเช่นนี้ เกี่ยวโยงไปถึงการต่อสู้ของแต่ละฝ่ายภายในราชสำนักไปได้
อู่หยางเกิดความสับสนจนทำอะไรไม่ถูก นางเลือกที่จะลองเกลี้ยกล่อมไท่โฮ่ว “ทว่า…ไท่โฮ่วเพคะ หากท่านต้องการให้บัณฑิตหลี่เป็นผู้ช่วยองค์รัชทายาท ก็ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องให้อู่หยางแต่งกับเขามิใช่หรือเพคะ หากท่านบีบบังคับโดยการพรากคู่สามีภรรยาให้แยกจากกัน เกรงว่าจะทำให้บัณฑิตหลี่เกิดความโกรธเคืองเอาได้นะเพคะ…”
ไท่โฮ่วแสยะยิ้มมุมปาก “เขาเป็นคนฉลาดผู้หนึ่ง ว่ากันตามตรงก็คือเจ้าเล่ห์เสียมากกว่า หากเราไม่ใช้วิธีการเหล่านี้แล้วจะทำให้เขายอมศิโรราบได้อย่างไรกัน เจ้าวางใจเถิด เรารู้ดีว่าต้องจัดการอย่างไร”
“ทว่า…”
ดวงตาของไท่โฮ่วลุกวาวขึ้นฉับพลัน ตรัสด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “อู่หยาง หากตอนนี้เจ้าไม่ยินยอม เช่นนั้นเราจะจัดการเขาทันที”
การข่มขู่ของไท่โฮ่วทำให้อู่หยางกลืนคำพูดที่ติดอยู่บนริมฝีปากกลับลงไป
นางรู้ดีว่าไท่โฮ่วกล้าทำในสิ่งที่พูดออกมา แม้จะเห็นว่าปกติแล้วไท่โฮ่วเป็นผู้ที่ดูมีจิตใจเมตตา แต่เมื่อดุดันขึ้นมาจริงๆ แล้วก็ใช้วิธีการเด็ดขาดและรุนแรงได้โดยไม่ลังเลใจ ภายในใจอู่หยางรู้สึกเศร้าสลด นางไม่คิดจะยินยอมเลยจริงๆ ทว่านางจะทำอันใดได้หรือ