เนิ่นนานพอตัวกว่าหลินหลันจะได้ยินไท่โฮ่วตรัสอย่างไม่แยแส “ลุกขึ้นเถอะ!”
น้ำเสียงของไท่โฮ่วเป็นไปอย่างเอ้อระเหย ทว่าภายในใจกลับเกิดความวิตกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย เดิมคิดว่าหมอหลินท่านนี้ภูมิหลังต่ำต้อย คงไม่เคยออกไปพบเจอโลกภายนอกแต่อย่างใด ดังนั้นครั้งแรกของการพบเจอคนระดับนาง ต่อให้ไม่หวาดกลัวก็น่าจะมีท่าทีเก้ๆ กังๆ อยู่ไม่น้อย ทว่าหลังนางสังเกตอยู่พักใหญ่ หมอหลินท่านนี้ไม่เพียงแต่ไม่แสดงสีหน้าอาการลนลานเลยสักนิด แต่กลับเผยสีหน้าสงบนิ่งเยือกเย็น ดูผ่อนคลายไร้ความกังวลใดๆ ต่อให้เป็นพระสนมในพระราชวังมาเข้าเฝ้านางก็มีท่าทีระแวดระวังอย่างยิ่งกันทั้งนั้น เห็นทีว่านางจะประเมินหมอหลินท่านนี้ต่ำเกินไปเสียแล้ว
“ได้ยินว่าระยะนี้เจ้ากำลังจัดการรักษาผู้เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นการกุศลหรือ” ไท่โฮ่วตรัสถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
หลินหลันเผยสีหน้าซึ่งแต่งแต้มไว้ด้วยรอยยิ้ม “กราบทูลไท่โฮ่ว ท่านอาจารย์ของข้าน้อยสั่งสอนข้าน้อยอยู่เสมอว่า การเป็นหมอไม่เพียงแต่ต้องมีทักษะการรักษาอันล้ำเลิศ แต่ต้องมีจิตใจเอื้อเฟื้อและมีเมตตาด้วยเพคะ ดังนั้นนี่จึงเป็นจิตวิญญาณของการเป็นหมออีกอย่างหนึ่งเช่นกันเพคะ ข้าน้อยมิอาจลืมคำสั่งสอนของท่านอาจารย์ ข้าน้อยเป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไป ทำได้เพียงพยายามสุดความสามารถเท่าที่มีเพื่อช่วยเหลือผู้ลำบากยากเข็ญก็เท่านั้นเพคะ”
ไท่โฮ่วถึงกับตะลึงงันไปเล็กน้อย นึกเยาะภายในใจ ช่างเป็นการกล่าวอ้างที่ดูทรงเกียรติเสียจริง นางกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ “หมอ มีคุณธรรมแต่ไร้ความสามารถก็ไม่ต่างจากนักต้มตุ๋น ไร้ความสามารถและไร้คุณธรรมยิ่งไม่ต่างจากจอมโกหกหลอกลวง มีทักษะและมีความสามารถถึงจะเรียกได้ว่าหมอ คุณธรรมอันดีงามของอาจารย์เจ้าชวนให้ผู้คนเลื่อมใสศรัทรา ความมีเมตตาจิตของเจ้าก็ควรค่าแก่ได้รับคำยกย่องเช่นกัน เพียงแต่ ยามนี้ตระกูลสามีเจ้าประสบปัญหาใหญ่หลวง เจ้าไม่นึกเดือดเนื้อร้อนใจสักนิดเลยหรือ”
หลินหลันกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนน้อม “กราบทูบไท่โฮ่ว หากข้าน้อยกล่าวว่าไม่เดือดเนื้อร้อนใจก็คงเป็นคำลวงหลอก เพียงแต่ ข้าน้อยเชื่อว่าเรื่องราวทุกเรื่องล้วนมีกฎระเบียบเป็นตัวตัดสิน ไม่ว่าผู้ใดหากกระทำผิดกฎระเบียบก็สมควรได้รับโทษทัณฑ์ตามกฎระเบียบเพคะ ทุกคนล้วนกล่าวว่าฮ่องเต้พระองค์ปัจจุบันเป็นผู้มีพระปรีชาสามารถและมีความชอบธรรมยิ่ง ดังนั้นจะต้องตรวจสอบเรื่องราวจนกระจ่างแจ้งไร้ข้อสงสัย ไม่ปล่อยให้ผู้กระทำผิดลอยนวลไปได้ และต้องมีพระเมตตาไม่ถือโทษเอาความกับคนรุ่นหลังเช่นกันอย่างแน่นอนเพคะ อีกอย่าง ข้าน้อยร้อนใจไปก็ไร้ประโยชน์ มิสู้สงบจิตสงบใจตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดจะดีกว่าเพคะ”
ไท่โฮ่วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย สตรีผู้นี้หากมีจิตใจเช่นนี้จริง คงไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปวันๆ เฉกเช่นผู้อื่นเขาอย่างแน่นอน ใต้หล้าผืนนี้จะมีสักกี่คนหรือที่สงบนิ่งใจเย็นในยามพบเจอปัญหาได้เยี่ยงนางปานนี้ ไท่โฮ่วรู้สึกว่าเรื่องราวมันชักยุ่งยากขึ้นมาเล็กน้อยเสียแล้ว
“หมอหลินช่างน่าทึ่งเสียจริง สมกับที่เป็นภรรยาบัณฑิตหลี่ เราเห็นคุณค่าในความสามารถของบัณฑิตหลี่และชื่นชมในความสงบนิ่งและใจกว้างของหมอหลินด้วยเช่นกัน น่าเสียดายที่หมอหลินไม่เข้าใจเกี่ยวกับกฎมณเฑียรบาลของราชสำนักเรา การกระทำผิดของราชเลขาหลี่ในครานี้ใหญ่หลวง หากทางราชวังลงโทษตามกฎระเบียบที่กำหนดไว้ บุตรหลานผู้เป็นสตรีก็คงต้องถูกจับขังไปด้วย ต่อให้บัณฑิตหลี่ไม่เคยกระทำผิดอันใดเลยก็ตาม” ไท่โฮ่วตรัสด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลินหลันรอคอยคำพูดสุดท้ายของไท่โฮ่วอย่างนิ่งเงียบ ไม่เอื้อนเอ่ยใดๆ
“ด้านหนึ่งให้ดำเนินตามกฎหมายโดยไร้ความเมตตา อีกด้านหนึ่งให้นึกถึงความเป็นผู้มีความสามารถซึ่งพบเจอได้ยากยิ่ง ฮ่องเต้จึงลำบากใจไม่น้อยเช่นกัน เราเห็นอยู่ในสายตาก็อดกลัดกลุ้มมิได้ หากต้องการแก้ไขเรื่องราวนี้อย่างชอบธรรมและเหมาะสม จำเป็นต้องมีเหตุผลและโอกาสอันดีงาม เราจึงมีประสงค์อยากช่วยบัณฑิตหลี่อีกแรง ซึ่งตอนนี้คงขึ้นอยู่กับเจ้าว่าจะยินยอมหรือไม่” ไท่โฮ่วตรัสอย่างใจเย็น
หลินหลันนิ่งเงียบ ช่างเป็นคำพูดที่น่าฟังเสียจริง เหตุผลที่ว่าก็คือให้หมิงอวินกลายเป็นหลานเขยของตระกูลฉิน จะได้ให้หมิงอวินทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อพวกท่านสินะ
สายตาของหลินหลันยังคงสงบนิ่ง นางเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “ขอพระองค์ตรัสมาได้เลยเพคะ”
นางกลับรู้สึกอยากสดับรับฟังสักหน่อยว่าหญิงชราผู้นี้จะพูดออกมาอย่างไร
ไท่โฮ่วส่งสายตาเป็นสัญญาณให้แม่เฉา แม่เฉาจึงแสดงท่าทีให้บรรดานางข้าหลวงถอยออกไปทันที
ไท่โฮ่วเอ่ยปากตรัสอย่างเอ้อระเหย “แม้ตัวบทกฎหมายจะรุนแรง แต่หากมีเหตุผลมากพอก็ให้ความเมตตานอกเหนือกฎหมายได้เช่นกัน วิธีของเราง่ายดายอย่างยิ่ง เพียงแต่เจ้าต้องสละฐานะการเป็นภรรยาของเจ้า”
หลินหลันเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน “ไท่โฮ่วเพคะ โปรดประทานอภัยในความโง่เขลาของข้าน้อยด้วย ข้าน้อยไม่เข้าใจเพคะ การกระทำความผิดของตระกูลหลี่เกิดขึ้นจากตัวข้าน้อยหรือเพคะ ดังนั้นการที่ข้าน้อยสละฐานะการเป็นภรรยาอย่างชอบธรรมแล้วจะช่วยให้ตระกูลหลี่หลุดพ้นจากปัญหาครั้งใหญ่หลวงนี้ได้เช่นนั้นหรือเพคะ”
แม่เฉาซึ่งอยู่ด้านข้างกล่าวเสริม “หมอหลิน เรื่องบางเรื่องทำได้เพียงทำความเข้าใจไว้แต่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยออกไปได้ ในเมื่อไท่โฮ่วให้คำมั่นสัญญาก็ต้องมีความมั่นใจแล้วว่าจะทำให้บัณฑิตหลี่หลุดพ้นจากความยากลำบากนี้ได้ หมอหลินไม่ยินดีให้บัณฑิตหลี่แคล้วคลาดปลอดภัยเช่นนั้นหรือ”
หลินหลันกล่าว “แน่นอนว่าข้าน้อยต้องคาดหวังให้สามีของตนแคล้วคลาดปลอดภัยเจ้าค่ะ แต่น่าเสียดายที่ข้าน้อยเข้าใจอุปนิสัยของสามีตนเองดีเกินไป สามีของข้าน้อยคงไม่ยินยอมให้ข้าน้อยกระทำเช่นนั้นเป็นแน่เจ้าค่ะ”
“บัณฑิตหลี่เป็นบุรุษผู้มีความซื่อสัตย์และจงรักภักดีผู้หนึ่ง เขาไม่ยินยอมละทิ้งเจ้าจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ทว่าหมอหลิน หากเจ้ารักสามีของตนเองด้วยใจจริง การเสียสละเพียงน้อยนิดนี้ก็จะแลกกับความสงบสุขของสามีได้ โอกาสอันดีงามเพียงนี้ ผู้อื่นที่อยากร้องขอก็ยังไม่อาจได้รับโอกาสเช่นนี้ได้เลย!” แม่เฉากล่าวโน้มน้าว
หลินหลันนิ่งเงียบ แม่เฉาจึงคิดว่าหลินหลันเริ่มคล้อยตามเลยกล่าวเสริมขึ้นมาอีกระรอก “หมอหลิน เจ้าเพียงแค่เอ่ยไปว่าเจ้าเกรงกลัวจะติดต่างแหไปด้วย จึงต้องการหย่าร้าง มีหรือบัณฑิตหลี่จะไม่ยินยอมไปได้”
นี่ช่างเป็นลูกไม้ที่ยอดเยี่ยมเสียจริง ให้นางทำตัวเป็นผู้รักตัวกลัวตายจึงทรยศคนรักอย่างเลือดเย็น เรื่องเลวทรามให้นางเป็นคนแบกรับ ส่วนชื่อเสียงอันดีงามของหมิงอวินก็จะไม่เป็นอันเสียหายแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นคือกลบเกลื่อนการกระทำอันเลวทรามของไท่โฮ่วได้อย่างแนบเนียน ขว้างหินก้อนเดียวได้นกถึงสองตัว! หลินหลันลองถามใจตนเอง นางจะยินยอมเสียสละเช่นนี้หรือไม่หากไม่รู้แผนการของไท่โฮ่ว หากเป็นเช่นนั้นนางก็คงยินยอมกระมัง ยินยอมด้วยใจจริง ขอเพียงช่วยชีวิตหมิงอวินได้ นางยินยอมทำทุกสิ่งอย่าง ต่อให้ต้องแบกรับการตราหน้าว่าเป็นคนทรยศก็ตาม? หลินหลันตัดสินใจปรับเปลี่ยนแผนการ โดยหันไปต่อรองดูก่อน ทางที่ดีที่สุดให้ได้พบเจอหมิงอวินสักครั้งก็ยังดี
“หมอหลิน หากเจ้าไม่ยินยอม เช่นนั้นก็คงทำได้เพียงมองดูบัณฑิตหลี่เข้าสู่สถานการณ์แห่งความสิ้นหวังเสียแล้วละ เจ้าจะทำใจได้จริงๆ หรือ” แม่เฉากล่าวข่มขู่
สายตาของหลินหลันลุกวาวขึ้นทันใด นางเงยหน้าขึ้นแล้วกล่าวทันควัน “ไท่โฮ่วเพคะ ทรงประทานอภัยที่ข้าน้อยบังอาจเอ่ยถาม หากข้าน้อยยินยอมหย่าร้างแล้ว ไท่โฮ่วจะช่วยสามีข้าน้อยให้หลุดพ้นความยากลำบากอย่างไรหรือเพคะ”
ไท่โฮ่วคลายปมคิ้วที่ขมวดเข้าหากันและเผยสีหน้าหยิ่งผยองขึ้นมา “เรื่องนี้มิใช่สิ่งที่เจ้าต้องเดือดเนื้อร้อนใจไป เราตรัสออกมาแล้วก็ต้องทำได้อย่างแน่นอน”
“ไท่โฮ่วต้องการหาคู่ครองให้สามีของข้าน้อย อย่างเช่น ให้แต่งงานกับจวิ้นจู่หรือองค์หญิงอะไรทำนองนี้ หลังจากนั้นจึงอาศัยเหตุผลนี้ขอให้ฮ่องเต้ทรงมีพระเมตตาต่อสามีของข้าน้อยใช่หรือไม่เพคะ” หลินหลันซักถาม
ไท่โฮ่วตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นกว่าเดิมหลายเท่าตัว “เจ้าแค่เอ่ยมาว่าจะยินยอมช่วยสามีของเจ้าหรือไม่เท่านั้นก็เป็นพอ”
หลินหลันอมยิ้มเล็กน้อย “ข้าน้อยยินยอมเพคะ ทว่าข้าน้อยมีข้อแม้หนึ่งอย่างเพคะ”
“เจ้าว่ามาสิ”
“ข้าน้อยต้องการพบสามีสักครั้งเพคะ”
ไท่โฮ่วหนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนานแล้วจึงตรัส “เราอนุญาตให้เจ้าได้พบเจอ ทว่าเจ้าต้องจำไว้ว่าเป็นเจ้าเองที่ต้องการหย่าร้าง มิได้มีผู้ใดบีบบังคับเจ้า ต่อหน้าบัณฑิตหลี่ยิ่งไม่อาจเผยสีหน้าลำบากใจแม้แต่น้อย หากเจ้าทำมิได้ เช่นนั้นก็อย่าหาว่าเราไม่รักษาคำพูด ซึ่งไม่เพียงไม่รักษาคำพูด เราจะเอาโทษกับเจ้าสถานหนัก รวมไปถึงหุยชุนถางของเจ้า รวมไปถึงตระกูลเยี่ยก็ด้วย”
การข่มขู่ที่สมกับเป็นการข่มขู่ของจริง ผู้ที่มีอำนาจล้นหลามเมื่อหน้าด้านขึ้นมาก็คงน่าเกรงกลัวเช่นนี้สินะ “ข้าน้อยเข้าใจแล้วเพคะ” หลินหลันกล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจ
ไท่โฮ่วถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วตรัสอย่างใจเย็น “แม่เฉา เจ้าช่วยไปจัดการเรื่องนี้ไว้แล้วกัน อีกอย่าง เรียกขันทีผู้ดูแลราชสำนักฝ่ายในเก็บเรื่องผ้าไหมตระกูลเยี่ยที่อยู่ในเครื่องราชบรรณาการพบปัญหาสีตกสีซีดจางได้เอาไว้เป็นการชั่วคราว”
หลินหลันตระหนกตกใจขึ้นมาชั่ววูบ เห็นทีว่าหญิงชรานี่คงเตรียมพร้อมไว้แต่เนิ่นๆ แล้วจริงๆ ที่ว่าผ้าไหมของตระกูลเยี่ยสีตกสีซีดจางได้นั้น เกรงว่าจะเป็นการกล่าวให้ร้ายเช่นกันกระมัง! เห็นทีว่าเรื่องนี้คงไม่อาจสุดโต่งเกินไปได้ ทำไม่ดีจะพาลให้ตระกูลเยี่ยเผชิญหายนะไปด้วย เอาเถอะ ได้พบหมิงอวินก่อนแล้วค่อยจัดการอีกทีแล้วกัน
หลินหลันถูกไท่โฮ่วเรียกเข้าเฝ้าในพระราชวัง ส่งผลให้เยี่ยเต๋อฮ๋วยและเฉินจื่ออวี้ร้อนรนใจอย่างยิ่ง ทั้งสองปรึกษาหาหรือกันอย่างเร่งด่วนว่าต้องทำเช่นไรถึงจะทำให้หลินหลันออกมาจากวังได้อย่างปลอดภัย แต่จะทำอันใดได้ เรื่องในวังหลังคงจำเป็นต้องให้คนในวังหลังช่วยเหลือถึงจะได้เรื่อง เฉินจื่ออวี้จึงให้หยินหลิ่วไปยังจวนจิ้งปั๋วโหวโดยด่วน เพื่อนำเรื่องนี้บอกกล่าวภรรยาจิ้งปั๋วโหวทราบ ทั้งยังให้ฝูอานไปจวนท่านแม่ทัพฮ๋วยหยวน เพื่อดูว่าภรรยาท่านแม่ทัพฮ๋วยหยวนจะเข้าพบพระสนมคนโปรดของฮ่องเต้ให้ช่วยเหลือหน่อยได้หรือไม่ ส่วนตัวเฉินจื่ออวี้เองก็รีบเข้าพระราชวังไปด้วยเช่นกัน เพื่อดูว่าพอจะหาโอกาสได้บ้างหรือไม่
และในขณะนี้เอง ฮว๋าเหวินเข้าเฝ้าฮ่องเต้ เขากล่าวรายงานสถานการณ์ในส่านซีครั้งนี้โดยนำเรื่องที่หลินหลันเป็นผู้คิดค้นวิธีการรักษาโรคฝีดาษกราบทูลฮ่องเต้
ฮ่องเต้เกิดความนึกคิดบางอย่างหลังได้สดับรับฟัง ฮว๋าเหวินไป่กับหลินหลันอยู่ในขอบเขตที่เรียกว่าเป็นแพทย์ได้โดยแท้จริง ทักษะการรักษาของทั้งสองเป็นเช่นนั้นไรคงไม่ต้องให้สาธยาย การที่คิดวิธีการรักษาโดยการปลูกฝี ช่วยให้ปวงประชาจำนวนมากอยู่รอดปลอดภัย คุณงามความดี ความซื่อสัตย์ ความอ่อนน้อมถ่อมตนของทั้งสองคนถือเป็นเรื่องอันทรงคุณค่าอย่างยิ่ง ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม จะต้องมอบรางวัลอย่างงามให้ทั้งสองคนนี้ เพื่อให้เป็นแบบอย่างของหมอสืบต่อไป
ฮ่องเต้ยังคงไตร่ตรองว่าจะมอบรางวัลให้ทั้งสองอย่างไรดี หร่วนกงกงเดินเข้ามาอย่างเงียบๆ แล้วเอื้อนเอ่ยข้างใบหูของฮ่องเต้ชั่วครู่หนึ่ง ทันใดนั้นสีหน้าของฮ่องเต้เปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เจ้ารีบไปตำหนักไท่โฮ่วแล้วบอกให้หมอหลินมาทีนี่”
หร่วนกงกงโน้มตัวลงเบื้องหน้าเล็กน้อยเพื่อแสดงออกถึงการน้อมรับบัญชา
ฮว๋าเหวินไป่ตระหนกตกใจขึ้นมาชั่ววูบ หลินหลันอยู่ในตำหนักไท่โฮ่วเช่นนั้นหรือ คงไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้นแล้วกระมัง
หร่วนกงกงรีบมุ่งไปยังตำหนักไท่โฮ่วโดยเร็ว ซึ่งหลินหลันยังคงไม่ไปไหน
เมื่อได้ยินหร่วนกงกงบอกกล่าว สีหน้าของไท่โฮ่วมืดหม่นลงทันทีก่อนตรัสถามขึ้น “ฮ่องเต้รู้ได้อย่างไรกันว่าหมอหลินอยู่ที่นี่”
หร่วนกงกงได้ฟังน้ำเสียงไม่สู้ดีนักของไท่โฮ่ว จึงฉีกยิ้มเบิกบานแล้วกล่าวขึ้น “การขจัดโรคฝีดาษระบาดในมณฑลส่านซีครั้งนี้ นับว่าหมอหลินได้สร้างคุณประโยชน์ครั้งใหญ่หลวง ฮ่องเต้จึงต้องการให้หมอหลินเข้าเฝ้าพะย่ะค่ะ ข้าน้อยไปยังหุยชุนถางมาถึงได้รู้ว่าไท่โฮ่วทรงเรียกหมอหลินเข้าเฝ้า นางจึงเข้ามาในวังแล้ว หากข้าน้อยรู้แต่แรกก็คงไม่เสียเที่ยวไปไกลเพียงนั้นพะย่ะค่ะ”
ไท่โฮ่วสบตากับแม่เฉา มีเรื่องประจวบเหมาะปานนี้เชียวหรือ ในเมื่อฮ่องเต้รู้ว่าหลินหลันอยู่ที่นี่ แน่นอนว่านางจะไม่ปล่อยคนเขาไปก็คงไม่ได้ ไท่โฮ่วจึงตรัสอย่างนุ่มนวล “เราได้ยินหมอหลินมียาดีสำหรับแก้อาการปวดศีรษะข้างเดียว จึงตั้งใจเรียกนางเข้าวังมาถามไถ่ หมอหลิน ที่เราบอกเจ้าไว้ เจ้าคงจำได้ขึ้นใจทั้งหมดแล้วสินะ”
หลินหลันกล่าวอย่างนอบน้อม “ข้าน้อยจำขึ้นใจแล้วเพคะ”
ไท่โฮ่วพยักหน้าและตรัสอย่างใจเย็น “จำได้ก็ดี อย่าลืมเชียวล่ะ หากกระทำผิดพลาดไป รักษาอาการปวดศีรษะข้างเดียวของเรามิได้ เราคงจะต้องเอาความผิดกับเจ้า”
นี่ถือเป็นคำเตือนที่เข้าใจได้ไม่ยาก คำเตือนว่านางอย่าได้เที่ยวพูดจาเพ้อเจอต่อพระพักตร์ฮ่องเต้
หลินหลันเผยรอยยิ้มอ่อนหวานพร้อมกับคารวะนางด้วยความเคารพ แล้วจึงเดินถอยตามหร่วนกงกงออกไป
หลังออกพ้นตำหนักของไท่โฮ่ว หร่วนกงกงแอบปาดเหงื่อและบอกกล่าวด้วยความหวังดี “หมอหลิน การที่ฮ่องเต้ทรงเรียกให้เข้าเฝ้าถือเป็นโอกาสดีอันหาได้ยากยิ่ง เจ้าต้องไขว่คว้าเอาไว้ให้ดีๆ ล่ะ”
หลินหลันกล่าวด้วยความซาบซึ้งในน้ำใจ “ขอบพระคุณกงกงที่บอกกล่าวนะเจ้าคะ”
คาดไม่ถึงว่าการเข้าวังมาครั้งหนึ่ง ไม่เพียงแค่ได้พบเจอไท่โฮ่วแ ต่ยังจะได้พบเจอฮ่องเต้อีกด้วย การกระทำครั้งนี้ได้รับผลตอบแทนไม่น้อยทีเดียวเชียว! หลินหลันยิ้มเล็กยิ้มน้อยด้วยความพึงพอใจ เมื่อครู่หร่วนกงกงเอ่ยต่อหน้าไท่โฮ่วว่านางได้สร้างคุณประโยชน์ครั้งใหญ่หลวง เช่นนั้นฮ่องเต้ก็น่าจะประทานรางวัลให้แก่นางกระมัง! ฮ่องเต้จะถามนางหรือไม่ว่าต้องการรางวัลประเภทใด หากถามขึ้นมาจริงๆ นางจะกล่าวออกไปได้หรือไม่ว่าต้องการให้คืนหมิงอวินให้แก่นาง หลินหลันคิดเพ้อฝันไปไกล
ทันทีที่หลินหลันออกไปแล้ว สีหน้าของไท่โฮ่วเคร่งขรึมขึ้นทันทีทันใด “เรื่องสถานการณ์โรคระบาดที่ส่านซีนั่นไปเกี่ยวข้องกับหมอหลินได้อย่างไรกัน”
แม่เฉากล่าวขึ้นมาเช่นกัน “มันแปลกอยู่เหมือนกันนะเพคะ หมอหลินนี่ไม่เคยไปส่านซีมิใช่หรือ แล้วมันไปเกี่ยวกับนางอย่างไรล่ะเพคะ”
ไท่โฮ่วตรัสอย่างครุ่นคิด “หากเป็นเรื่องจริง เกรงว่าเรื่องนี้คงมีอันต้องเปลี่ยนแปลงเสียแล้ว”
“นั่นสิเพคะ! หากหมอหลินสร้างคุณประโยชน์ใหญ่หลวงจริง นี่ก็คงเป็นการยากแล้วเพคะ” แม่เฉากล่าวด้วยความกังวลใจเช่นกัน เรื่องนี้ใกล้สำเร็จแล้วแท้ๆ อย่าได้เกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้นมาก็เป็นพอ
ไท่โฮ่วนิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนตรัสขึ้น “เจ้าไปสืบถามมาทีสิ ลองดูสิว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”