ฮ่องเต้รู้สึกประหลาดใจในตัวหมอหลินที่ได้ยินคำร่ำลือมาเนิ่นนานท่านนี้อย่างยิ่ง เพราะนางเป็นภรรยาของหลี่หมิงอวินซึ่งเป็นเพียงสตรีธรรมดาผู้หนึ่งที่มีภูมิหลังเป็นครอบครัวชาวชนบท เป็นเพราะความสามารถที่พบเจอได้น้อยคนนัก หรือเป็นเพราะรูปลักษณ์งดงามประดุจดอกไม้ของนางถึงคว้าหัวใจของหลี่หมิงอวินไว้ได้ นางมาอยู่ในเมืองหลวงเพียงระยะเวลาปีเดียวก็กลายเป็นที่กล่าวขานในแง่ดีท่ามกลางแวดวงสตรีในเมืองหลวง แม้แต่พระสนมในวังต่างเอ่ยถึงวิธีการบำรุงด้วยตำรับอาหารของนางขึ้นมาเป็นระยะๆ แล้วยังเพราะหลังตระกูลหลี่เกิดเรื่องราวขึ้น นางกลับจัดการเรื่องราวได้โดยไม่ตื่นตระหนก แล้วยังจัดการตรวจรักษาการกุศลเป็นเวลาครึ่งเดือนติดต่อกันจนนำมาซึ่งชื่อเสียงให้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวง ยิ่งไปกว่านั้น เพราะวิธีการรักษาโรคฝีดาษที่เกิดขึ้นโดยฝีมือนาง…ด้วยเรื่องราวนานาประการนี้ จึงทำให้เขาต้องมองสตรีผู้นี้ในมุมมองใหม่
ยามนี้สตรีผู้นี้กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าเขา ฮ่องเต้มองสำรวจอย่างละเอียด หากกล่าวถึงรูปลักษณ์ จัดว่าเป็นสตรีหน้าตาสะสวยในระดับหนึ่ง ด้วยผิวพรรณขาวผุดผ่องประดุจหิมะ ละเอียดเนียนประดุจเครื่องเคลือบ กลีบปากเรียวหยักได้รูปอย่างเป็นธรรมชาติแสดงให้เห็นถึงความอ่อนโยนและน่าใกล้ชิดเป็นอย่างยิ่ง ทั้งหมดนี้ทำให้อดเกิดความรู้สึกดีๆ ด้วยมิได้ เมื่อมองดูอีกระลอก ความนิ่งสงบประดุจผิวน้ำ ดูผ่อนคลายไร้ความกังวล ท่าทีเช่นนี้กลับเสมือนถอดแบบหลี่หมิงอวินออกมาก็ว่าได้
เมื่อเข้ามาในพื้นที่นี้ หลินหลันอดรู้สึกประหม่าเล็กน้อยไม่ได้ แต่นางยังคงรักษาท่าทีสงบนิ่งไว้เท่านั้นเอง ในเมื่อผู้ที่นางเผชิญหน้าคือผู้ปกครองบ้านเมือง ผู้ยิ่งใหญ่ใต้หล้าผืนนี้ โชคดีที่ฮว๋าเหวินไป่ก็อยู่ด้วยเช่นกัน หัวใจของหลินหลันจึงรู้สึกผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“ได้ยินท่านหมอฮว๋าคนเก่งของข้าเอ่ยว่า เจ้าเป็นผู้คิดวิธีการรักษาโดยการปลูกฝีนี้ออกมาหรือ” น้ำเสียงของฮ่องเต้เนิบช้าและอ่อนโยน แม้เป็นคำถามแต่กลับให้ความรู้สึกที่ไร้ความเคลือบแคลงใจใดๆ
หลินหลันสูดลมหายใจเข้าลึกโดยไม่เผยร่องรอยให้เห็น แล้วจึงกล่าวตอบ “ข้าน้อยเพียงแค่พิจารณาจากทฤษฎีในบันทึกโบราณของตำราแพทย์อย่างละเอียดแล้วหาขอสรุปออกมาเพคะ เป็นท่านหมอฮว๋าต่างหากเพคะที่ยอมเสี่ยงทดลองกับตนเอง ทุ่มเทแรงกายแรงใจด้วยความเหน็ดเหนื่อย หลังผ่านการทดสอบหลายครั้งถึงได้ยาที่น่าเชื่อถือและปลอดภัยมาจนได้เพคะ”
ฮว๋าเหวินไป่รีบกล่าวทันควัน “ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน หมอจำนวนไม่น้อยเพียรพยายามหาวิธีรักษาต้นตอโรคฝีดาษแต่กลับไม่อาจค้นพบ แต่ด้วยทักษะอันล้ำเลิศของหมอหลินเองจึงกล้าที่จะผลักดันข้อสรุปออกมา ซึ่งเป็นเสมือนกุญแจทองดอกหนึ่งที่เปิดประตูบานนี้ได้ ทำให้คนที่จนปัญญาเกิดปัญญาใหม่ๆ ขึ้นมา เสมือนท่ามกลางราตรีอันมืดมิดได้เห็นแสงไฟนำทาง ดังนั้น จะไม่ให้หมอหลินมีคุณงามความดีไปได้อย่างไรกัน!”
หลินหลันรู้สึกเกรงใจอย่างยิ่งเมื่อได้ยินฮว๋าเหวินไป่กล่าวชื่นชมนางอย่างเต็มที่ จึงกล่าวอย่างทำตัวไม่ถูก “หมอฮว๋ากล่าวชมกันเกินไปแล้วเจ้าค่ะ หลินหลันมิบังอาจมีส่วนร่วมในผลงานครั้งนี้ด้วยจริงๆ เจ้าค่ะ”
ฮ่องเต้เห็นทั้งสองคนถ่อมตนเพียงนี้ ต่างฝ่ายต่างคิดผลักคุณงามความดีให้อีกฝ่าย ภายในใจรู้สึกปลาบปลื้มยิ่งนัก ทั่วทั้งราชสำนัก ผู้ที่มีจิตใจกว้างขวางและไม่นึกถึงแต่ผลประโยชน์ชื่อเสียงเช่นนี้มันน้อยคนนักจริงๆ
“พวกเจ้ามิจำเป็นต้องผลักผลงานให้อีกฝ่ายไปหรอก การเสนอข้อสรุปแนวทางการรักษาของหมอหลินผนวกกับความเพียรพยามของหมอฮว๋า ถึงได้มีวิธีการปลูกฝีนี้ขึ้นมาได้ ทำให้ปวงประชาผาสุกได้และไม่ต้องได้รับความทุกข์จากโรคฝีดาษอีก ซึ่งนี่ถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่ควรค่าแก่การจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ แน่นอนว่าเราต้องขอมอบรางวัลให้เพื่อเป็นสิ่งตอบแทนคุณงามความดีในครานี้” ฮ่องเต้ตรัสด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
หลินหลันและฮว๋าเหวินไป่จึงสงบนิ่งลงทันที
ฮ่องเต้เผยสีหน้าครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนตรัสขึ้น “หมอฮว๋า ตระกูลฮว๋าของพวกเจ้าเป็นตระกูลผู้มีความรู้ทางด้านการแพทย์ บรรพบุรุษและบุตรหลานหลายต่อหลายรุ่นต่างเป็นหมอหลวงทั้งนั้น เราจึงขอแต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้รับผิดชอบกิจการโรงหมอหลวงขั้นสี่ ผู้ควบคุมดูแลฝ่ายหมอหลวง”
ฮว๋าเหวินไป่ตกตะลึงและคุกเข่าลงพร้อมกล่าวขึ้น “ฮ่องเต้ ข้าน้อยยังด้อยประสบการณ์ยิ่งนัก โรงหมอหลวงยังต้องการความก้าวหน้าอีกยาวไกล ข้าน้อยเกรงว่าจะนำพาไปสู่ความสำเร็จอันรุ่งโรจน์ไม่ได้พะย่ะค่ะ”
แม้เอ่ยว่าตระกูลฮว๋ารับตำแหน่งหมอหลวงมาหลายต่อหลายรุ่น ทว่าท่านปู่ของเขาตำแหน่งสูงสุดก็ทำได้เพียงขั้นห้าในฐานะที่ปรึกษาทางการหลวงเท่านั้น ส่วนบิดาจนถึงปัจจุบันนี้ก็แค่หมอหลวงขั้นหก ดังนั้นการที่ฮ่องเต้แต่งตั้งให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบกิจการโรงหมอหลวงขั้นสี่ จึงทำให้ฮว๋าเหวินไป่รู้สึกละอายแก่ใจเล็กน้อย
“เอ้! หมอฮว๋าอย่าได้ปฏิเสธไปเลย ทักษะการแพทย์ของเจ้า คุณธรรมความดีของเจ้า การเข้ารับตำแหน่งผู้รับผิดชอบกิจการโรงหมอจึงมิใช่อะไรที่ต้องละอายแก่ใจเลยสักนิด เราขอฝากความหวังไว้ที่เจ้า” ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
เหวินฮว๋าไป่จึงไม่กล้าปฏิเสธอีก ทำได้เพียงก้มศีรษะน้อมรับความพระเมตตา
ฮ่องเต้พยักหน้าด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงเบนสายตาไปยังหลินหลันแล้วตรัสอย่างใจเย็น “ราชวงศ์เรามิเคยมีสตรีเป็นหมอหลวงมาก่อน ทว่าทักษะการแพทย์ของหมอหลินล้ำเลิศเกินคน ทั้งยังจิตใจดีมีเมตตา เป็นแบบอย่างที่ดีของการเป็นหมอ เราจึงขอแต่งตั้งเจ้าให้เป็นหมอหลวงขั้นหกเป็นการพิเศษ แน่นอนว่า เจ้ามิจำเป็นต้องไปโรงหมอหลวงทุกวันเพื่อปฏิบัติหน้าที่ หุยชุนถางของเจ้าเป็นนามที่เราประทานให้ หวังว่าเจ้าจะดำเนินกิจการหุยชุนถางให้อย่างดี ทำให้ปวงประชาได้รับผลประโยชน์มากยิ่งๆ ขึ้น”
ตอนแรกหลินหลันคิดว่าเมื่อแต่งตั้งนางเป็นหมอหลวง จะมิเท่ากับต้องไปปฏิบัติงานทุกวันหรอกหรือ การเป็นเจ้าหน้าที่หลวงมีหรือจะอิสระได้เท่ากับเป็นเถ้าแก่ร้านของตนเอง จึงไม่ค่อยอยากน้อมรับเท่าใดนัก แต่เมื่อได้ยินฮ่องเต้ตรัสว่าไม่ต้องเข้าไปปฏิบัติหน้าที่เช่นเจ้าหน้าที่ทั่วไปก็ได้ นี่มิเท่ากับการได้แขวนชื่อไว้ในนามหมอหลวงหรอกหรือ ยามที่ในวังมีความต้องการก็แค่เข้าไปชั่วครั้งชั่วคราว โดยปกติแล้วยังคงดำเนินกิจการหุยชุนถางของตนเองได้ ยังคงมีอิสระได้ดังเดิม หลินหลันจึงรู้สึกดีอกดีใจและรีบกล่าวขอบพระทัยทันที
ฮ่องเต้นิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนตรัสขึ้นอย่างลังเลใจ “หมอหลิน หากเจ้ามีคำขออื่น ขอเพียงเอ่ยออกมา เราจะรับพิจารณาด้วยความเต็มใจ”
หลินหลันรู้สึกหัวใจเต้นระรัวขึ้นฉับพลัน ฮ่องเต้ตรัสเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน อยากให้นางใช้โอกาสนี้ขอพระราชทานอภัยโทษให้หมิงอวินเช่นนั้นหรือ
ฮว๋าเหวินไป่รู้สึกดีอกดีใจไม่แพ้กัน นี่คงเป็นโอกาสดีที่ยากจะพบเจอได้ของจริง
เมื่อเผชิญหน้ากับโอกาสอันดีงามเช่นนี้ หลินหลันกลับลังเลใจขึ้นมาเสียแล้ว ยิ่งเจรจาต่อรองได้มากเท่าใด ยิ่งต้องระมัดระวังรอบคอบมากขึ้นเท่านั้น หากฮ่องเต้ไม่ได้หมายความเช่นนี้ มิเท่ากับจะกลายเป็นหาเรื่องเพิ่มงานหรอกหรือ ช่างเถอะ โอกาสที่สูญเสียไปแล้วคงไม่อาจหวนกลับคืนมาอีกครั้ง อีกอย่างเมื่อครู่นี้ขันทีอาวุโสผู้นั้นบอกกล่าวนางไว้แล้วด้วย หลินหลันลองชั่งใจดูแล้วจึงตัดสินใจไม่บอกกล่าวไปตามตรง ขณะที่กำลังอ้ำอึ้ง กลับมองเห็นประกายนัยน์ตาของฮ่องเต้ที่เคลือบไว้ด้วยความประหลาดใจ เพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น หลินหลันอดตื่นตกใจไม่ได้ คำพูดที่ติดกับขอบปากกลับกลืนลงท้องไปอีกครั้ง หลังไตร่ตรองดูอีกครั้งจึงกล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง “กราบทูลฮ่องเต้ ข้าน้อยไม่มีคำขออื่นใดเพคะ”
ดูเหมือนฮ่องเต้ประหลาดใจเล็กน้อย “ไม่มีจริงหรือ”
ฮว๋าเหวินไป่ร้อนรนใจจนเกือบหลุดปากย้ำเตือน แต่เพราะความน่าเกรงขามของฮ่องเต้ จึงไม่กล้าก่อเรื่องอันใด
แม้แต่หร่วนกงกงที่อยู่ด้านข้างก็แอบร้อนรนใจจนกำหมัดแน่น หมอหลินหนอหมอหลิน มิใช่เราบอกกล่าวเจ้าไว้แล้วหรือ เหตุใดถึงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อกลับไม่เอื้อนเอ่ยออกมาล่ะ
“กราบทูลฮ่องเต้ ข้าน้อยไม่มีคำขออื่นจริงๆ เพคะ” หลินหลันกล่าวด้วยเสียงบางเบา ภายใต้สีหน้าที่เศร้าสลดลง
ภายในตำหนักตกอยู่ในความเงียบสงัดขึ้นมาทันที ตามด้วยบรรยากาศตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด
เนิ่นนานพอตัว ฮ่องเต้ถึงได้ตรัสขึ้น “หรือหมอหลินไม่คิดจะช่วยพูดอันใดเพื่อบัณฑิตหลี่เลยหรือ”
หลินหลันเม้มริมฝีปากก่อนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ข้าน้อยคิดเพคะ ทว่าข้าน้อยมิอาจทำได้ ถูกหรือผิด ฮ่องเต้ล้วนมีข้อสรุปอยู่ในพระทัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ข้าน้อยจึงมิบังอาจอาศัยคุณประโยชน์อันต่ำต้อยร้องขอให้ฮ่องเต้อภัยโทษแก่สามีของข้าน้อยได้ ข้าน้อยมิบังอาจทำให้ฮ่องเต้ทรงลำบากใจเพคะ”
ฮ่องเต้แอบชื่นชมอยู่ลึกๆ ช่างเป็นสตรีที่ฉลาดหลักแหลมผู้หนึ่ง เมื่อครู่เขาเพียงแค่ลองหยั่งเชิงเพื่อดูว่านางจะทะนงตนจนลืมไปว่าสิ่งที่ได้มานั้น ได้มาด้วยเหตุอันใด จนคิดว่าด้วยคุณงามความดีเหล่านี้ของตนก็จะทำให้เขาปล่อยหลี่หมิงอวินไปได้ หากเป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้นนางก็คงไม่ต่างจากพวกที่เห็นแก่ผลประโยชน์และชื่อเสียง
“อ้อ? ที่เจ้าเอ่ยว่าถูกหรือผิด เราล้วนมีข้อสรุปอยู่ในใจอยู่แล้ว เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเราจะสรุปอย่างไรหรือ” ฮ่องเต้จงใจสร้างความลำบากใจให้นางสักหน่อย ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่านางจะให้คำตอบเช่นไร
หลินหลันสูดลมหายใจเข้าลึก กล่าวอย่างไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง “ข้าน้อยมิบังอาจล่วงเกินไปถึงความนึกคิดของฝ่าบาทเพคะ สามีของข้าน้อยเคยกล่าวไว้ว่า ฮ่องเต้เป็นบุรุษผู้เปี่ยมไปด้วยพระปรีชาสามารถและมีคุณธรรมอันดีงามอย่างที่ปรากฏในประวัติศาสตร์ได้น้อยครั้งนัก ฮ่องเต้ทรงมีพระทัยกว้างขวาง ความนึกคิดทั้งหมดทั้งมวลเห็นปวงประชาเป็นสำคัญ ดังนั้น ไม่ว่าฝ่าบาทจะมีข้อสรุปเช่นไร ข้าน้อยและสามีของข้าน้อยล้วนเคารพในการตัดสินของฝ่าบาทเพคะ สามีของข้าน้อยยังเคยกล่าวว่า ขอเป็นผู้ทรงเกียรติสง่าผ่าเผย ไม่ขอมีชื่อเสียงจารึกในประวัติศาสตร์ แต่ขอไม่ต้องรู้สึกละอายแก่ใจในสิ่งที่ตนกระทำเพคะ ข้าน้อยเชื่อว่าสามีของข้าน้อยเป็นสามีที่ยอดเยี่ยมผู้หนึ่ง คงไม่สุขใจไปได้หากข้าน้อยเป็นเสมือนสตรีไร้ความนึกคิด ร้องห่มร้องไห้อ้อนวอนยามอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ ทำให้ฮ่องเต้ลำบากพระทัยเพคะ”
ฮ่องเต้อดลอบเอ่ยว่ายอดเยี่ยมไม่ได้ สตรีดีๆ ที่รู้จักพูดจักจาผู้หนึ่ง ปากไม่เอื้อนเอ่ยถึงคำพูดที่ต้องการร้องขอความเห็นใจให้สามีแม้แต่คำเดียว กลับมีประสิทธิผลเสียยิ่งกว่าการอ้อนวอน สมกับที่เป็นภรรยาของหลี่หมิงอวิน ฉลาดหลักแหลม รู้จักอดกลั้น มีความยุติธรรม แล้วยังเจ้าเล่ห์อยู่นิดหน่อยอีกด้วย สตรีเช่นนี้จะไม่ให้คนเขารักใคร่ได้อย่างไรหรือ เห็นทีว่าแผนการของไท่โฮ่วครั้งนี้คงต้องเสียแรงเปล่าแล้ว