ฮว๋าเหวินยวนกล่าว “หมอหลินมิจำเป็นต้องคิดมากไปหรอกเจ้าค่ะ ท่านลุงและท่านอาในตระกูลฮว๋าหลายๆ ท่าน หากมิใช่เพราะรับตำแหน่งงานในพระราชวังก็อยากมาเข้าร่วมการกุศลครั้งนี้ด้วยเช่นกัน หากพี่ชายข้าอยู่ พี่ชายข้าก็คงยินดีช่วยเหลือโดยไม่ลังเลใจเช่นกัน จริงสิ อีกไม่กี่วันพี่ชายข้าก็จะกลับมาเมืองหลวงแล้วนะเจ้าคะ”
หลินหลันเผยท่าทีดีอกดีใจ “จริงหรือเจ้าคะ เช่นนั้นก็เยี่ยมไปเลย โรคระบาดทางด้านส่านซีนั่นจัดการเรียบร้อยแล้วหรือเจ้าคะ”
ฮว๋าเหวินยวนเผยสีหน้าภาคภูมิใจ “ใช่เจ้าค่ะ! โรคฝีดาษระบาดในส่านซีครั้งนี้ควบคุมได้แล้ว พี่ชายข้าสร้างคุณประโยชน์ครั้งใหญ่หลวง เดิมคิดว่าจะกลับมาได้ตั้งนานแล้ว ทว่าเขาดื้อดึงต้องการอยู่ที่นั่นต่อ โดยเอ่ยว่าต้องศึกษาประสิทธิภาพของยาป้องกันฝีดาษเจ้าค่ะ”
จริยธรรมความเป็นหมอของฮว๋าเหวินไป่เป็นสิ่งที่เกินบรรยาย หลินหลันรู้สึกเลื่อมใสในตัวเขาอย่างยิ่ง ตอนแรกนางคิดว่าคนดีประเภทท่านอาจารย์หมอหูซึ่งถือได้ว่าเป็นบุคคลที่พบเจอได้น้อยคนนัก คาดไม่ถึงว่าเมื่อมายังเมืองหลวงจะได้พบคนประเภทนี้อีกหนึ่งท่าน
“เอ้อร์เส้าหน่ายนายขอรับ เอ้อร์เส้าหน่ายนาย…” ฝูอานส่งเสียงตะโกนขึ้นมาจากด้านนอก
หลินหลันกล่าว “มีเรื่องอันใดหรือ”
ฝูอานกล่าวรายงานจากด้านนอกประตู “ท่านเฉียน ท่านซุน ผู้จัดหาวัตถุดิบยามาแล้วขอรับ แล้วยังมาพร้อมกับวัตถุดิบยาสองคันรถใหญ่ด้วยขอรับ”
หลินหลันเผยสีหน้าดีอกดีใจอย่างยิ่ง “นี่มันสวรรค์มาโปรดชัดๆ!”
หลังทั้งสองสนทนากันเสร็จสิ้น หลินหลันให้หยินหลิ่วไปส่งฮว๋าเหวินยวน ส่วนตนเองไปพบท่านเฉียนและท่านซุน เวลานี้เองถึงได้รับรู้ว่าที่แท้เป็นการช่วยเหลืออย่างลับๆ ของท่านลุง โดยช่วยติดต่อท่านเฉียนและท่านซุนให้ เพียงขอให้พวกเขาดำเนินการนำวัตถุดิบยามาส่งที่หุยชุนถางด้วยเร็วที่สุด ตระกูลเยี่ยยินดีจ่ายให้ในราคาสองเท่าตัว
หลังส่งผู้จัดหาวัตถุดิบยาทั้งสองท่านกลับไปเป็นที่เรียบร้อย หลินหลันนำเรื่องในร้านยาส่งมอบให้ฝูอานรับช่วงต่อแล้วตั้งใจว่าจะเตรียมตัวไปตระกูลเยี่ยเพื่อกล่าวขอบคุณผู้เป็นลุงด้วยตนเอง
ฝูอานเอ่ยถามด้วยสีหน้าเบิกบาน “เอ้อร์เส้าหน่ายนายต้องการไปตระกูลเยี่ยใช่หรือไม่ขอรับ”
หลินหลันตกตะลึงเล็กน้อย “เจ้ารู้ได้อย่างไรหรือ”
ฝูอานกล่าวด้วยรอยยิ้ม “การคาดเดาของนายท่านเยี่ยขอรับ นายท่านเยี่ยให้ข้าน้อยนำคำพูดมาบอกกล่าวเอ้อร์เส้าหน่ายนายว่า เอ้อร์เส้าหน่ายนายมิจำเป็นต้องไปขอบคุณด้วยตนเองถึงที่ ล้วนเป็นคนในครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น เรื่องของหุยชุนถางก็คือเรื่องของตระกูลเยี่ย นายท่านเยี่ยเอ่ยว่าเขาช่วยอันใดอื่นมิได้ อย่างน้อยๆ ให้ช่วยออกเงินให้ก็ยังดีขอรับ”
หลินหลันอดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้ “เช่นนั้นก็รีบไปทำงานกันเถอะ!”
ฝูอานขานรับทันควันแล้วจึงนำทุกคนไปขนย้ายวัตถุดิบยา
หลังแก้ไขปัญหาเรื่องวัตถุดิบยาไม่เพียงพอเป็นที่เรียบร้อย หลินหลันจึงเป็นอันโล่งใจขึ้นไม่น้อย
วันรุ่งขึ้น หลินหลันไปร้านยาแต่เช้าตรู่ กลับค้นพบว่าที่นั่งหมอตรวจวินิจฉัยมีจำนวนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง จึงอดประหลาดใจไม่ได้ “พี่เหวินไป่…”
ฮว๋าเหวินไป่กำลังจดจ่ออยู่กับการตรวจจับชีพจรผู้ป่วยรายหนึ่ง เมื่อเห็นหลินหลันจึงพยักหน้าพร้อมส่งรอยยิ้มให้เล็กน้อยก่อนหันไปจดจ่ออยู่กับการตรวจจับชีพจรต่อไป
หลินหลันรู้สึกประหลาดใจ เหวินยวนเอ่ยว่าอีกไม่กี่วันข้างหน้าฮว๋าเหวินไป่ถึงจะกลับมาไม่ใช่หรือ แล้วเหตุใดวันนี้ถึงปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้
ไม่พบเจอกันเป็นเวลาหลายเดือน เหวินฮว๋าไป่ดูซูบผอมลงไปมากทีเดียว เห็นทีว่าช่วงที่ใช้ชีวิตอยู่ในส่านซีคงเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย ยังดีที่ท้ายที่สุดก็กลับมาได้อย่างปลอดภัย
ช่วงที่กำลังเผยสีหน้าตะลึงงัน ฮว๋าเหวินไป่เขียนใบจ่ายยาแล้วยื่นให้ผู้ป่วยเป็นที่เรียบร้อยพอดี เขาลุกขึ้นยืนแล้วเดินมุ่งมาทางหลินหลันพร้อมกับรอยยิ้มที่ยังคงไว้ซึ่งความอบอุ่นดังเดิม ทำให้รู้สึกประหนึ่งสายลมฤดูใบไม้ผลิ เขายกสองมือขึ้นแสดงท่าทางคารวะ “หมอหลิน ไม่พบกันนาน สบายดีหรือไม่ขอรับ”
หลินหลันคารวะให้พร้อมรอยยิ้ม “พี่เหวินไป่กลับมาตั้งแต่เมื่อใดกันเจ้าคะ”
“กลับมาถึงเมืองหลวงเมื่อคืน ได้ยินน้องสาวเอ่ยว่าหุยชุนถางกำลังจัดการตรวจรักษาการกุศลก็เลยรีบมาแต่เช้า” ฮว๋าเหวินไป่กล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะสังเกตสีหน้าค่าตาของหลินหลัน เรื่องที่เขาได้ฟังเมื่อคืนไม่ใช่เพียงแค่การรักษาผู้ป่วยเพื่อการกุศล แต่ยังมีเรื่องสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปของตระกูลหลี่อีกด้วย ดังนั้นเช้าตรู่วันนี้เขาจึงมาที่นี่ ด้วยอยากดูว่านางเป็นอย่างไรบ้าง
“ไปนั่งด้านในกันเถอะเจ้าค่ะ!” หลินหลันผ่ายมือเป็นการเชื้อเชิญ
ทั้งสองเดินไปนั่งพูดคุยกันในห้องรับรองแขก หยินหลิ่วจึงยกน้ำชาเข้ามาให้แล้วออกไปทำงานอื่น
อาจเพราะไม่พบเจอกันนานมากเหลือเกินจึงไม่รู้ว่าควรเอ่ยปากอย่างไร อาจเพราะช่วงที่ผ่านมานี้ทั้งสองคนพานพบเรื่องราวมากมายเกินไปเลยไม่รู้ว่าควรเริ่มพูดจากตรงไหน ภายในห้องจึงตกอยู่ในความเงียบสงัด
หลังเวลาผ่านไปเนิ่นนานพอตัว
“ข้าได้ยินเรื่องของตระกูลหลี่มาบ้างแล้ว…”
“ท่านอยู่ที่ส่านซีคงลำบากอย่างยิ่งสินะเจ้าคะ”
ทั้งสองเอ่ยปากขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน จึงตกตะลึงไปชั่วขณะ ตามด้วยหลินหลันที่ส่งเสียงหัวเราะขึ้นมา “ท่านตอบข้าก่อนแล้วกันเจ้าค่ะ”
ฮว๋าเหวินไป่ยิ้มเล็กยิ้มน้อยแล้วกล่าวอย่างใจเย็น “ลำบากก็ลำบากอยู่ ทว่าสิ่งที่ได้รับก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน ครั้งนี้ต้องขอบคุณการแนะนำของหมอหลิน ข้าทำตามวิธีการที่หมอหลินบอกกล่าวโดยทดลองกับตนเองเสียก่อน มีอาการป่วยเล็กน้อยไปช่วงหนึ่งแต่มิใช่ปัญหาใหญ่อันใด จึงเห็นได้ว่าวิธีการของหมอหลินได้ผล ต่อมาข้าจึงทดลองกับคนอื่นๆ แล้วค้นพบว่าวิธีการปลูกฝีนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลด้วยเช่นกัน บางคนป่วยไม่กี่วันก็หายดีแล้ว บางคนกลับค่อนข้างอาการหนักทีเดียวเชียว”
“จริงอย่างที่ท่านกล่าวเจ้าค่ะ ข้าคิดว่าหากใช้สะเก็ดฝีดาษที่ได้รับการปลูกฝีหลายครั้งมาทำยา ความเป็นพิษจะลดน้อยลงไปมาก หลังได้รับการปลูกฝีก็จะค่อนข้างปลอดภัยด้วยเช่นกันเจ้าค่ะ” หลินหลันกล่าว
“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ขอรับ หลังควบคุมโรคระบาดเป็นที่เรียบร้อย ข้าก็เริ่มคิดค้นยาที่มีประสิทธิผลและปลอดภัยยิ่งขึ้น จึงค้นพบว่ายิ่งการแพร่กระจายของยานานขึ้น การปรับปรุงฤทธิ์ตัวยาก็จะชัดเจนยิ่งขึ้น การคัดเชื้อที่เจริญเติบโตเต็มที่ พิษที่รุนแรงจะถูกกำจัดออกไปด้วย ซึ่งจะทำให้ปลอดภัยไร้อันตรายร้ายแรงได้” ระหว่างบอกเล่า สีหน้าของฮว๋าเหวินไป่ยากที่จะซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้ได้ “ครั้งนี้ข้ากลับมาพร้อมยาที่มีความปลอดภัยหนึ่งชุดใหญ่ ไว้รอได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ จะขอฮ่องเต้ทรงประทานอนุญาตให้ป่าวประกาศวิธีการรักษานี้ในเมืองหลวง หลังจากนี้ทุกคนจะได้มิต้องเอ่ยว่าโรคฝีดาษไม่มีทางรักษา หมอหลิน ผลงานครั้งนี้ ให้ท่านเป็นผู้นำนะขอรับ”
หลินหลันกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ “ข้าก็แค่เสนอแนวคิดเท่านั้นเอง พี่เหวินไป่เป็นฝ่ายเสี่ยงใช้ร่างกายตนเองเพื่อทดสอบ ความกล้าหาญนี้จึงควรได้รับการยกย่อง ทั้งยังทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างละเอียดรอบคอบถึงเป็นผลสำเร็จได้ น้ำพักน้ำแรงทั้งหมดนี้เป็นของพี่เหวินไป่ หลินหลันจะกล้าฉกฉวยผลงานทั้งที่มิได้ลงแรงอันใดได้อย่างไรกันเจ้าคะ”
ฮว๋าเหวินไป่กล่าวจากใจ “เป็นเพราะทักษะการแพทย์ของหมอหลินที่ล้ำเลิศ การกล้าคิดในสิ่งที่ผู้คนไม่กล้าคิด บนโลกนี้ถึงได้มีวิธีการปลูกฝีดาษเพื่อใช้ในการรักษาขึ้นมาได้ แล้วเหตุใดหมอหลินต้องถ่อมตนไปด้วยขอรับ คำพูดของท่านเพียงประโยคเดียวก็ช่วยเหลือผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน ควรค่าพอที่จะจารึกไว้ในประวัติศาสตร์แล้วละขอรับ”
หลินหลันกล่าวด้วยความเกรงใจ “พี่เหวินไป่เอ่ยชมกันเกินไปแล้ว หลินหลันมิบังอาจจริงๆ เจ้าค่ะ”
ฮว๋าเหวินไป่นิ่งเงียบ ความใจกว้างและจิตวิญญาณเช่นนี้ของหลินหลันช่างชวนให้ผู้คนเลื่อมใสยิ่งนัก หากเป็นผู้อื่นรอบข้าง เกรงว่ามีแต่จะเร่งรีบไขว่คว้าเอาไว้ มีหรือจะยอมผลักไสให้ผู้อื่นเขา
“หากตระกูลหลี่ไม่เกิดปัญหาขึ้น ข้าจะน้อมรับความประสงค์ของหมอหลินอย่างแน่นอน ทว่ายามนี้ตระกูลหลี่เผชิญความยากลำบาก การกระทำนี้จึงมีประโยชน์ต่อหมอหลิน ต่อตระกูลหลี่นะขอรับ วันนี้ข้าจะเข้าพระราชวังเพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ไว้ถึงตอนนั้นข้าจะกราบทูลความเป็นจริงเช่นนี้แด่ฮ่องเต้” ฮว๋าเหวินไป่กล่าวอย่างจริงจัง เขามองออกว่าเบื้องหลังรอยยิ้มของหลินหลันเต็มไปด้วยความทุกข์ด้วยจนปัญญา ไม่ใช่เขาเคลือบแคลงใจในความจิตใจดีมีเมตตาของหลินหลัน ทว่าการจัดการรักษาการกุศลครั้งนี้ยังมีจุดมุ่งหมายที่ลึกซึ้งกว่าที่เห็น เขารู้ดีว่านางทำเช่นนี้เพื่ออันใด เขาเข้าใจ ดังนั้นเขายิ่งเลื่อมใสในความแข็งแกร่งและความชาญฉลาดของหลินหลัน ดังนั้นเขาจะต้องช่วยนางอีกแรงให้จงได้
หลินหลันก้มหน้านิ่งเงียบ นั่นสิ! ตอนนี้นางต้องการผลงานเช่นนี้จริงๆ เพื่อให้คนที่อยู่เบื้องบนเหล่านั้นดูถูกนางผู้เป็นหญิงสาวชาวบ้านที่มีฐานะต้อยต่ำไม่ได้ ทำให้ผู้มีเจตนาอื่นอยู่ในใจเหล่านั้นไม่อาจกระทำการตามอำเภอใจได้ ทว่า นางเป็นแค่คนบอกกล่าว ขณะที่เหวินฮว๋าไป่เป็นผู้ลงน้ำพักน้ำแรงทั้งหมดไปมากมาย กระทั่งยอมเสี่ยงชีวิตของตนเอง ผลงานนี้ นางต้องการ ตระกูลฮว๋าก็ต้องการเช่นเดียวกัน
“หมอหลิน ไม่ว่าในภายภาคหน้าเป็นเช่นไร หากท่านพบเจออุปสรรคอันใด ขอให้ท่านบอกกล่าวเหวินไป่ ตราบใดที่ไม่เหนือบ่ากว่าแรงเหวินไป่ เหวินไป่จะไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอนขอรับ” ฮว๋าเหวินไป่มองนางด้วยสีหน้าแน่วแน่ เขารู้สึกสะเทือนใจโดยไม่รู้ตัว และโกรธตนเองที่ช่วยอันใดนางไม่ได้มากนัก
ความจริงใจของฮว๋าเหวินไป่และคำพูดที่กลั่นออกมาจากใจของเขาทำให้หลินหลันอดซาบซึ้งใจไม่ได้ หลายพันหลายหมื่นวาจาจนเอื้อนเอ่ยออกมาได้เพียงประโยคเดียวที่ว่า “ขอบคุณเจ้าค่ะพี่เหวินไป่”
ทางพระราชวังรับรู้ว่าฮว๋าเหวินไป่กลับถึงเมืองหลวงเป็นที่เรียบร้อย จึงส่งเจ้าหน้าที่มาบอกกล่าวเขาเพื่อสั่งการให้เขาเข้าไปในพระราชวังทันที ซึ่งผู้นำพระราชโองการเดินทางมาพบเขาที่หุยชุนถาง
ฮว๋าเหวินไป่เพิ่งออกไปไม่ทันไรก็มีคนมาบอกกล่าวหลินหลันให้เข้าพระราชวังไปด้วยเช่นกัน
คนของหุยชุนถางต่างเป็นกังวลอย่างยิ่ง ทว่าหลินหลันกลับสงบนิ่งเยือกเย็น หากคาดเดาไม่ผิด ผู้ที่เรียกนางเข้าวังคงเป็นใครอื่นไปไม่ได้นอกเสียจากไท่โฮ่ว
“ท่านหมอหลิน เชิญไปเร็วเข้าเถอะ!” ขันทีผู้ส่งสารเผยสีหน้าหยิ่งยโส แสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นมิตรเท่าใดนัก
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “อย่างไรก็คงต้องขอให้ท่านขันทีรอสักครู่นะเจ้าคะ หุยชุนถางกำลังจัดตรวจรักษาการกุศล ข้าน้อยขอตัวไปสั่งการคนในร้านสักสองสามประโยคนะเจ้าคะ”
ขันทีผู้นั้นกล่าวด้วยสีหน้ารำคาญใจ “ให้เวลาเจ้าเพียงสิบนาทีเท่านั้น”
หลินหลันแสดงท่าคารวะแล้วเรียกศิษย์พี่รองกับฝูอานไปยังด้านข้าง “ศิษย์พี่รอง ไม่ว่าครั้งนี้ข้าจะกลับมาอย่างปลอดภัยได้หรือไม่ การตรวจรักษาการกุศลครั้งนี้จะหยุดชะงักไม่ได้เป็นอันขาด ฝากท่านดูแลหุยชุนถางด้วย มีปัญหาอันใดก็ไปหาเยี่ยเหล่าเหยียกับท่านหมอฮว๋าแห่งเต๋อเหรินถางเพื่อขอคำปรึกษาได้ทุกเมื่อ ฝูอาน เจ้ารีบไปรายงานเยี่ยเหล่าเหยียแล้วก็เฉินจื่ออวี้ที ให้พวกเขาเตรียมพร้อมให้ดีๆ แล้วก็ทางด้านต้าเส้าหน่ายนายด้วย ส่งคนไปบอกให้นางรับทราบไว้ด้วย เรื่องในบ้านคงต้องรบกวนนางให้เหนื่อยหน่อยแล้วละ”
หวังต้าไห่และฝูอานขานรับ หวังต้าไห่กล่าวด้วยความกังวล “ศิษย์น้อง เจ้าดูแลตนเองให้ดีๆ ด้วย พิจารณาสถานการณ์ให้ดี อย่าทำให้ตนเองลำบากจนเกินไป มีเรื่องอันใดไว้ค่อยกลับมาปรึกษาหารือกับทุกคนอีกที”
หลินหลันฉีกยิ้มอ่อนหวาน “ศิษย์พี่วางใจเถิด ข้ารู้จักประมาณตนอยู่หรอก”
เมื่อจัดการเรื่องราวเป็นที่เรียบร้อย หลินหลันจึงตามขันทีผู้มาส่งสารออกจากหุยชุนถางไป
พระราชวัง หลินหลันเคยผ่านประตูวังมาหลายต่อหลายครั้ง เมื่อเงยหน้ามองดูสิ่งก่อสร้างอันสูงใหญ่ตระการตานี้ จะเห็นงานประติมากรรมบนชายคาซึ่งเป็นลักษณะรูปทรงโค้งงอซ้อนกันเป็นชั้นๆ จนละลานตา กระเบื้องเคลือบสีน้ำเงินและสีแดงกำลังสะท้อนแสงสีทองของดวงอาทิตย์ที่สาดส่องกระทบเป็นประกายจนไม่อาจลืมตาจ้องมองได้ ความยิ่งใหญ่และสีสันอันเจิดจรัสนั้น เป็นเครื่องป่าวประกาศความรุ่งโรจน์และความสูงส่งต่อสาธารณชน
แต่ที่สูงส่งไปกว่านี้คือใครบางคนที่อยู่ในนี้ ผู้กอบกุมอำนาจเด็ดขาด เพียงประกาศิตเดียวก็ชี้เป็นชี้ตายได้ เรียกได้ว่าเป็นผู้กอบกุมอำนาจล้นฟ้า ปวงประชาจึงไม่ต่างจากมดแมลงตัวน้อยที่ไม่อาจไม่ให้ความเคารพยำเกรงได้
หลินหลันเคารพยำเกรง แต่กลับไม่เกรงกลัว ในทางกลับกัน นางกลับมีความรู้สึกชนิดที่ว่ากำลังเดินเข้าสู่สนามรบอันน่าตื่นเต้น เพราะนางรู้ดีว่าไท่โฮ่วเรียกให้นางเข้าเฝ้า คงเป็นเพราะจนปัญญากับทางด้านหมิงอวินนั่นแล้ว นางรู้ดีว่าหมิงอวินจะไม่หักหลังนาง นางมั่นใจเช่นนี้มาโดยตลอด นี่จึงทำให้นางเต็มไปด้วยความกล้าหาญ เต็มไปด้วยทัศนคติที่ต้องต่อสู้ หมิงอวินไม่ละทิ้งนาง ไม่ละทิ้งความรักของพวกเขา นางก็จะไม่ละทิ้งเช่นกัน
ขันทีผู้ส่งสารพานางเข้าสู่พื้นที่ลานกว้างสี่เหลี่ยมจัตุรัส แล้วให้นางรออยู่ด้านนอก
ไม่นานนัก หญิงรับใช้วัยกลางคนท่านหนึ่งเดินมานำทางนางเข้าสู่ด้านใน ก่อนผ่านประตูเข้าไป หญิงวัยกลางคนท่านนั้นเอ่ยขึ้น “ผู้เรียกเจ้าเข้าเฝ้าคือไท่โฮ่ว อีกประเดี๋ยวอย่าได้ทำอันใดเป็นการเสียมรรยาทไปล่ะ”
หลินหลันเผยรอยยิ้มอ่อนโยน “ขอบพระคุณท่านที่ชี้แนะเจ้าค่ะ”
หญิงรับใช้วัยกลางคนท่านนั้นเผยสีหน้าเย็นชา ไม่แสดงถึงความเป็นมิตรแต่อย่างใด นางนำทางหลินหลันเข้าไปสู่ห้องห้องหนึ่งแล้วกล่าว “ไท่โฮ่วเพคะ หมอหลินมาถึงแล้วเพคะ”
มีเสียงพูดจากด้านในดังขึ้น “ให้นางเข้ามา”
หลินหลันก้มหน้า เผยท่าทีกระวนกระวายเล็กน้อยก่อนเดินเข้าไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ เมื่อเข้าไปจึงมองเห็นผู้มีสีหน้าสงบนิ่งท่านหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงเตา หญิงชราที่อยู่ภายใต้ชุดอลังการเต็มยศ นอกจากนั้นภายในห้องยังมีหญิงรับใช้วัยกลางคนซึ่งรับหน้าที่ปรนนิบัติข้างกายท่านหนึ่ง กับนางข้าหลวงอีกจำนวนหนึ่งอยู่ด้วย หลินหลันรู้ดีแก่ใจว่าหญิงชราท่านนี้คือไท่โฮ่ว เมื่อหยุดยืนนิ่งจึงคารวะตามระเบียบปฏิบัติ “ข้าน้อยหลินหลันถวายพระพรไท่โฮ่วเพคะ”
ผู้ที่นั่งอยู่บนเตียงเตายังคงไม่ส่งเสียงใดๆ หลินหลันสัมผัสได้ถึงสายตาหนึ่งที่กำลังกวาดมองอยู่บนเรือนร่างของนาง นางรักษาอิริยาบถท่าทางอย่างมีมรรยาท ไม่ขยับเขยื้อน รอคอยด้วยความอดกลั้น การแสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจเช่นนี้ยังคงทำให้นางตื่นกลัวไปไม่ได้