เยี่ยเต๋อฮ๋วยพยักหน้าอย่างมีความนึกคิดบางอย่าง หลังจากนั้นจึงกล่าวขึ้นด้วยความลังเลใจ “เช่นนั้นเจ้าคิดว่ายามนี้พวกเราควรทำอย่างไรหรือ คงมิได้หมายความว่าจะรอคอยกันอยู่เช่นนี้กระมัง”
เฉินจื่ออวี้ขมวดคิ้ว “แน่นอนว่าพวกเราจะนั่งรอให้ไท่โฮ่วสร้างความลำบากฝ่ายเดียวมิได้ ดูจากสถานการณ์ในปัจจุบัน อย่าเพิ่งกระทำการผลีผลามอันใดจะเป็นการดีกว่า เพื่อสถานการณ์จะได้ไม่ผกผันไปมากกว่านี้ แต่พวกเราก็ไม่อาจทำเป็นหูหนวกตาบอดไม่รู้ไม่เห็นใดๆ ได้เช่นกัน ท่านลุง ท่านมีช่องทางในพระราชวัง เรื่องสืบเสาะเรื่องราวเชิงลึกในพระราชวังคงต้องรบกวนท่านแล้วขอรับ”
เยี่ยเต๋อฮ๋วยกล่าวด้วยความพึงพอใจ “ไม่มีปัญหา เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง”
เฉินจื่ออวี้หันไปกล่าวกับหลินหลัน “ทางด้านฝ่ายตรวจการขุนนางนั่นก็จะละเลยมิได้เช่นกัน พี่สะใภ้ ท่านไปขอให้ใต้เท้าติงช่วยจับตามองไว้หน่อยก็ดี ส่วนที่เหลือให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง ไท่โฮ่วคิดจะใช้เล่ห์เหลี่ยมปิดบังสิ่งที่เป็นความผิดมหันต์ มันไม่ง่ายดายเพียงนั้นหรอก”
หลินหลันกล่าว “ตกลง เราแยกย้ายกันไปจัดการเรื่องราว มีความคืบหน้าอันใดก็ติดต่อกันได้ทุกเมื่อ”
แม้ว่ายามนี้ยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจน แต่มีความช่วยเหลือจากทุกคน หลินหลันจึงรู้สึกมั่นใจขึ้นมาเล็กน้อย เรื่องราวขึ้นอยู่กับการกระทำ ต่อให้ผลสุดท้ายอาจไม่เป็นดังใจปรารถนา อย่างน้อยๆ นางก็ได้พยายามอย่างถึงที่สุดแล้วเช่นกัน
หลินหลันไปพบติงหลั้วเหยียนทันทีที่กลับถึงบ้านหลังน้อย ไม่ว่าอย่างไรติงหลั้วเหยียนก็ยังเป็นบุตรสาวของตระกูลติง ต่อให้ติงฮูหยินจะโกรธเคืองแต่ก็คงไม่อาจทอดทิ้งบุตรสาวไม่สนใจไยดีไปได้
ติงหลั้วเหยียนมีความนึกคิดเช่นนี้มาแต่แรกเช่นกัน เพียงแต่เพื่อพยายามทำให้บิดามารดาเห็นว่านางยืนหยัดได้ด้วยตนเองจึงกลั้นใจไม่ไปพบมารดา ยามนี้หลังได้ฟังหลินหลันแจกแจงสถานการณ์ให้ฟัง ถึงได้รู้ว่าสถานการณ์มันรุนแรงเพียงใด นางจึงไม่สนใจเรื่องรักษาหน้าอันใดอีก นางเลือกที่จะกลับไปตระกูลติงในคืนวันนั้นทันที
หลินหลันสงบสติอารมณ์และครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน เหตุผลที่ไท่โฮ่วบีบบังคับให้หมิงอวินหย่าร้างกับภรรยาที่ชอบธรรมแล้วไปแต่งงานใหม่ ประการแรกคืออยากอาศัยการแต่งงานเป็นตัวผูกมัดหมิงอวิน ประการที่สอง ไท่โฮ่วคงคิดว่าภูมิหลังนางซึ่งเป็นเพียงสาวชนบทผู้ต่ำต้อย คงขจัดให้พ้นทางไปได้ไม่ยาก ไม่ใช่ว่านางไม่อาจมีชื่อเสียงขึ้นมาได้ เพียงแต่ไม่อยากทำให้ตนเองมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาก็เท่านั้น ในเมื่อไท่โฮ่วดูถูกนางเช่นนี้ นางคงต้องทำให้ตนเองผงาดขึ้นมาเพื่อเพิ่มต้นทุนให้ตนเองสักหน่อยเสียแล้ว
หลังตัดสินใจเป็นที่เรียบร้อย หลินหลันเรียกเหวินซานมาพบแล้วสั่งการ “เจ้ารีบไปแจ้งให้ศิษย์พี่หวังและศิษย์พี่โม่ทราบทีว่า ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป หุยชุนถางจะจัดตั้งการตรวจรักษาการกุศลเป็นระยะเวลาครึ่งเดือน ให้ฝูอานแจ้งหมอผู้นั่งห้องตรวจวินิจฉัยทุกท่านว่าในช่วงที่วินิจฉัยผู้ป่วยโดยไม่เก็บเงินข้าจะจ่ายค่าแรงให้เป็นสองเท่า”
หยินหลิ่วกล่าวด้วยความสงสัย “เอ้อร์เส้าหน่ายนาย อยู่ดีๆ เหตุใดพวกเราต้องจัดตั้งการตรวจรักษาการกุศลด้วยล่ะเจ้าคะ ระยะเวลาครึ่งเดือน พวกเราต้องขาดทุนเป็นจำนวนเงินเท่าใดกันเจ้าคะ”
หลินหลันเผยรอยยิ้มจางๆ “เงินถมเถไป ใช้จ่ายเงินเพียงเล็กน้อยเท่านี้แลกกับการได้ชื่อเสียงดีงาม มันคุ้มค่าเสียยิ่งกว่าอะไร”
เหวินซานกลับพอคาดเดาแผนการของนายหญิงสะใภ้รองได้ เขายกสองมือขึ้นคารวะแล้วกล่าว “ข้าน้อยจะรีบไปดำเนินการเดี๋ยวนี้ขอรับ”
ทันใดนั้นดวงตาของหยินหลิ่วเปล่งประกายขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ หรือว่าการที่หุยชุนถางได้รับคำชื่นชมมากยิ่งขึ้น จะช่วยให้เอ้อร์เส้าเหยียได้รับการปล่อยตัวไวขึ้นเจ้าคะ”
หลินหลันฉีกยิ้มอ่อนหวาน “จะว่าเช่นนั้นก็ย่อมได้”
หยินหลิ่วกล่าวด้วยความดีใจ “เช่นนั้น…เอ้อร์เส้าหน่ายนายก็มอบภาระงานให้ข้าน้อยด้วยนะเจ้าคะ”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไว้ถึงตอนนั้นเจ้าอย่ามือพัลวันจนหยิบยาไม่ทันก็เป็นพอ จริงสิ เจ้าช่วยไปเต๋อเหรินถางให้ข้าหน่อยสิ ข้าจำเป็นต้องขอยืมเด็กในร้านเขาที่มีความชำนาญสักสองคน เผื่อจะยุ่งกันจนรับมือไม่ทันน่ะ”
หยินหลิ่วขานรับทันที “ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
หรูอี้กล่าว “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ เช่นนั้นพรุ่งนี้ให้ข้าน้อยกับจิ่นซิ่วไปช่วยอีกแรงเถอะนะเจ้าคะ! ทางด้านเหล่าไท่ไทนั่นมีแม่จู้และอวี๋อี๋เหนียงพวกนางคอยปรนนิบัติอยู่แล้ว ข้าน้อยอยู่บ้านรู้สึกว่างงานจะแย่เจ้าค่ะ”
หลินหลันครุ่นคิดชั่วครู่ “ก็ได้ เช่นนั้นก็ไปด้วยกันนี่ละ!”
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง หยินหลิ่วกลับมาพร้อมคำรายงาน เอ่ยว่าแม่นางฮว๋าเหวินยวนแห่งเต๋อเหรินถางเห็นว่าการตรวจรักษาการกุศลเป็นเรื่องที่ดี เต๋อเหรินถางจึงอยากร่วมมือจัดตั้งการตรวจรักษาการกุศลครานี้กับหุยชุนถางของพวกเราด้วย
หลินหลันกล่าวด้วยความดีใจเมื่อได้ยินดังกล่าว “เช่นนั้นก็เยี่ยมไปเลย”
หยินหลิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฮว๋าเสี่ยวเจี่ยะมาพร้อมกับข้าน้อยด้วยเจ้าค่ะ นางต้องการปรึกษาหารือกับเอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นหรือ เจ้านี่นะ เหตุใดถึงไม่รีบบอกกล่าวข้า ไปเชิญคนเขาเข้ามาเร็วเข้า” หลินหลันกล่าวเชิงตำหนิเบาๆ
วันรุ่งขึ้น หน้าร้านยาหุยชุนถางนำใบประกาศขึ้นปิดประกาศเพื่อเป็นการแจ้งให้ทราบโดยทั่วกัน โต๊ะพร้อมเก้าอี้สิบตัวจัดวางเรียงรายเป็นแนวนอนแถวเดียว ตามด้วยหมอตรวจวินิจฉัยโรคแห่งหุยชุนถางและเต๋อเหรินถางต่างเข้านั่งประจำที่ ไม่ทันไร ชาวบ้านที่ได้รู้ข่าวคราวก็แห่กันมาอย่างรวดเร็วจนหางแถวยาวเหยียด สร้างความอลังการให้สถานการณ์ในยามนั้นอย่างยิ่ง
การตรวจวินิจฉัยโดยไม่เก็บเงินและยังเก็บค่ายาในราคาเพียงครึ่งเดียว สำหรับชาวบ้านที่ลำบากยากจน นี่ถือเป็นเรื่องดีงามอันใหญ่หลวง ทุกคนพากันพูดต่อๆ กัน ส่งผลให้ผู้มาเข้ารับการรักษามีจำนวนมากขึ้นกว่าวันก่อนๆ เรื่องจัดตั้งการตรวจรักษาการกุศลของหุยชุนถางกับเต๋อเหรินถางจึงกลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงในเวลาอันสั้น
เดิมทีหลินหลันก็ขึ้นชื่อว่าเป็นพระโพธิสัตว์อยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งเป็นที่พูดถึงของผู้คนมากมายจนหนาหู ชื่อเสียงของนางจึงกลายเป็นที่เลื่องลือใหญ่โต
ทางด้านเฉินจื่ออวี้นั่นไม่ได้นิ่งนอนใจเช่นกัน ความสามารถที่เป็นจุดแข็งของเขาก็คือการสร้างคำวิพากษ์วิจารณ์นานาประการขึ้นมา ซึ่งในเวลาเดียวกับที่หลินหลันกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อสร้างต้นทุนให้ตนเองด้วยชื่อเสียงอันดีงาม ตระกูลฉินก็ดันเกิดข่าวลือในทิศทางเสื่อมเสียแพร่สะพัดออกมา เริ่มจากบุตรหลานวัยหนุ่มของตระกูลฉินมีเรื่องกันถึงขั้นลงไม้ลงมือเพื่อสตรีนางหนึ่งในหอนางโลมเพราะความหึงหวง ต่อด้วยข้ารับใช้ของตระกูลฉินถือวิสาสะรังแกผู้คน ทะเลาะเบาะแว้งกับข้ารับใช้ของตระกูลเจ้าเมืองท่านหนึ่ง คนของกองลาดตระเวนไปเกลี้ยกล่อมกลับถูกคนคนเขาด่าทอสาดเสียเทเสีย ด้วยการกระทำอันต่ำทรามนี้ บรรดาเจ้าหน้าที่ทางทหารจึงรวมตัวกันต่อต้านจนเกิดการประชาพิจารณ์ตระกูลฉิน คนของฝ่ายตรวจการขุนนางชื่นชอบการเข้าเป็นส่วนร่วมเรื่องร้อนแรงเช่นนี้นัก ตราบใดที่เจ้ามีความผิด ก็หาได้สนใจไม่ว่าตระกูลฉินมีไท่โฮ่วเป็นเจ้าบ้านที่คอยคุ้มกะลาหัวอยู่ ไม่ทันไรตระกูลฉินจึงกลายเป็นที่กล่าวขานในหมู่ผู้คน
จากข่าวคราวที่เยี่ยเต๋อฮ๋วยได้รับรู้ ฮ่องเต้เดือดดาลต่อเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง จึงเรียกฮองเฮามาตำหนิชุดใหญ่
แน่นอนว่าหลินหลันไม่มีทางเชื่อว่าเรื่องราวของตระกูลฉินที่แพร่งพรายออกมาต่อๆ กันเป็นความบังเอิญ นางรู้สึกเลื่อมใสในฝีมือของเฉินจื่ออวี้เป็นอย่างยิ่ง พ่อหนุ่มผู้นี้มีทักษะในการเล่นงานผู้คนได้ไม่เป็นสองรองใครจริงๆ หากผู้ใดหาเรื่องเขาเข้า ผู้นั้นคงได้เป็นอันเผชิญหายนะครั้งใหญ่หลวง
หลายวันมานี้ไท่โฮ่วอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าใดนัก ตระกูลฉินมีอำนาจล้นฟ้า จึงเป็นธรรมดาที่จะตกเป็นเป้าโจมตี นางจึงกำชับบุตรหลานตระกูลฉินมาโดยตลอดว่าต้องเคร่งครัดตามกฎระเบียบ ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนเองให้ดีๆ ยิ่งไปกว่านั้นคือต้องจัดการควบคุมคนใต้บัญชาของตนให้เรียบร้อย ใครจะรู้ว่าเรื่องฉาวกลับแพร่งพรายออกมาต่อๆ กันเป็นขบวน ส่งผลให้ตอนนี้เจ้าหน้าที่ทางทหารของราชสำนักต่างมีข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่อตระกูลฉิน อีกทั้งบรรดาเจ้าหน้าที่ทางทหารยังเข้าข้างองค์ชายสี่ ใครจะรู้ว่าใครบางคนอาจคิดอาศัยประเด็นนี้มากระทำเรื่องที่พวกเขาหวังผลก็เป็นได้
“ร้องไห้ ลำพังร้องไห้แล้วจะช่วยอันใดได้หรือ” ไท่โฮ่วตวัดสายตามองฮองเฮาที่กำลังปาดน้ำตาอยู่ด้านข้าง
ฮองเฮารีบกลั้นเสียงร้องไห้ทันที นางได้แต่สะอึกสะอื้นอย่างเงียบๆ ภายใต้สีหน้าเศร้าเสียใจอย่างยิ่ง ตระกูลมารดาเกิดเรื่องเสื่อมเสียเช่นนี้ นางอับอายขายหน้าไม่เหลือชิ้นดี แล้วยังถูกฮ่องเต้ตำหนิอย่างรุนแรง หลายวันมานี้ ฮ่องเต้ไม่เหยียบเข้ามาในตำหนักของนางเลยด้วยซ้ำ เอาแต่ไปคลุกอยู่กับเต๋อเฟยคนต่ำช้าผู้นั้น
“เรื่องนี้ ฉินจงว่าอย่างไรบ้างหรือ” ไท่โฮ่วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้ม
ฮองเฮาตอบกลับ “พี่ใหญ่เอ่ยว่าเขาจะรีบจัดการเรื่องนี้ให้สงบเงียบโดยเร็วที่สุดเพคะ”
ไท่โฮ่วสบถ ฮึ “ทำเรื่องสงบเงียบ? เขาพูดง่ายดีนี่ ครั้งนี้ตระกูลฉินถือได้ว่าอับอายขายหน้าจนไม่เหลือชิ้นดี ต่อให้ข่าวฉาวสงบลงแล้ว จะรับประกันได้หรือว่าฮ่องเต้จะคลายความไม่พึงพอใจไปได้”
ฮองเฮานิ่งเงียบ ฮ่องเต้ไม่เพียงแค่ไม่พึงพอใจ แต่พระองค์ทรงเดือดดาลอย่างยิ่งเลยต่างหาก
ไท่โฮ่วถอนหายใจก่อนตรัสด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เจ้าไปบอกกล่าวฉินจงว่าช่วยควบคุมบุตรหลานและทาสเหล่านั้นในตระกูลฉินให้ดีๆ หากสร้างปัญหาให้ข้าอีก อย่าโทษว่าข้าไม่ไว้หน้าแล้วกัน”
ฮองเฮาพยักหน้าขานรับ
ไท่โฮ่วยกมือขึ้นโบกมือเป็นสัญญาณให้นางถอยออกไป
ไท่โฮ่วกอบกุมขมับด้วยความรู้สึกกลัดกลุ้ม “แม่เฉา…” นางส่งเสียงเรียก
แม่เฉารีบเข้ามาทันที
“เรื่องราวที่ให้จัดการเรียบร้อยแล้วหรือไม่” ไท่โฮ่วตรัสถามอย่างใจเย็น
แม่เฉาพยักหน้า “ทั้งหมดจัดการไว้เรียบร้อยแล้วเพคะ”
นัยน์ตาของไท่โฮ่วเป็นประกายขึ้น ตรัสด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เจ้าส่งคนไปจับตามองเอาไว้”
“เพคะ!” แม่เฉารับคำสั่งการแล้วถอยออกไป
ภายในห้องขังที่มีเพียงแสงสลัวๆ หลี่หมิงอวินกำลังเอนกายอยู่บนเตียงนอนคับแคบ สองมือสอดประสานหนุนไว้ใต้ศีรษะ คาบก้านหญ้าแห้งไว้ในปาก ดวงตาจับจ้องไปยังเพดานห้องอย่างเหม่อลอย สีหน้าไร้อารมณ์ใดๆ ตามจริงภายในใจเขาไม่ได้สงบเยือกเย็นเฉกเช่นสีหน้าที่แสดงออกมา ตามการคาดเดาก่อนหน้านี้ของเขา อย่างมากคงเป็นระยะเวลาเพียงเดือนกว่าๆ ก็คงหลุดพ้นจากห้องขังไปได้ ทว่ายามนี้ เกือบสองเดือนเข้าไปแล้ว อีกทั้งระหว่างทางยังเปลี่ยนสถานที่กุมขัง การเฝ้าเวรยามก็หนาแน่นยิ่งขึ้นด้วยเช่นกัน เรื่องราวกลับไม่ราบรื่นดังที่คาดการณ์ไว้! น่าเสียดายที่เขาถูกคุมขังไว้ห้องนี้ จึงไม่อาจรับรู้สถานการณ์ภายนอกได้ จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความกระวนกระวายอย่างยิ่ง! หลินหลันคงต้องกระวนกระวายใจหนักยิ่งกว่าเขาเสียอีกกระมัง!
เมื่อนึกถึงหลินหลัน หลี่หมิงอวินจะรู้สึกเสมือนถูกฝ่ามือล่องหนบีบหัวใจเข้าอย่างแรงจนหายใจหายคอไม่สะดวกและรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก
เขาไตร่ตรองความเป็นไปได้นานาประการอีกครั้ง แต่ไม่ปรากฏความเป็นไปได้ใดๆ ที่พอจะประจวบเหมาะเข้ากับสถานการณ์ของเขาในยามนี้ ไม่มีการซักถาม ไม่มีการให้เข้าเยี่ยม มีเพียงการคุมขังอย่างแน่นหนา สรุปแล้วปัญหามันเกิดขึ้นตรงไหนหรือ
เสียงฝีก้าวล่องลอยมาจากด้านนอก ไม่ใช่เพียงผู้เดียวและไม่ใช่ฝีเท้าของผู้ที่คอยคุมขังเขาอยู่เป็นประจำ หัวใจของหลี่หมิงอวินจึงตื่นตัวขึ้น
ได้ยินเพียงเสียงคนปลดกลอนตามมาด้วยประตูห้องขังถูกเปิดออก หลี่หมิงอวินรู้สึกตื่นตกใจทันทีที่มองไปทางด้านข้าง ที่แท้ผู้มาเยือนก็คือเป็นบิดานั่นเอง
“ท่านพ่อ…” หลี่หมิงอวินส่งเสียงเรียกด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืนอย่างใจเย็น
ภายใต้แสงสลัว ในเวลานี้ สีหน้าของบิดาแสดงให้เห็นถึงความห่อเหี่ยว เบ้าตาลึกโบ๋ เรือนร่างเดิมที่ลำตัวยืดตรงองอาจกลับงอลงอย่างคนไร้เรี่ยวแรง ความสง่าผ่าเผยในอดีตมลายหายไปจนหมดสิ้น เบื้องหน้าเขาในเวลานี้เป็นเพียงชายชราผู้หนึ่งที่มีใบหน้าทรุดโทรม
สองพ่อลูกต่างนิ่งเงียบใส่กัน หลังเวลาผ่านไปเนิ่นนานพอตัว หลี่จิ้งเสียนส่งเสียงกระแอมขึ้นแล้วเดินไปหย่อนตัวนั่งลงบนเตียง
หลี่หมิงอวินเกิดความสงสัย นี่เป็นการขังสองคนพ่อลูกให้อยู่ด้วยกันหรือไร ไม่น่าจะใช่กระมัง!
“ท่านพ่อ…”
หลี่จิ้งเสียนยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้เขาหยุดพูดแล้วมองไปยังด้านนอกประตูห้องขังอย่างหวาดระวัง“หมิงอวิน พ่อมาครั้งนี้มีเรื่องต้องพูดคุยกับเจ้า”
หลี่หมิงอวินยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่ หรือว่าบทลงโทษของบิดาเป็นอันกำหนดเรียบร้อยแล้ว ฮ่องเต้จึงมีพระเมตตาให้พวกเขาได้พบเจอกันเป็นครั้งสุดท้าย?
“เชิญท่านพ่อพูดมาได้เลยขอรับ ลูกรอรับฟังอยู่” หลี่หมิงอวินยกสองมือขึ้นคารวะและกล่าวด้วยความเคารพ
หลี่จิ้งเสียนเม้มปาก เขากำลังครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะพูดคำพูดนี้ออกไปอย่างไรดี
“หมิงอวินเอ๋ย! พ่อหน้ามืดตามัวไปชั่วขณะจนเป็นการทำร้ายเจ้า ทำให้เจ้าต้องลำบากไปด้วย…” หลี่จิ้งเสียนกล่าวด้วยความหดหู่
หลี่หมิงอวินนิ่งเงียบ คำพูดเหล่านี้มันไม่มีความหมายใดๆ สำหรับเขา
“พ่อรู้สึกเสียใจยิ่ง! พ่อมันไม่ได้เรื่องจริงๆ ความเพียรพยายามในหลายปีที่ผ่านมากลับพังทลายลงในชั่วพริบตาเดียว ตระกูลหลี่จึงเป็นอันจบสิ้นเช่นนี้ หมิงอวิน หากพ่อยังมีโอกาสอีกครั้ง ตระกูลหลี่ยังมีโอกาสอีกครั้ง เจ้าจะยินยอมช่วยเหลือพ่อสักหนหรือไม่” หลี่จิ้งเสียนจ้องมองหมิงอวินด้วยความคาดหวัง
หลี่หมิงอวินเผยสีหน้าตกตะลึงก่อนกลับสู่ปกติในชั่ววินาทีต่อมา เขาไม่เข้าใจคำพูดของบิดาว่าต้องการสื่ออันใด เรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาหรือจะทำอันใดได้อีก
“เชิญท่านพ่อพูดออกมาตามตรงเถอะขอรับ” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง
“ตอนนี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ช่วยพ่อและช่วยตระกูลหลี่ได้ หมิงอวินเอ๋ย! ฮ่องเต้เห็นคุณค่าความสามารถที่มิได้พบเจอกันได้โดยง่ายของเจ้า จึงยินยอมให้โอกาสพ่อครั้งหนึ่ง และเป็นการให้โอกาสเจ้าด้วยเช่นกัน…” หลี่จิ้งเสียนกล่าวด้วยน้ำเสียงซึ่งแฝงความกระตือรือร้นไว้เล็กน้อย “ขอเพียงเจ้าแต่งงานกับอู่หยางจวิ้นจู่ ปัญหาทั้งหมดจะเป็นอันคลี่คลายได้โดยเรียบร้อย”
หลี่หมิงอวินสะกดกลั้นความโกรธเกรี้ยวที่กำลังปะทุขึ้นภายในใจก่อนเอ่ยถามออกไป “แต่งงานกับอู่หยางจวิ้นจู่ แล้วหลินหลันจะทำอย่างไรหรือขอรับ”
เขาพอจะคาดเดาได้ว่าบิดาคงได้รับคำสั่งการมาและต้องไม่ใช่ฮ่องเต้อย่างแน่นอน อู่หยางจวิ้นจู่เป็นหลานสาวซึ่งเป็นพระญาติของไท่โฮ่ว หากเขาแต่งกับอู่หยาง ก็เท่ากับเลือกข้างยืนหยัดฝ่ายองค์รัชทายาท ที่ฮ่องเต้เห็นเขาเป็นอาวุธสำคัญก็เพราะเขาไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ประเด็นนี้ โดยปกติแล้วฮ่องเต้เคยตรัสออกมาเป็นนัยให้เขารับรู้มาก่อนหน้าเช่นกัน ดังนั้นฮ่องเต้ไม่มีทางบีบบังคับให้เขาเลือกข้างไปได้อย่างแน่นอน เช่นนั้น คงเป็นความประสงค์ของไท่โฮ่วอย่างไม่ต้องสงสัย