“หมิงอวินเอ๋ย! พ่อรู้ว่าเจ้ากับหลินหลันมีความรักลึกซึ้งต่อกัน แต่ด้วยสถานการณ์บีบบังคับในตอนนี้ การที่เจ้าละทิ้งหลินหลัน ช่วยกอบกอบกู้ตระกูลหลี่ได้ ทั้งได้อนาคตอันรุ่งโรจน์ ลองคำนวณดูว่าสิ่งใดสำคัญกว่า เจ้าเองน่าจะเข้าใจดีว่าควรเลือกอย่างไร พ่อเชื่อว่าหลินหลันก็จะเข้าใจด้วยเช่นกัน หากพวกเจ้ารักกันจริงแล้วไยต้องสนใจสถานะนี่ด้วย ขอเพียงนางยินยอมก็ยังอยู่ร่วมกับเจ้าได้ หากนางต้องการจากไป พวกเราก็จะไม่ทำให้นางเสียเปรียบเช่นกัน ต้องการค่าชดเชยเท่าใด พ่อพร้อมตอบตกลงนางทั้งนั้น” หลี่จิ้งเสียนเกลี้ยกล่อมชุดใหญ่ เดิมทีเขาคิดว่าทุกอย่างคงเป็นอันจบสิ้นแล้ว คาดไม่ถึงว่ากลับกลับตาลปัตร ยังมีโอกาสให้เขาได้แก้ตัวเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องคว้าโอกาสเอาไว้ให้ได้
“หมิงอวิน พระเมตตาของฮ่องเต้ พวกเรามิบังอาจคัดค้านพระราชโองการไปได้! เจ้าเป็นผู้กตัญญูรู้คุณมากที่สุด เจ้าจะมองดูพ่อต้องพลัดพรากไปอยู่ถิ่นแดนไกล มองดูตระกูลหลี่ถูกตราหน้าโดยไม่ทำอันใดสักอย่างมิได้กระมัง ชะตาชีวิตของพ่อและชื่อเสียงอันดีงามของตระกูลหลี่คงขึ้นอยู่กับเจ้าแต่เพียงผู้เดียว…”
ความโกรธเกรี้ยวคุกรุ่นขึ้นภายในใจหมิงอวิน นี่จำเป็นต้องหนังหน้าหนาเพียงใด จิตใจไร้ยางอายเพียงใด และเลือดเย็นมากเพียงใด ถึงพูดประโยคเช่นนี้ออกมาได้
“ท่านพ่อ ตอนแรกที่ท่านแต่งงานกับท่านแม่ข้า ก็เพื่อสิ่งนี้สินะขอรับ” หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มซึ่งแฝงไว้ด้วยความเหยียดหยัน มองบิดาที่อยู่ไม่ไกลออกไปอย่างไม่แยแส
หลี่จิ้งเสียนถึงกับชะงัก ใบหน้าเคลือบไว้ด้วยความอับอายแต่ก็เพียงชั่ววูบเดียวเท่านั้น แล้วจึงทำทีแสดงสีหน้าละอายแก่ใจ กล่าวอย่างเศร้าสลด “พ่อพูดอันใดไปเจ้าก็ไม่เชื่ออยู่ดี พ่อกับแม่เจ้ารักกันด้วยหัวใจอย่างแท้จริง…”
ขณะได้ยินคำพูดนี้ หลี่หมิงอวินรู้สึกสะอิดสะเอียนราวกับกินแมลงวันเข้าไป เขาพ่นลมออกทางจมูกพร้อมแสยะยิ้ม “รักกันด้วยหัวใจอย่างแท้จริง? เกรงว่าจะเป็นท่านแม่รักอยู่ฝ่ายเดียวกระมัง! หากท่านพ่อรักท่านแม่จริง เหตุใดหลังแต่งงานกับท่านแม่แล้วยังติดต่อกับนางฮานอยู่ตลอด ไม่ยอมตัดขาด หากรักท่านแม่จริง ยามที่ท่านแม่ให้กำเนิดข้า ยามที่ต้องการท่านพ่อมากที่สุด ท่านพ่อหายไปไหนหรือ หากรักท่านแม่จริง เหตุใดหลังเวลาผ่านไปสิบหกปีท่านพ่อต้องต้อนรับนางฮานเข้ามาในบ้านด้วย หากรักท่านแม่จริงแล้วเหตุใดถึงปล่อยให้ท่านแม่เศร้าเสียใจจนหนีจากไป หากรักท่านแม่จริง ที่ด้านหลังภูเขาเจี้ยนซีจะมีหลุมสุสานเพิ่มอีกหนึ่งหลุมได้อย่างไรกัน หากรักท่านแม่จริง ท่านพ่อจะปล่อยให้นางฮานทำร้ายลูกครั้งแล้วครั้งเล่าหรือขอรับ ท่านพ่อ ท่านมิได้รักท่านแม่ ท่านมิได้รักใครทั้งนั้น ท่านรักเพียงแค่เส้นทางในหน้าที่การงานของท่าน รักเพียงชื่อเสียงและผลประโยชน์เท่านั้นต่างหากขอรับ”
เมื่อเผชิญหน้ากับการตำหนิของบุตรชาย มุมปากของหลี่จิ้งเสียนจึงกระตุก สีหน้าไม่สู้ดีอย่างยิ่ง เขากล่าวอย่างตะกุกตะกัก “หมิงอวิน พ่อไม่รู้ว่าเจ้าจะโกรธเคืองพ่อปานนี้ ทว่าเจ้าต้องเข้าใจว่าพ่อก็มีความยากลำบากเช่นกัน ตระกูลเยี่ยเป็นตระกูลใหญ่ มีกิจการใหญ่โต ตอนแรกพ่อก็เป็นแค่บัณฑิตยากจนผู้หนึ่ง หากพ่อไม่พยายามเพื่อโดดเด่นเหนือผู้อื่น มัวแต่ทำตัวอ่อนแอไร้ความสามารถ มิเท่ากับชั่วชีวิตนี้จะถูกคนตระกูลเยี่ยดูหมิ่นเหยียดหยามหรอกหรือ พ่อเพียงแค่อยากพิสูจน์ให้เห็นว่า ท่านแม่เจ้าคิดถูกที่แต่งงานกับข้า”
การเรียบเรียงคำพูดให้สวยหรูเช่นนี้ไร้ประโยชน์สิ้นดี มีแต่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความไร้ยางอายของบิดาที่ไปถึงขั้นเกินเยียวยาเสียแล้ว หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มทั้งที่โกรธเกรี้ยวสุดขีด “ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดตอนนั้นท่านแม่ถึงตัดสินใจเด็ดขาดเพียงนั้น สำหรับคนผู้หนึ่งที่ไม่รู้จักสำนึกผิดและปรับปรุงตัว รู้จักแต่จะกลับดำให้เป็นขาว ช่างเกินจะสรรหาคำใดมาบรรยายเสียจริงนะขอรับ”
“หมิงอวิน เจ้าจะตำหนิพ่ออย่างไรก็ได้ทั้งนั้น ทว่าตอนนี้เจ้าจำเป็นต้องยึดสถานการณ์ปัจจุบันเป็นสำคัญ จะมองดูตระกูลหลี่พังพินาศลงไปเช่นนี้โดยไม่ทำอันใดเลยคงมิได้กระมัง” หลี่จิ้งเสียนพยายามอดกลั้นอย่างสุดขีด ตอนนี้ไม่ใช่เวลาสำหรับการแสดงบทบาทบิดาผู้เคร่งครัดดุดัน ในเมื่อชะตาชีวิตของเขาอยู่ในกำมือของหมิงอวิน เขาจึงจำเป็นต้องอดกลั้นเข้าไว้
หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มประหลาดเนิ่นนาน แต่แล้วสีหน้ากลับเย็นชาลงฉับพลัน และกล่าวขึ้นอย่างชัดถ้อยชัดคำ “หากบรรพบุรุษตระกูลหลี่ที่ล่วงลับไปแล้วรับรู้เข้า เกรงว่าจะยินยอมให้ตระกูลหลี่พังพินาศลงและยอมตัดขาดลูกหลานตระกูลหลี่ ดีกว่าต้องเห็นลูกหลานกระทำเรื่องไร้ยางอายเพื่อตระกูลหลี่เช่นนี้นะขอรับ”
หลี่จิ้งเสียนชักสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวด้วยน้ำเสียงตำหนิ “หมิงอวิน เจ้าอย่าถึงขั้นต้องรอให้กระบี่มาจ่อคอเจ้าแล้วถึงยอมเชื่อฟังคำโน้มน้าวเลย การคัดค้านพระราชโองการถือเป็นความผิดมหันต์ มิใช่เรื่องที่เจ้าจะรับมือได้ อีกอย่าง เจ้ามิเกรงกลัวว่าหลินหลันจะตกระกำลำบากไปด้วยหรือไร”
หลี่หมิงอวินแสยะยิ้มเย็นชา “ผู้คนต่างกล่าวว่าการทำลายชีวิตคู่ครองฉันสามีภรรยาของผู้อื่นเป็นเรื่องร้ายแรงเสียยิ่งกว่าการเผาวัดสิบแห่ง ฮ่องเต้เป็นผู้ปกครองบ้านเมืองที่ฉลาดหลักแหลมอย่างที่ปรากฏขึ้นมาน้อยครั้งนัก จึงไม่มีทางกระทำเรื่องผิดศีลธรรมประเภทนี้เป็นแน่” ทันใดนั้นเขาส่งเสียงตะโกนขึ้นฉับพลัน “คนที่อยู่ด้านนอกตั้งใจฟังข้าให้ดี ข้าหลี่หมิงอวินเป็นผู้ที่กระทำการใดอย่างตรงไปตรงมา เปิดเผยและไร้เล่ห์เหลี่ยมใดๆ หากคิดจะให้ข้าหย่าร้างกับภรรยาเพื่อชื่อเสียงเกียรติยศ โปรดเข้าใจไว้ได้เลยว่าเป็นไปมิได้ หากต้องการจะฆ่ากันก็เชิญฆ่ากันได้เลย”
หลี่จิ้งเสียนเดือดดาลอย่างยิ่ง “หมิงอวิน เจ้ามันโง่เขลาไม่มีใครเกิน”
สายตาประดุจคมมีดของหลี่หมิงอวินมองตรงไปยังบิดาและพึมพำ “ใช่ ลูกโง่เขลา ทว่าลูกจิตใจมั่นคงพอ แล้วท่านพ่อล่ะขอรับ เดินมาถึงทุกวันนี้ ท่านพ่อน่าจะเข้าว่าอันใดเรียกว่าความฉลาด แต่กลับถูกความฉลาดเล่นงานแล้วสินะขอรับ ทุกคนล้วนต้องรับผิดชอบต่อการกระทำผิดของตนเอง ท่านพ่อกระทำผิดกฎหมาย ก็ต้องรับโทษทัณฑ์ตามที่กฎหมายระบุไว้ ท่านพ่อละเมิดกฎหมาย ท้ายที่สุดก็หนีไม่พ้นการประณามที่อยู่ภายในจิตสำนึกไปได้ ท่านพ่อ ประพฤติตนให้ดีๆ ไว้เถอะขอรับ!” เมื่อเอ่ยจบ หลี่หมิงอวินหันหลังให้บิดาและไม่ยินยอมมองเขาอีกแม้แต่น้อย
หลี่จิ้งเสียนยังอยากลองอาศัยความเป็นบิดามาบีบบังคับผู้เป็นลูกให้ยอมจำนน แต่แล้วประตูห้องขังด้านหลังเขาก็เปิดออกกะทันหัน ตามด้วยเสียงแหลมของคนผู้หนึ่งกล่าวอย่างเนิบช้า “ใต้เท้าหลี่ เชิญออกมาเถอะ!”
หลี่จิ้งเสียนลังเลใจไม่อยากยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น เขาสะบัดชายแขนเสื้อด้วยความโกรธเกรี้ยว “หมิงอวิน สักวันหนึ่งเจ้าจะเสียใจภายหลัง”
เสียใจภายหลัง ก็คงเป็นเช่นนั้นกระมัง! แต่ไม่ใช่เพราะเขาไม่ยอมหย่าร้างเพื่อไขว่คว้าชื่อเสียงเกียรติยศอย่างแน่นอน เขาเพียงแค่เสียใจที่ตนเองมั่นใจในตัวเองเกินไป ไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบ ทำให้หลินหลันต้องได้รับผลของความผิดพลาดตามเขาไปด้วย หลี่หมิงอวินเงยหน้าขึ้นมองช่องหน้าต่างขนาดแคบที่อยู่ตำแหน่งสูงขึ้นไป ท้องนภาด้านนอกหน้าต่างยังสดใสเพียงนั้น แต่หัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยความกังวลและสับสน ไท่โฮ่วเกลี้ยกล่อมเขาไม่สำเร็จ ดังนั้นคงต้องคิดหาวิธีการอื่นอย่างแน่นอน ไม่แน่ว่าจะไปข่มขู่ทางด้านหลันเอ๋อร์ หลันเอ๋อร์หนอหลันเอ๋อร์ คู่ต่อสู้ครานี้ยิ่งใหญ่เกินตัวข้าเหลือเกิน หวังว่าเจ้าจะยึดตนเองเป็นสำคัญ อย่าได้พาตนเองมาเสี่ยงก็เป็นพอ…
ภายในตำหนักไท่โฮ่ว หลังได้สดับรับฟังคำรายงานจากแม่เฉาแล้วสีหน้าไท่โฮ่วก็ตกตะลึงเล็กน้อย ตรัสด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไม่รู้สถานการณ์ตอนนี้แล้วยังทำเป็นอวดดี”
“ไท่โฮ่วเพคะ จากน้ำเสียงของบัณฑิตหลี่ ดูเหมือนเขาจะคาดเดาได้ว่าเป็นความประสงค์ของไท่โฮ่วนะเพคะ” แม่เฉากล่าวด้วยเสียงบางเบา
ไท่โฮ่วแค่นเสียง ฮึ ออกมาเบาๆ “เขาคาดเดาได้แล้วอย่างไรหรือ เรายอมให้โอกาสเขาก็ถือว่าให้เกียรติเขามากแล้ว เขายังไม่รู้จักสำนึกในพระคุณอีกหรือ พูดดีๆ ไม่ชอบ คงต้องรอให้มีดมาจ่อคอก่อนสินะ เช่นนั้นอย่าหาว่าเราใจร้ายใจดำแล้วกัน แม่เฉา เจ้าไปจัดการทีสิ เราต้องการพบหมอหลินท่านนั้น”
ในเวลาเดียวกัน ภายในห้องหนังสือราชวงศ์ ฮ่องเต้คลายคิ้วที่ขมวดเข้าหากันอย่างช้าๆ เผยสีหน้าแห่งความพึงพอใจซึ่งไม่ได้ปรากฏให้เห็นตลอดหลายวันที่ผ่านมา หลังได้สดับรับฟังข่าวคราวจากผู้มากล่าวรายงาน
“เจ้าออกไปได้แล้ว ช่วยสอดส่องบัณฑิตหลี่ให้ดีๆ ด้วยล่ะ” ฮ่องเต้กล่าว
รอกระทั่งผู้มาเยือนถอยออกไป ฮ่องเต้จึงกล่าวขึ้น “บัณฑิตหลี่มิทำให้เราผิดหวังจริงๆ”
หร่วนกงกงที่คอยปรนนิบัติข้างกายเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “ฮ่องเต้ทรงมีพระปรีชาสามารถในการแยกแยะผู้คน บัณฑิตหลี่ก็สมกับที่เป็นสามีจริงๆ พะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้กลับเผยรอยยิ้มขมขื่น “เราคิดว่าการมองใครสักคนให้ทะลุปรุโปร่งมันมิได้ง่ายดายเลยสักนิด! บรรดาขุนนางแต่ละคนต่างกล่าวสรรเสริญเรายามอยู่ต่อหน้า แต่เมื่อพ้นพระราชวังออกไปแล้ว ใครจะรู้ได้ว่าพวกเขามีท่าทีอย่างไร เราเองก็คร้านจะใส่ใจเช่นกัน ขอเพียงพวกเขาช่วยเราจัดการเรื่องราวได้สำเร็จลุล่วงก็เป็นพอ ทว่ากับบัณฑิตหลี่ เราเห็นความสำคัญของเขาด้วยใจจริง”
หร่วนกงกงกล่าว “บ่าวได้ยินมาว่าภรรยาบัณฑิตหลี่ ซึ่งก็คือหมอหลินแห่งหุยชุนถางได้ร่วมกับตระกูลฮว๋าแห่งเต๋อเหรินถางจัดตั้งการตรวจรักษาการกุศลในระยะนี้ โดยให้ชาวบ้านที่ลำบากยากจนได้ตรวจรักษาอาการป่วยโดยไม่คิดเงิน บรรดาชาวบ้านจึงยกย่องคุณงามความดีให้แด่หมอหลินและตระกูลฮว๋ากันถ้วนหน้าเลยพะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พยักหน้าอย่างชื่นชม “อืม…หมอหลินมีจิตใจเมตตากรุณา สมควรแก่การยกย่อง หากราชวงศ์เรามีหมอที่เสมือนหมอฮว๋าและหมอหลินเพิ่มขึ้นมาอีกหลายท่าน ปวงประชาก็คงเป็นสุขไปด้วยไม่น้อยทีเดียวเชียว!”
นี่เป็นคำพูดอย่างผิวเผิน ตามจริงคุณงามความดีของหุยชุนถางที่ได้รับการยกย่อง ฮ่องเต้ได้ยินมาเนิ่นนานแล้ว ทักษะการแพทย์ของหมอหลินล้ำเลิศ มีจิตใจที่เมตตาเอื้ออาทร นี่เป็นเครื่องยืนยันที่มีน้ำหนักมากพอสำหรับการกล่าวว่านางเป็นคนดีผู้หนึ่ง และจากการจัดการกุศลตรวจรักษาโรคภัยไข้เจ็บครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความฉลาดหลักแหลมอย่างยิ่งของสตรีผู้นี้ สามีถูกกักขัง นางไม่ร้อนรน ไม่ทำอันใดผลีผลาม ไม่ร้องไห้ไม่โวยวาย ไม่โอดครวญไม่กล่าวโทษ แต่กลับประโคมคุณงามความดีให้เลื่องลือเพื่อสร้างชื่อเสียงดีงามให้แก่ตนเอง หากไท่โฮ่วบีบบังคับบัณฑิตหลี่ให้หย่าร้างกับภรรยา เกรงว่าตระกูลฉินคงต้องถูกประชาชนประณามจนไม่เหลือที่ยืน ฉลาด ช่างฉลาดจริงๆ รู้จักใช้ประโยชน์จากความคิดเห็นประชาชน เห็นทีการที่บัณฑิตหลี่รักเดียวใจเดียวต่อนางเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผลแต่อย่างใด
“ฮ่องเต้ตรัสได้ถูกต้องอย่างยิ่งพะย่ะค่ะ คู่สามีภรรยาบัณฑิตหลี่คู่นี้ ผู้หนึ่งซื่อสัตย์ ผู้หนึ่งมีจิตใจเมตตา ล้วนเป็นคนดีทั้งคู่เลยพะย่ะค่ะ! น่าเสียดายที่ต้องมาติดร่างแหไปกับราชเลขาหลี่เสียนี่” หร่วนกงกงกล่าวด้วยความเศร้าใจ
ฮ่องเต้ชำเลืองมองหร่วนกงกงด้วยสายตาเรียบเฉย ก่อนส่งเสียง ฮึ “เรามองราชเลขาหลี่ผิดไป เดิมคิดว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษประพฤติดีและมีความหนักแน่น คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะบีบบังคับบุตรชายของตนเองให้หย่าร้างเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน เห็นทีว่าข่าวลือเหล่านั้นคงมิใช่เรื่องโกหกเสียแล้ว”
หร่วนกงกงกล่าว “หากเป็นเช่นนี้จริง บัณฑิตหลี่ก็โชคร้ายเสียเหลือเกินนะพะย่ะค่ะ มิน่าล่ะ คนของตระกูลเยี่ยถึงได้โกรธแค้นปานนั้น”
เมื่อเอ่ยถึงราชเลขาหลี่ อารมณ์ดีของฮ่องเต้ก็ถูกพังทลายจนดับสิ้น คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ! นึกถึงตอนแรก เขายังเพิ่มรางวัลคุณงามความดีให้แก่ราชเลขาหลี่อีกด้วย พอมาคิดๆ ดูในตอนนี้ รู้สึกไม่ต่างจากการตบหน้าตนเองเลยสักนิด
หลินหลันปรึกษาหารือกับเฉินจื่ออวี้เป็นที่เรียบร้อย องค์ชายสี่กำลังเคลื่อนทัพกลับราชสำนัก ดังนั้นไท่โฮ่วน่าจะลงมือทั้งหมดก่อนที่พวกเขาจะกลับมา หลังตระกูลฉินเกิดเรื่องอื้อฉาวเสียหายต่อชื่อเสียงก็มีท่าทีตอบสนองกลับอย่างรวดเร็ว เฉินจื่ออวี้อยากลงมือสร้างความวุ่นวายให้แด่ตระกูลฉินอีกสักหน่อยจึงหาโอกาสไม่ได้อีก ส่วนทางด้านบรรดาขุนนางทางทหารยังคงต่อต้านอย่างต่อเนื่อง เห็นทีว่าผู้ปกครองแห่งพระราชวังตะวันตก[1]ท่านนั้นไม่คิดปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยไปโดยง่ายเช่นกัน
เยี่ยเต๋อฮ๋วยเสนอแนะโดยให้ปล่อยข่าวลืออย่างที่เคยๆ ทำ นำข่าวลือที่ว่าไท่โฮ่วบีบบังคับให้หมิงอวินหย่าร้างกับภรรยาแพร่งพรายออกไป แล้วมาดูกันสิว่านางจะเอาหน้าชราภาพของนางไปไว้แห่งหนใด
เฉินจื่ออวี้คิดว่าไม่เป็นการเหมาะสมเท่าใดนัก ภายในพระราชวัง หญิงชราท่านนั้นไม่ใช่ผู้ที่ควรหาเรื่องด้วย และเรื่องราวก็ยังไม่ถึงขั้นทำอันใดไม่ได้ หากฉีกหน้ากันในเวลานี้จนทำให้หญิงชราท่านนั้นเกิดโกรธเกรี้ยวเพราะอับอาย เกรงว่าฮ่องเต้ก็คงจนปัญญาไม่อาจทำอันใดได้เช่นกัน
ฮ่องเต้หาใช่บุตรที่เกิดจากฮองเฮาพระองค์ก่อนไม่ ด้วยมารดาผู้ให้กำเนิดภูมิหลังต่ำต้อยและเสียชีวิตไปนานมากแล้ว ท่ามกลางบรรดาองค์ชายจำนวนมากจะกล่าวว่าไม่เป็นที่โดดเด่นเลยก็ว่าได้ แต่ท้ายที่สุดได้รับความสำคัญจากฮองเฮาให้เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ ซึ่งนี่เกี่ยวข้องกับไท่โฮ่วซึ่งเป็นฮองเฮาในยามนั้นนั่นเอง ดังนั้นหลังฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ จึงให้ความเคารพกตัญญูต่อไท่โฮ่วเป็นอย่างยิ่งมาโดยตลอด และไม่กล้าคัดค้านพระบัญชาของไท่โฮ่ว ไม่บ่อยนักที่ไท่โฮ่วจะเอื้อมมือเข้ามาแทรกกิจการในราชสำนัก แต่เมื่อนางคิดจะลงมือขึ้นมา ฮ่องเต้ก็ยากที่จะทำอันใดได้เช่นกัน
หลินหลันเห็นด้วยกับแนวคิดของเฉินจื่ออวี้ โดยสรุปแล้ว ตั้งหน้าตั้งตาทำเรื่องของตนเองให้ดีที่สุดไปก่อนแล้วกัน!
การรักษาการกุศลเข้าสู่วันที่สิบ ดูเหมือนชาวบ้านที่มาตรวจรักษาอาการป่วยในแต่ละวันไม่ได้มีจำนวนลดน้อยลงไปเลย สินค้าที่สำรองไว้ในร้านยานั้นก็ใกล้จะใช้จ่ายไปหมดแล้ว ดูท่าอีกสองวันคงขาดแคลนยา ทว่าการตรวจรักษาการกุศลนี้ยังต้องดำเนินไปอีกห้าวัน จึงทำให้หลินหลันเดือดเนื้อร้อนใจ หากวัตถุดิบยาไม่เพียงพอ การตรวจรักษาการกุศลมิเท่ากับต้องหยุดชะงักกลางคันและกลายเป็นว่าทำไม่ได้อย่างที่ป่าวประกาศไว้หรอกหรือ เช่นนั้นความเหน็ดเหนื่อยที่ทุ่มเทลงไปในหลายวันมานี้ก็จะเป็นอันสูญเปล่า หลายวันก่อนนางพบผู้จัดหาวัตถุดิบยาหลายเจ้า พวกเขาไม่ใช่ว่าไม่ยินดีช่วยเหลือ เพียงแต่เวลานี้วัตถุดิบยากำลังขาดแคลนจริงๆ เฮ้อ! การตัดสินใจจัดตั้งการรักษาการกุศลครั้งนี้กะทันหันเกินไป ผนวกกับผู้ป่วยแห่มากันจำนวนมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ จึงนำมาซึ่งวิกฤติการณ์ขาดแคลนยา
ฮว๋าเหวินยวนรับรู้ถึงปัญหาของหุยชุนถาง จึงขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสของตระกูลฮว๋าให้ช่วยจัดหาวัตถุดิบยามาช่วยเหลือโดยด่วน
หลินหลันรู้สึกผิดที่ทำให้อีกฝ่ายลำบากไปด้วย เดิมตกลงไว้ดิบดีแล้วว่าตระกูลฮว๋าเข้าร่วมการตรวจรักษาการกุศลครานี้ ออกเพียงกำลังคนเท่านั้น ไม่ต้องออกวัตถุดิบยา สำหรับหลินหลัน ตระกูลฮว๋ายินดีร่วมมือดำเนินการการกุศลครั้งนี้ก็นับว่าเป็นการช่วยเหลือนางครั้งใหญ่หลวงแล้ว ในเมื่อเต๋อเหรินถางเป็นร้านเก่าแก่ซึ่งมีชื่อเสียงยาวนานเป็นร้อยๆ ปี ทั้งยังเป็นโรงหมอแห่งแรกในเมืองหลวง การให้ความร่วมมือกับหุยชุนถางครั้งนี้จึงเท่ากับยกระดับหุยชุนถางขึ้นไปเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเขา
[1]พระราชวังตะวันตก (西宫) เป็นสถานที่ที่นางสนมของฮ่องเต้อาศัยอยู่