อู่หยางหายเงียบหลังเข้าไปในพระราชวัง ตอนแรกเผยจื่อชิ่งยังกล่าวว่าอู่หยางคงแค่อยู่เป็นเพื่อนไท่โฮ่วไม่กี่วันกระมัง แต่นี่ก็ล่วงเลยไปเจ็ดแปดวันแล้ว อู่หยางยังคงไม่ออกมาเสียที และไม่ส่งข่าวคราวให้นางเลยสักนิด เผยจื่อชิ่งถึงรู้สึกได้ว่าเรื่องราวมันชักไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว
ทางด้านฮ่องเต้นั้น ระยะนี้หนังสือที่ร้องขอความเมตตาให้แด่ตระกูลหลี่ล้วนถูกปฏิเสธกลับมาทั้งหมด มหาบัณฑิตเผยเอ่ยถึงเรื่องนี้ขณะอยู่ในราชสำนัก เพิ่งเริ่มเกริ่นนำก็ถูกฮ่องเต้เอ่ยขัดเพียงประโยคเดียวที่ว่า “เรื่องนี้เอาไว้ก่อน”
ทางด้านห้องขังกรมยุติธรรม แม้ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าเยี่ยม แต่ก่อนหน้านี้เยี่ยเต๋อฮ๋วยยังพอไหว้วานคนให้สืบถามข่าวคราวของหมิงอวินให้พอได้รับรู้ว่าเขาเป็นเช่นไรบ้าง ทว่ายามนี้กลับไม่ได้รับข่าวคราวอันใดเลย ต่อมาภายหลังถึงมีข่าวคราวจากวงในเผยออกมาว่าหมิงอวินไม่ได้อยู่ในห้องขังของกรมยุติธรรมแล้ว
เฉินจื่ออวี้วิ่งเต้นไปทั่วอยู่ทุกวัน แต่กลับไม่ได้ความคืบหน้าใดๆ กลับมา กระทั่งใต้เท้าเผยยังเอ่ยว่าเรื่องนี้เอาไว้ให้ผ่านไปอีกสักระยะค่อยพูดคุยกันอีกทีน่าจะดีกว่า
แต่ละสัญญาณแสดงถึงแนวโน้มสถานการณ์ที่ผิดปกติ ทว่าทุกคนต่างคาดเดาไม่ออกว่ามันเกิดปัญหาในส่วนใดแล้วกันแน่
นายท่านเยี่ยที่สงบนิ่งอย่างยิ่งมาโดยตลอดถึงกับนั่งไม่ติด หลินหลันนับวันยิ่งกระวนกระวายไม่เป็นสุข นับตั้งแต่ข้ามกาลเวลามายังโลกนี้ นางไม่เคยรู้สึกมืดแปดด้านได้เสมือนหลายวันนี้มาก่อน ไม่รู้ว่าปมของปัญหามันอยู่ที่ใด ไม่รู้ว่าควรช่วยเหลือหมิงอวินอย่างไร
อู่หยางที่กำลังถูกกักบริเวณอยู่ในพระราชวังก็ร้อนรนใจไม่แพ้กัน นางไม่รู้ว่าลำดับต่อไปไท่โฮ่วจะทำอะไร นางจะข่มขู่หลี่หมิงอวินหรือว่าจะบีบบังคับหมอหลิน ด้วยประโยคเดียวของไท่โฮ่วที่ว่าต้องรับผิดชอบต่อวงศ์ตระกูล ทำให้นางน้ำท่วมปาก แต่นางจะไม่ทำอะไรเลยจริงๆ หรือ หากนางเชื่อฟังตามแผนการของไท่โฮ่ว เช่นนั้นนางยังจะมีหน้าไปพบเผยจื่อชิ่งได้อีกหรือ เผยจื่อชิ่งคงต้องเหยียดหยามนางอย่างแน่นอน แล้วในภายภาคหน้านางจะเผชิญหน้ากับบุรุษที่ไม่ได้รักใคร่ตนเองอย่างไรหรือ
อู่หยางรอคอยเป็นเวลาหลายวัน ในที่สุดวันที่นางจาง พระชายาองค์ชายสามเข้าวังมาคารวะไท่โฮ่วก็มาถึง อู่หยางรู้ดีว่านางจางกับเผยจื่อชิ่งมีความสนิทสนมกันเป็นส่วนตัว นางจึงถือโอกาสขณะที่นางจางพูดคุยกับไท่โฮ่วรีบเขียนข้อความลงในกระดาษขนาดเล็ก ทว่าจะให้นางจางช่วยส่งสารให้ก็เกรงว่านางจางจะไม่ช่วยเหลือ อู่หยางรู้สึกสับสนอย่างยิ่ง ทันใดนั้นนางมองเห็นผงแป้งกุหลาบหอมตลับหนึ่งบนโต๊ะเครื่องแป้ง จึงนึกบางอย่างขึ้นมาได้
รอกระทั่งนางจางออกมาหลังจากพบปะไท่โฮ่วเป็นที่เรียบร้อย อู่หยางรีบเดินเข้าไปต้อนรับแล้วเอ่ยเรียกด้วยเสียงหวาน “พระชายาองค์ชายสามเจ้าคะ…”
นางจางเห็นว่าเป็นอู่หยางจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใครๆ ก็ว่าเจ้าอยู่ในวัง ข้ายังคิดอยู่ว่าเหตุใดถึงไม่เห็นเจ้าบ้างเลย ที่แท้เจ้ามาอยู่ตรงนี้นี่เอง”
อู่หยางหัวเราะคิกคักแล้วเอ่ย “อู่หยางเพียงแค่เกรงว่าจะรบกวนการสนทนาของพระชายากับไท่โฮ่วเจ้าค่ะ”
นางจางเผยรอยยิ้มขณะเม้มปากเล็กน้อยแล้วกล่าว “เจ้าเปลี่ยนมารู้งานปานนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน แม่เฉาก็เดินออกมาจ้องมองอู่หยางอย่างจับผิด
อู่หยางหยิบตลับแป้งผงหอมออกมาหนึ่งตลับแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ครั้งก่อนท่านพี่จื่อชิ่งเอ่ยว่าผงแป้งกุหลาบหอมที่ทำจากสูตรลับนี้ใช้ดีเป็นอย่างยิ่ง พอดีว่าหลายวันก่อนฮองเฮาทรงประทานให้ข้าไว้หนึ่งตลับ ข้าเลยตักแบ่งให้นางครึ่งหนึ่ง รบกวนพระราชายาช่วยนำไปให้ท่านพี่จื่อชิ่งทีนะเจ้าคะ”
นางจางกล่าว “เรื่องเล็กน้อย ส่งมาให้ข้าสิ!”
ดวงตาของแม่เฉาจับจ้องไปยังตลับแป้งผงที่อยู่ในมืออู่หยางไม่วางตา อู่หยางจึงฉีกยิ้มอ่อนหวานขึ้นแล้วเอ่ย “แม่เฉา ท่านต้องการตรวจสอบหรือไม่”
แม่เฉาไม่เกรงใจเช่นกัน นางเดินเข้าไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เอื้อมมืออกไปรับแล้วเปิดออก นอกจากนั้นยังใช้นิ้วมือเขี่ยด้านใน เมื่อไม่พบสิ่งแปลกปลอมใดๆ จึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ผงแป้งกุหลาบหอมของปีนี้เนื้อเนียนละเอียดเป็นพิเศษ กลิ่นก็หอมกำลังดีด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ” นางเอ่ยพลางยื่นส่งคืนอู่หยาง
อู่หยางไม่แสดงสีหน้าอาการใดๆ นางรับตลับแป้งผงดังกล่าวจากมือซ้ายแล้วย้ายไปมือขวา ก่อนส่งให้นางจาง “เช่นนั้นก็รบกวนพระชายาด้วยนะเจ้าคะ”
นางจางเป็นผู้ฉลาดหลักแหลมผู้หนึ่งเช่นกัน เมื่อได้ยินบทสนทนาที่แม่เฉาพูดคุยกับอู่หยางก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ ดีทีแม่เฉาตรวจสอบด้วยตนเองแล้ว ต่อให้มีปัญหาอันใดก็มากล่าวโทษนางไปไม่ได้ นางเผยรอยยิ้มเล็กน้อยแล้วรับตลับแป้งผงกุหลาบเอาไว้ก่อนกล่าวขึ้น ”เรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่าได้เกรงใจกันไปเลย”
หลังส่งนางจางเดินจากไปแล้ว อู่หยางลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ดีที่นางเตรียมไว้สองชุด มิเช่นนั้นคงไม่หลุดรอดสายตาแม่เฉาไปได้อย่างแน่นอน
นางจางนำตลับแป้งผงกุหลาบส่งให้สาวใช้หลังออกจากวัง แล้วสั่งการให้นางนำไปส่งที่จวนมหาบัณฑิตเผย
เผยจื่อชิ่งได้รับตลับแป้งผงกุหลายของอู่หยางจึงเกิดประหลาดใจ อู่หยางเข้าไปในวังนานถึงสิบกว่าวันแล้ว ยามนี้ดันส่งตลับแป้งผงกุหลาบมาให้ หรือว่าจะเป็นการส่งข่าวคราวอันใดมาให้นาง?
เผยจื่อชิ่งครุ่นคิดชั่วขณะก่อนตัดสินใจนำผ้าออกมาปูบนโต๊ะ แล้วนำผงแป้งกุหลาบในตลับเทออกมา ทันใดนั้นปรากฏกระดาษขนาดย่อมที่พับเอาไว้อย่างดิบดีแผ่นหนึ่งหล่นลงมา เผยจื่อชิ่งเปิดมันดู ตามด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปฉับพลัน “รั่วเอ๋อร์ รีบเตรียมรถม้าเร็วเข้า” นางกล่าวทันที
เผยจื่อชิ่งเดินทางมาถึงหุยชุนถางด้วยความเร่งรีบ หลินหลันออกไปต้อนรับนางก่อนพาเข้าไปยังห้องรับแขกที่ตกแต่งไว้อย่างหรูหรา
“มีข่าวคราวอันใดแล้วใช่หรือไม่” นี่เป็นประโยคเดียวที่หลินหลันเอ่ยถามทันทีที่ได้พบปะผู้คนในระยะนี้ จนแทบกลายเป็นวลีติดปากก็ว่าได้
เผยจื่อชิ่งพยักหน้าด้วยสีหน้าอันแสดงให้เห็นถึงความกังวล แล้วหยิบกระดาษออกมา “นี่เป็นสิ่งที่อู่หยางให้คนนำออกมาจากในวังวันนี้ เจ้าลองดูสิ”
“เรื่องราวเกี่ยวข้องกับการแบ่งพรรคแบ่งพวก เกรงว่าจะถูกบังคับแต่งงาน” หลินหลันคลี่กระดาษขนาดเล็กออกแล้วอ่านมันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
ความสงสัยที่สร้างความหนักอกหนักใจในหลายวันมานี้ในที่สุดก็คลายลงเสียที ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง องค์รัชทายาทและองค์ชายสี่ต่างเคยหาทางดึงตัวหมิงอวินให้ไปอยู่ฝ่ายตน ทว่าล้วนถูกหมิงอวินบ่ายเบี่ยงอยู่ร่ำไป หมิงอวินไม่อยากเข้าไปสู่การต่อสู่เพื่อช่วงชิงตำแหน่งของบรรดาองค์ชาย เขาอยากเป็นเพียงขุนนางบริสุทธิ์ผู้หนึ่งเท่านั้น ตั้งแต่องค์ชายสี่ได้เลื่อนตำแหน่ง ทางด้านองค์รัชทายาทนั่นจึงเริ่มเร่งทำผลงาน คาดไม่ถึงว่าครานี้จะมีคนถือโอกาสขณะที่หมิงอวินตกที่นั่งลำบาก คิดบีบบังคับหมิงอวินให้เลือกข้าง แต่ที่ระบุว่า เกรงจะถูกบังคับแต่งงานนี่มันหมายความว่าอันใดหรือ บังคับหมิงอวินแต่งงานกับผู้ใดกัน
“ข้าเดาว่า ไท่โฮ่วคงคิดบีบบังคับบัณฑิตหลี่ให้แต่งงานกับอู่หยาง” เผยจื่อชิ่งเอ่ยการคาดเดาภายในใจออกมา
“เจ้าลองคิดดูสิ หากครั้งนี้เป็นการขัดขวางโดยไท่โฮ่วจริง จุดมุ่งหมายของไท่โฮ่วนับว่าเป็นอะไรที่มองออกได้ง่ายดายมาก องค์ชายสี่เอาชนะการศึกที่ผิงหนานได้ คงต้องทำให้เขามีอำนาจแข็งแกร่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งไปกว่านั้นคือเต๋อเฟยเหนียงเหนียงไม่ลงรอยกับฮองเฮา อำนาจที่แข็งแกร่งขององค์ชายสี่จะกลายเป็นภัยคุกคามที่สร้างความระส่ำระสายให้แก่ฐานะองค์รัชทายผู้สืบทอดบัลลังก์อย่างเห็นได้ชัด จึงไม่อาจรับประกันได้ว่าไท่โฮ่วจะใช้วิธีการพระราชทานการอภิเสกสมรสเพื่อนำมาบีบบังคับให้บัณฑิตหลี่ต้องยืนฝั่งองค์รัชทายาท”
หลินหลันแสยะยิ้ม “ไท่โฮ่วก็ช่างเห็นคุณค่าในตัวหมิงอวินเกินไปเสียแล้ว คิดหรือว่าหากมีหมิงอวินแล้วองค์รัชทายาทนั่นจะดำรงตำแหน่งได้อย่างมั่นคงประดุจเขาไท่ซาน”
“ถึงจะไม่ได้พูดออกมาเช่นนี้ เรื่องราวของบัณฑิตหลี่ครานี้ ข้าได้ยินมาว่ากระทั่งเต๋อเฟยเหนียงเหนียงก็ยังเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อพูดคุยด้วยตนเอง ทั่วทั้งราชสำนักวิพากษ์วิจารณ์โดยเข้าข้างบัณฑิตหลี่ทั้งนั้น เรื่องความสามารถของบัณฑิตหลี่คงมิต้องเอ่ยถึง เพราะทุกคนล้วนรู้ดีอยู่เต็มอก ในไม่ช้าก็เร็วบัณฑิตหลี่จะต้องเข้าไปอยู่ในคณะราชเลขาของราชวงศ์ ประเด็นสำคัญคือความมนุษยสัมพันธ์ดีของเขา บิดาข้าเคยวิเคราะห์ไว้ว่า ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายบุ๋นมีความคิดเห็นเอียงซ้าย ทว่าเกี่ยวกับท่าทีของบัณฑิตหลี่กลับผสมผสานโดยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดได้อย่างน่าประหลาด แล้วนี่จะไม่ทำให้ไท่โฮ่วเห็นความสำคัญได้อยู่อีกหรือ ที่ข้าเกรงกลัวยามนี้คือหากบัณฑิตหลี่ไม่ตอบตกลงตามเงื่อนไขของไท่โฮ่ว ผลที่ตามมาคงเป็นอะไรที่ยากเกินจะคาดเดาได้น่ะสิ!” เผยจื่อชิ่งกล่าวด้วยความรู้สึกหดหู่ใจ
หลินหลันก้มหน้าก้มตาไม่เอื้อนเอ่ยใดๆ ภายในใจรู้สึกย่ำแย่จนเกินบรรยาย เหตุใดนางกับหมิงอวินถึงต้องเผชิญอุปสรรคอันยากลำบากมากมายเพียงนี้ด้วย คนสองคนที่รักใคร่กันอยากใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน เหตุใดถึงยากเย็นเพียงนี้ อย่างเรื่องการสร้างสถานการณ์ผลักสตรีนางใดก็ตามขึ้นมาอยู่บนเตียงเพื่อแทรกกลางระหว่างเขาทั้งสอง นางล้วนจัดการได้โดยง่ายดาย ทว่าครั้งนี้แตกต่างออกไป หากเป็นในช่วงเวลาปกติ หมิงอวินคงไม่ลังเลใจที่จะปฏิเสธแน่นอน เจ้าบังคับเขาไปก็ไร้ประโยชน์ วุ่นวายมากนักก็แค่สละตำแหน่งขุนนางไปเสียสิ้นเรื่อง ทางราชวงศ์ก็ไม่กล้าบีบบังคับขุนนางที่สร้างประโยชน์นานาประการให้ต้องเลิกรากับภรรยาที่ถูกต้องเพื่อไปแต่งงานใหม่อีกอย่างแน่นอน ทว่ายามนี้เป็นช่วงเวลาไม่ปกติ ชะตาชีวิตของหมิงอวินอยู่ในกำมือของคนเหล่านั้น ว่ากันตามตรงคือยามนี้หากคนเขาต้องการให้เจ้าตายก็ต้องตาย ตราบใดที่คนเขาต้องการเล่นงาน ล้วนหาข้ออ้างมาได้เสมอ แล้วจะทำอย่างไรดี จะทำอย่างไรดีล่ะ นางรู้สึกมืดแปดด้าน ภายในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกอ่อนล้าเหลือเกิน
เห็นท่าทีของหลินหลันเต็มไปด้วยความเศร้าโศก เผยจื่อชิ่งจึงรู้สึกย่ำแย่อย่างยิ่งเช่นกัน “เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจไป ข้าจะกลับไปปรึกษาหารือกับท่านพ่อเดี๋ยวนี้ละ จะได้ดูว่าพอมีวิธีอันใดพอคลี่คลายสถานการณ์ได้บ้าง”
หลินหลันฝืนฉีกยิ้มด้วยความยากลำบาก พยายามทำให้ตนเองกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา “ข้าไม่เป็นไร ใต้หล้านี้ไม่มีอุปสรรคใดที่ไม่อาจก้าวข้ามไปได้ ข้าเชื่อเช่นนั้น…”
หลังเดินออกไปส่งเผยจื่อชิ่งกลับไปเป็นที่เรียบร้อย หลินหลันไปยังร้านผ้าไหมตระกูลเยี่ยฝั่งตรงข้ามทันที ทว่าผู้เป็นลุงไม่อยู่ที่ร้าน หลินหลันจึงรีบมุ่งไปยังบ้านตระกูลเยี่ย
“อะไรนะ? ที่แท้เป็นไท่โฮ่วแทรกแซงเข้ามานี่เอง แล้วยังคิดบีบบังคับเรื่องแต่งงานอีกหรือ แย่แล้วๆ แย่แล้วๆ…” เยี่ยเต๋อฮ๋วยดีดตัวลุกขึ้นยืนทันทีหลังได้ยินคำพูดของหลินหลัน เขาส่งเสียงบ่นพึมพำ คิ้วเข้มขมวดแน่นระหว่างเดินมือไพล่หลังวกไปวนมาไม่หยุด
นางหวังยิ่งเห็นดังกล่าวยิ่งรู้สึกร้อนรนใจ “เหล่าเหยีย ท่านต้องรีบคิดหาวิธีนะเจ้าคะ”
นางฉีกล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว “ช่างน่ารังเกียจเกินไปแล้ว เป็นถึงราชวงศ์ แต่กลับทำเรื่องต่ำทรามเช่นนี้ออกมาได้?”
นางหวังกล่าวด้วยความกังวล “น้องสะใภ้ ประโยคนี้เจ้าอย่าได้เที่ยวพูดไปเรื่อยเปื่อยเชียว หากใครได้ยินมีหวังได้รับโทษฐานไม่ให้ความเคารพเอาได้”
“ถุย! พวกเขามีหน้ากระทำเรื่องเช่นนี้ แล้วไยข้าจะพูดมิได้” นางฉีนิสัยใจร้อนมุทะลุ เมื่อเกิดอารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นมาจึงไม่คำนึงถึงเรื่องที่ว่าต้องให้ความเคารพหรือไม่
นางหวังทอดถอนลมหายใจ “ด้วยนิสัยของหมิงอวิน ให้เขาหย่าร้างกับภรรยาแล้วไปแต่งงานใหม่ เกรงว่าเป็นตายร้ายดีก็คงไม่ตอบตกลงไปได้”
หลินหลันรู้สึกร้อนรนและเจ็บปวดใจอย่างยิ่ง นางกำลังเป็นกังวลในประเด็นนี้อยู่เช่นกัน หากไท่โฮ่วบีบบังคับหมิงอวินให้เลือกข้าง คงไม่เป็นการยากที่จะกระทำตาม ทว่าต้องการให้หมิงอวินหย่าร้างกับนาง หมิงอวินคงไม่ตอบตกลงอย่างแน่นอน
“เฮ้อ! เจ้าเลิกเดินวกไปวนมาได้แล้ว เดินจนข้ามึนหัวไปหมดแล้ว” นางหวังมองเห็นสามียังคงเดินวกไปวนมา ภายในใจยิ่งสับสนวุ่นวาย
เยี่ยเต๋อฮ๋วยหย่อนตัวลงนั่งด้วยความหงุดหงิด “ทั้งๆ ที่คิดไตร่ตรองไว้อย่างแยบยลแล้วแท้ๆ แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีคนถือโอกาสสร้างอุปสรรคนี้ขึ้น เฮ้อ…แล้วนี่จะทำอย่างไรดี”
“ปัญหาคือยามนี้พวกเราติดต่อหมิงอวินไม่ได้ ไม่แน่ว่าหมิงอวินจะมีวิธีอันใดอยู่บ้าง” นางฉีกล่าว
หลินหลันนิ่งเงียบ ระหว่างเดินทางมานี้นางได้คิดไตร่ตรองถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดมาบ้างแล้ว ถ้าหากเรื่องราวดำเนินไปถึงขั้นนั้นจริง นางขอยินยอมแยกจาก แต่ไม่ยินยอมที่จะเห็นหมิงอวินทิ้งชีวิตไปด้วยเรื่องนี้
“อย่าเพิ่งร้อนใจไป ใจเย็นๆ ไว้ ขอเวลาให้ข้าคิดหน่อย” เยี่ยเต๋อฮ๋วยพยายามทำให้ตนเองสงบนิ่งลง ร้อนใจไปก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาได้
เยี่ยเต๋อฮ๋วยครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่งก่อนส่งเสียงตะโกนขึ้น “ใครก็ได้ ไปจวนเฉินแล้วเรียนเชิญคุณชายสามแห่งตระกูลเฉินมาที”
เฉินจื่ออวี้ผู้นี้เจ้าเล่ห์เจ้ากลมากโข ไม่แน่ว่าเขาจะมีวิธีอันใดอยู่บ้าง ถึงอย่างไรช่วยกันคิดหลายๆ คนก็ดีกว่าคนคิดเดียวละนะ!
ไม่นานนักเฉินจื่ออวี้ก็มาถึง หลังได้รับฟังคำบอกเล่าจากท่านลุง เฉินจื่ออวี้ก็เป็นอันอยู่ไม่สุขขึ้นมาเช่นกัน “อะไรนะขอรับ บังคับแต่งงาน? นี่มันไร้เหตุผลสิ้นดี ไท่โฮ่วกระทำเช่นนี้ ไม่เกรงว่าจะตกเป็นขี้ปากของผู้อื่นเลยหรือไรกัน” เขากล่าวด้วยความหงุดหงิด
หลินหลันกล่าวทันควัน “ตอนนี้ยังคงเป็นเพียงการคาดเดา ไม่อาจฟันธงได้ แต่ที่ฟันธงได้คือไท่โฮ่วอยากให้หมิงอวินยอมตายเลือกยืนข้างองค์รัชทายาท”
“จื่ออวี้ เจ้าคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้” เยี่ยเต๋อฮ๋วยเอ่ยถาม
เฉินจื่ออวี้สงบสติอารมณ์ เขาครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าคิดว่าเรื่องนี้ยังไม่ถึงขั้นไม่อาจทำอันใดได้ขอรับ จากการคาดเดาของข้า ฮ่องเต้คงเข้าใจความนึกคิดของไท่โฮ่วอยู่เช่นกัน ในฐานะฮ่องเต้ เขาคงไม่คาดหวังให้ขุนนางที่เขาโปรดปรานไปจงรักภักดีต่อผู้อื่นอย่างแน่นอน ต่อให้คนผู้นั้นเป็นผู้ที่เขาวางตัวให้เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้น ภายในใจฮ่องเต้สรุปแล้วเอนเอียงไปทางองค์รัชทายาทหรือองค์ชายสี่ก็ยังไม่อาจระบุได้ ฮ่องเต้ระงับเรื่องนี้ไว้ บางทีอาจกำลังรอโอกาสอยู่เป็นได้”
“โอกาส? โอกาสอันใดหรือ”เยี่ยเต๋อฮ๋วยงุนงง
เฉินจื่ออวี้กล่าวด้วยความมั่นอกมั่นใจ “โอกาสที่จะให้ความเมตตาต่อเขาได้อย่างสมเหตุสมผล ฮ่องเต้กระทำการคัดค้านความประสงค์ของไท่โฮ่วอย่างเปิดเผยไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยให้เป็นไปตามประสงค์ของไท่โฮ่วนี่ขอรับ”
หลินหลันคิดว่าที่เฉินจื่ออวี้กล่าวมานั้นมีเหตุมีผลอย่างยิ่ง ฮ่องเต้ไม่ใช่คนโง่เขลา มีหรือจะปล่อยให้ผู้อื่นทำตามอำเภอใจ ปัญหาคือ โอกาสที่ว่านี้จะคว้ามาได้อย่างไรกัน