“หมอหลินเข้าใจในความชอบธรรมอย่างลึกซึ้ง เราปลื้มใจยิ่งนัก ในเมื่อเราให้คำมั่นสัญญาความปรารถนาหนึ่งแก่เจ้า เราก็จะรักษาคำพูดของตนเอง” ฮ่องเต้ครุ่นคิดอีกครั้งก่อนปลดตราหยกหนึ่งชิ้นที่ห้อยอยู่ช่วงเอวแล้วลุกขึ้นยืนเดินมาเบื้องหน้า “เราขอมอบตราหยกนี้ให้เจ้า เมื่อใดที่เจ้าต้องการร้องขอความช่วยจากเรา ก็ถือตราหยกนี้มาเข้าเฝ้าเรา!” ฮ่องเต้ตรัสอย่างใจเย็น
หลินหลันยังคงเผยสีหน้าสงบนิ่งดังเดิม ทว่าภายในใจกลับดีอกดีใจอย่างยิ่ง ฮ่องเต้มีรับสั่งให้คำมั่นสัญญาแก่นางหนึ่งสิ่ง ในมือนางจึงเท่ากับมีใบเบิกทางของฮ่องเต้เพิ่มขึ้นมาหนึ่งแผ่น ซึ่งมีประโยชน์อย่างใหญ่หลวงเมื่อต้องการใช้มัน นางจึงกล่าวขอบพระทัยในทันทีทันใด “หลินหลันขอบพระทัยฮ่องเต้ที่ทรงเมตตา ขอฮ่องเต้ทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนานเพคะ”
รอกระทั่งหลินหลันและฮว๋าเหวินไป่ถอยออกไปแล้ว หร่วนกงกงจึงหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง “ฮ่องเต้พะย่ะค่ะ หากหมอหลินเอ่ยปากขอให้ฮ่องเต้ทรงอภัยโทษให้แด่บัณฑิตหลี่ ฮ่องเต้จะทรงเมตตาหรือไม่พะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้กวาดสายตามองไปยังหร่วนกงกงด้วยสีหน้าเรียบเฉย และตรัสอย่างสบายอกสบายใจ “หร่วนฝูเสียงหนอ หร่วนฝูเสียง เจ้าปรนนิบัติข้างกายเรามาตั้งหลายปี กลับไม่สู้หมอหลินที่เข้าใจความนึกคิดของเราเสียได้…”
หร่วนกงกงถึงกับเหงื่อตก ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ยากเกินกว่าจะคาดเดาได้ ใครจะรู้ได้ว่าฮ่องเต้ท่านนึกคิดอันใดกันแน่
หลังออกจากตำหนักมโหฬาร ท้ายที่สุดฮว๋าเหวินไป่อดเอ่ยปากถามหลินหลันไม่ได้ “โอกาสที่ดีงามเมื่อครู่นี้ เหตุใดท่านถึงไม่ใช้โอกาสนี้ร้องขออภัยโทษให้บัณฑิตหลี่”
หลินหลันเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน “ท่านไม่คิดว่าการที่ข้าไม่ร้องขอมันดียิ่งกว่าหรอกหรือ”
ฮว๋าเหวินไป่ส่ายหน้าทันที
“ตอนแรกข้าเองก็อยากร้องขอ แต่เมื่อลองไตร่ตรองลงลึกในรายละเอียด การที่ฮ่องเต้ตรัสถามเช่นนี้ ดูเป็นการส่งสารหนึ่งให้แก่ข้า ฮ่องเต้มีเมตตาต่อหมิงอวิน ทว่าฮ่องเต้ไม่อาจตรัสประทานอภัยโทษโดยง่ายเพียงเพราะคุณประโยชน์อันน้อยนิดนี้ของข้า ซึ่งเหตุผลในนี้เกี่ยวข้องกับคนบางส่วน คนที่ฮ่องเต้ไม่อาจไม่คำนึกถึงได้ ฮ่องเต้ทั้งต้องปกป้องขุนนางผู้ที่โปรดปราน ทั้งต้องคำนึกถึงหน้าตาของใครบางคน…” หลินหลันลูบคลำตราหยกแล้วถอนหายใจออกมา “ไม่ใช่อะไรที่ง่ายดายเพียงนั้นเลยจริงๆ!”
ฮว๋าเหวินไป่พอจะเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย “เป็นเพราะไท่โฮ่วใช่หรือไม่”
ขณะพูดคุย เสียงเรียกที่เต็มไปด้วยความร้อนใจของใครบางคนดังขึ้น “พี่สะใภ้…”
หลินหลันจ้องมองไป เห็นเฉินจื่ออวี้กำลังเดินมุ่งเข้ามาด้วยสีหน้ากระวนกระวาย
หลินหลันเผยสีหน้าประหลาดใจขึ้นมาชั่ววูบก่อนหันไปเอ่ยกับฮว๋าเหวินไป่ “พี่เหวินไป่ เรื่องนี้มันซับซ้อนไม่น้อย ไม่อาจอธิบายให้กระจ่างชัดแจ้งด้วยคำพูดเพียงสองสามประโยค ท่านช่วยเหลือข้าไว้ได้อย่างใหญ่หลวง หลินหลันไม่รู้ว่าควรขอบคุณท่านอย่างไรดี รอเรื่องราวมีบทสรุปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลินหลันจะไปขอบคุณท่านถึงที่อีกครั้งนะเจ้าคะ”
เหวินฮว๋าไป่เข้าใจความหมายของหลินหลัน นางไม่อยากดึงเขาเข้ามาพัวพันด้วยนั่นเอง เขาจึงกล่าว “เหวินไป่เพียงแค่พูดความจริงเท่านั้นเอง หมอหลินมิต้องขอบคุณใดๆ ทั้งนั้น เหวินไป่ต่างหากที่รู้สึกละอายแก่ใจ หากหมอหลินมีอันใดต้องการให้เหวินไป่ช่วยเหลือ อย่าได้เกรงใจกันเป็นอันขาดนะขอรับ เหวินไป่ยังคงยืนยันคำเดิม อะไรที่ช่วยเหลือท่านได้ เหวินไป่ยินดีอย่างยิ่งขอรับ”
หลินหลันกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ “หากมีความต้องการ หลินหลันจะไม่เกรงใจแน่นอนเจ้าค่ะ”
ฮว๋าเหวินไป่มองดูเฉินจื่ออวี้แล้วยกสองมือขึ้นคารวะให้แด่ทั้งสองคน “เช่นนั้นข้าขอตัวลาก่อนแล้วกันขอรับ”
หลินหลันโน้มตัวโค้งลงเบื้องหน้าเล็กน้อยเป็นการคารวะให้ และมองดูฮว๋าเหวินไป่กระทั่งหายลับตาไป หลังจากนั้นจึงกล่าวกับเฉินจื่ออวี้ด้วยสีหน้าประหลาดใจ “พี่เฉิน พวกเราไปบ้านตระกูลเยี่ยกันเถอะ”
เฉินจื่ออวี้หันไปสั่งการเหวินซานทันทีหลังออกจากพระราชวัง “เจ้ารีบไปจวนท่านจิ้งปั๋วโหวและจวนท่านแม่ทัพฮ๋วยหยวนเพื่อรายงานว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี”
เหวินซานเห็นนายหญิงสะใภ้รองออกจากวังมาอย่างปลอดภัย จึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก “ข้าน้อยจะรีบไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”
เฉินจื่ออวี้เอ่ยอธิบายต่อหลินหลัน “ทันทีที่ข้าได้รับข่าวคราวก็เลยให้หยินหลิ่วไปบอกกล่าวภรรยาท่านจิ้งปั๋วโหวกับภรรยาท่านแม่ทัพฮ๋วยหยวน เวลานี้พวกนางคงกำลังคิดหาวิธีว่าจะพาพี่สะใภ้ออกมาจากทางด้านไท่โฮ่วนั่นอย่างไรดี ในเมื่อพี่สะใภ้ออกมาแล้ว พวกนางจะได้มิต้องลำบากไปด้วยขอรับ”
หลินหลันพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวด้วยความรู้สึกผิด “เป็นการรบกวนทุกคนแล้วจริงๆ”
ทั้งสองกลับไปถึงตระกูลเยี่ย เยี่ยเต๋อฮ๋วยกำลังรอฟังข่าวคราวด้วยความร้อนรนใจจนนั่งไม่ติด เมื่อเห็นหลินหลันกลับมาอย่างปลอดภัยพร้อมสีหน้าที่แสดงให้เห็นถึงความสบายใจ จึงเอ่ยซักถาม “ไท่โฮ่วเรียกเจ้าเข้าเฝ้าแล้วพูดอันใดบ้างหรือ”
หลินหลันแสดงสัญญาณเป็นการบอกกล่าวให้ผู้อื่นในห้องออกไปจนหมดแล้วจึงนำความของไท่โฮ่วบอกกล่าวทั้งสองคน เยี่ยเต๋อฮ๋วยเดือดดาลอย่างยิ่งจึงกล่าวด้วยอารมณ์หงุดหงิด “นี่มันเกินไปแล้ว ต่ำช้าเสียเหลือเกิน นางก็ช่างกล่าวออกมาได้ บทเลวทรามให้ผู้อื่นกระทำ ส่วนบทคนดีนางรับไว้เอง ช่างเป็นสตรีที่ทั้งเลวทรามทั้งร้ายกาจเสียจริงเชียว”
เฉินจื่ออวี้ถึงกับสะดุ้งเฮือก เขารีบกล่าวเกลี้ยกล่อมทันทีทันใด “ท่านลุงขอรับ อย่างไรก็ต้องระมัดระวังคำพูดไว้หน่อยนะขอรับ”
“ระมัดระวังบ้าบออันใด นางกล้าทำเรื่องประเภทนี้แล้วยังต้องกลัวคนเขาว่ากล่าวอีกหรือ” เยี่ยเต๋อฮ๋วยกล่าวด้วยความเดือดดาล
หลินหลันโกรธเกรี้ยวจนปล่อยผ่านไปแล้ว ยามนี้นางจึงกล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่งเยือกเย็น “จื่ออวี้พูดถูกเจ้าค่ะ ที่นางทำถึงจะเกินไปแต่จะทำอย่างไรได้ ในเมื่อนางเป็นไท่โฮ่ว กระทั่งฮ่องเต้ยังต้องปฏิบัติต่อนางโดยไตร่ตรองซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกเราจึงต้องระมัดระวังไว้หน่อยจะเป็นการดีเจ้าค่ะ”
เยี่ยเต๋อฮ๋วยพยายามสกัดกลั้นความโกรธเกรี้ยวแล้วเอ่ยถาม “เช่นนั้นเจ้าตอบตกลงนางไปแล้วหรือ”
หลินหลันแสยะยิ้มเล็กน้อย “จะตอบตกลงนางโดยแท้จริงได้อย่างไรกันเจ้าคะ ก็แค่แสร้งแสดงความนอบน้อมและคล้อยตามไปเท่านั้น มิเช่นนั้น หากทำให้นางร้อนรนใจไป คงเป็นการพูดได้ยากว่าข้าจะรอดพ้นออกมาได้หรือไม่ ซึ่งคงเรียกได้ว่าเป็นการ ‘ยื้อ’ ไว้เท่านั้นเจ้าค่ะ ข้าเอ่ยปากขอให้ข้าได้พบเจอหมิงอวินสักครั้ง ซึ่งไท่โฮ่วก็ได้ตอบตกลงแล้วเจ้าค่ะ”
เฉินจื่ออวี้กล่าวด้วยความลังเลใจ “วันนี้พวกเรามั่นใจเกี่ยวกับความนึกคิดของไท่โฮ่วได้แล้ว การยื้อก็คงยื้อเวลาไปได้เพียงชั่วครู่ชั่วคราวเท่านั้น ถึงอย่างไรพวกเราก็จำเป็นต้องคิดหาวิธีว่าจะแก้ไขสถานการณ์ถึงจะเป็นการดี”
“ข้าว่าเรื่องราวมิได้ย่ำแย่เพียงนั้นหรอก จริงสิ วันนี้ข้าได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ด้วย ตอนนี้ข้าได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหมอหลวงแล้วละ” หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เฉินจื่ออวี้กับเยี่ยเต๋อฮ๋วยมองหน้ากันเลิ่กลั่ก นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นอีก
หลินหลันจึงนำเรื่องราวโดยคร่าวๆ บอกเล่าออกไป
เฉินจื่ออวี้เผยสีหน้าดีอกดีใจยกใหญ่ “พี่สะใภ้ ท่านช่างเป็นคนที่มองไม่ออกเลยนะขอรับว่าจะมีความสามารถมากถึงเพียงนี้! เยี่ยมไปเลยขอรับ พี่สะใภ้กลายเป็นขุนนางที่ได้สร้างคุณูปการให้แก่ราชวงศ์เราแล้ว การที่ไท่โฮ่วคิดจะเล่นงานพี่สะใภ้ก็คงมิใช่เรื่องง่ายแล้วเช่นกัน อีกทั้งจากท่าทีของฮ่องเต้ เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้มีประสงค์ให้ความเมตตาต่อพี่ใหญ่อย่างแท้จริง”
เยี่ยเต๋อฮ๋วยกลับแสดงความคิดเห็นที่ซาบซึ้งใจอย่างแรงกล้า “หมอฮว๋าท่านนั้นต่างหากที่เป็นสุภาพบุรุษอย่างแท้จริง”
“ฮ่องเต้มีความตั้งใจนี้อยู่จริงๆ ทว่าจะจัดการเรื่องราวอย่างไรนั้นยังต้องรอคอยจังหวะ ฮ่องเต้ต้องมีโอกาสที่ไหลลื่นไปตามน้ำได้อย่างแนบเนียน ระหว่างนี้พวกเราตั้งหน้าตั้งตารับมือการเล่นแง่ของไท่โฮ่วก็เป็นพอเจ้าค่ะ” หลินหลันกำหนดแนวทางความนึกคิด
เยี่ยเต๋อฮ๋วยพยักหน้าอย่างเห็นด้วยอย่างยิ่ง “ในเมื่อไท่โฮ่วตอบตกลงให้เจ้าได้พบเจอหมิงอวิน เจ้าก็ถือโอกาสนี้ถามไถ่หมิงอวินสิว่ามีข้อเสนอแนะอันใดบ้าง”
เฉินจื่ออวี้กล่าวด้วยความหนักใจ “ข้าคิดว่า พวกเรามาคิดหาวิธีสร้างปัญหาให้ไท่โฮ่วกันหน่อยจะดีกว่า ทำให้ไท่โฮ่วยุ่งวุ่นวายจนเอาตัวเองไม่รอด”
“แต่มิใช่เจ้าเอ่ยว่าระยะนี้ตระกูลฉินระมัดระวังตัวเสียยิ่งกระไรดี คงคว้าโอกาสมิได้ง่ายดายนักน่ะสิ!”เยี่ยเต๋อฮ๋วยกล่าว
เฉินจื่ออวี้เอ่ยด้วยความมั่นใจ “เรื่องราวอยู่ที่คนกระทำ ไม่มีโอกาสพวกเราก็แค่สร้างโอกาสขึ้นมา วางใจเถิดขอรับ เรื่องนี้ให้เป็นหน้าที่ข้าเอง ข้าจะทำให้พวกเขาเกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ขึ้นมาเอง”
หลินหลันกล่าวด้วยความกังวล “เจ้าต้องระมัดระวังไว้หน่อยเช่นกัน อย่าได้ถูกจับได้จนทำให้ไท่โฮ่วรู้ว่าเป็นเจ้าที่อยู่เบื้องหลังของการก่อปัญหาขึ้นมา”
“นั่นสิ! ถ้าทำได้ก็จะเป็นการดีที่สุด แต่หากทำมิได้ก็อย่าได้ฝืนไปเชียว” เยี่ยเต๋อฮ๋วยกล่าวเสริม
เฉินจื่ออวี้กล่าวอย่างเอาจริงเอาจัง “เรื่องราวเกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญอันใหญ่หลวง ข้าจะระมัดระวังตัวเอาไว้อย่างแน่นอนขอรับ”
ทันใดนั้นหลินหลันนึกถึงเรื่องเครื่องราชบรรณาการขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถาม “ท่านลุงเจ้าคะ ผ้าไหมที่ส่งเข้าร่วมเครื่องราชบรรณาการของตระกูลเยี่ยเรามีปัญหาสีตกสีซีดหรือไม่เจ้าคะ”
เยี่ยเต๋อฮ๋วยกล่าวด้วยสีหน้าเป็นจริงเป็นจัง “นี่มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ผ้าไหมที่ส่งเข้าเป็นเครื่องราชบรรณาการ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อผ้าหรือสีที่ใช้ย้อมล้วนเป็นชั้นยอดเยี่ยมที่สุด ผนวกกับเคล็ดลับการย้อมสีของตระกูลเยี่ยที่สืบทอดกันมา ซึ่งระหว่างกระบวนการต้องผ่านทักษะฝีมือการย้อมสีถึงยี่สิบเจ็ดขั้นตอนถึงจะปล่อยสินค้าออกมาได้ ต่อให้วางต้มในน้ำร้อนเดือดจัดก็ไม่อาจเกิดเหตุการณ์ที่ว่าสีตกสีซีดจางไปได้…” เยี่ยเต๋อฮ๋วยเกิดความกังวลขึ้นกะทันหันขณะกล่าว “เหตุใดเจ้าถึงถามคำถามนี้ขึ้นมาหรือ”
หลินหลันกล่าว “วันนี้ยามที่ไท่โฮ่วพยายามกดดันข้า นางได้เอ่ยถึงปัญหาผ้าไหมที่ตระกูลเยี่ยส่งเข้าร่วมรายการเครื่องราชบรรณาการว่ามีสีตกสีซีดเจ้าค่ะ ข้าเลยคิดว่านี่น่าจะเป็นแผนสำรองของไท่โฮ่ว ในการเล่นงานโดยเพิ่มข้อกล่าวหาทั้งที่ไม่มีมูลความจริงเจ้าค่ะ ท่านลุง เพื่อความระมัดระวังรอบคอบ อย่างไรท่านคงต้องตรวจสอบให้มั่นใจอีกครั้งนะเจ้าคะ หากสินค้าเครื่องราชบรรณาการมั่นใจได้ว่าไม่มีปัญหาจริงๆ เช่นนั้น…พวกเราก็จำเป็นต้องคิดหาวิธีพิสูจน์ตนเองก่อนที่ไท่โฮ่วจะสร้างความลำบากให้แก่พวกเรา ชิงลงมือก่อนย่อมได้เปรียบเจ้าค่ะ”
เยี่ยเต๋อฮ๋วยเผยสีหน้าเคร่งขรึม เขารู้ถึงความรุนแรงของสถานการณ์นั้นเป็นอย่างดี หากไท่โฮ่วหยิบยกสินค้าเครื่องราชบรรณาการมาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างเรื่อง ไม่เพียงแต่ชื่อเสียงของตระกูลเยี่ยจะถูกทำลายลงทันที ไท่โฮ่วยังจะใช้โอกาสนี้เล่นงานตระกูลเยี่ยในฐานะหลอกลวงฮ่องเต้ เช่นนั้นตระกูลเยี่ยคงเป็นอันจบสิ้นไปด้วย
“ตกลง เรื่องนี้เดี๋ยวข้าจะรีบไปโรงย้อมเพื่อพิสูจน์ความจริง ผ้าไหมที่ย้อมชุดเดียวกันยังมีเก็บไว้ในคลังสินค้า เดี๋ยวข้าจะเอาออกมาทดสอบดูด้วย”
“จะเป็นการดีที่สุดหากคิดหาวิธีนำผ้าไหมที่ไท่โฮ่วเอ่ยว่าเป็นปัญหาชุดนั้นออกมาด้วยนะขอรับ จะได้ดูว่าเป็นจริงอย่างที่นางกล่าวหรือไม่” เฉินจื่ออวี้กล่าวเสนอแนะ
“ใช่เจ้าค่ะ จะอย่างไรก็ต้องทำให้ชัดเจนไว้จะดีกว่า ผ้าไหมจะสีตกสีซีดจางได้ภายใต้สถานการณ์จำเพาะอันใดบ้าง” หลินหลันกล่าวขึ้นมาเช่นกัน
เยี่ยเต๋อฮ๋วยเห็นด้วยอย่างยิ่ง “ข้าจะคิดหาวิธีดู จะไม่ยอมให้ไท่โฮ่วชั่วร้ายนั่นใส่ความได้เป็นอันขาด”
สาวใช้ด้านนอกส่งเสียงบอกล่าว เอ่ยว่าเหวินซานกลับมาแล้ว
ทุกคนจึงแยกย้ายไปดำเนินเรื่องของตน หลินหลันออกไปพบเหวินซาน เหวินซานเอ่ยว่าทางด้านจวนจิ้งปั๋วโหวและจวนแม่ทัพฮ๋วยหยวนต่างรับทราบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภรรยาท่านจิ้งปั๋วโหวเอ่ยว่านางได้ข่าวคราวมาว่าอีกไม่กี่วันจิ้งปั๋วโหวจะกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว ขอให้นายหญิงสะใภ้รองอดทนรอคอยอีกสองสามวัน ส่วนทางด้านภรรยาของแม่ทัพฮ๋วยหยวนให้นายหญิงสะใภ้รองติดต่อนางได้ทุกเมื่อ หากเกิดสถานการณ์คับขันอันใดให้บอกกล่าวนางทันที
หลินหลันเผยรอยยิ้มขมขื่น นางมีความอดทนมากพอ เพียงแต่ไท่โฮ่วในพระราชวังผู้นั้นค่อนข้างร้อนใจไม่น้อยทีเดียวเชียว
ไท่โฮ่วร้อนใจอย่างยิ่งเสมือนที่คาดการณ์ไว้ เพราะวันรุ่งขึ้นก็จัดการให้หลินหลันได้พบเจอกับหลี่หมิงอวิน โดยส่งคนมาบอกกล่าวยังหุยชุนถาง
แม้จะคาดเดาได้แต่แรกแล้ว แต่เมื่อคิดว่ากำลังจะได้พบเจอหมิงอวินแล้ว หลินหลันจึงอดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ นี่ไม่ทันไรก็เกือบสองเดือนเข้าไปแล้ว ไม่รู้เลยว่าเขาอยู่ในห้องขังเป็นเช่นไรบ้าง จะผอมลงไปบ้างแล้วหรือไม่
หลินหลันติดตามผู้มาบอกกล่าวโดยมุ่งหน้าไปยังห้องขังชั้นใน นางนำขนมของว่างและยาเม็ดอีกบางส่วนที่เตรียมไว้ก่อนหน้าติดไปด้วย หลังหมิงอวินถูกย้ายจากห้องขังของกรมยุติธรรม เฉินจื่ออวี้ก็ฟันธงว่าหมิงอวินคงถูกย้ายไปอยู่ห้องขังใหญ่ชั้นในแล้วอย่างแน่นอน และปรากฏว่าเป็นอย่างที่ว่าจริงๆ ด้วย
ห้องขังในยุคสมัยโบราณ น่าสะพรึงกลัว มืดสลัว ให้ความรู้สึกอึดอัดจนแทบหยุดหายใจ ตลอดทางเดิน หลินหลันสูดลมหายใจเข้าลึกอยู่หลายครั้งถึงทำให้ตนเองคงไว้ซึ่งท่าทีสงบนิ่งไว้ได้
หลังเดินผ่านทางคดเคี้ยวมามากมายจนกระทั่งเดินไปถึงส่วนในสุด ผู้คุมห้องขังถึงชะงักฝีก้าวหยุดลงเบื้องหน้าห้องขังหนึ่งแล้วล้วงลูกกุญแจออกมาเปิดประตู หลินหลันค้นพบว่าห้องขังนี้แตกต่างไปจากห้องขังอื่นๆ ประตูห้องขังของห้องอื่นล้วนเป็นลักษณะลูกกรง มีเพียงห้องนี้ที่เป็นบานประตูเหล็ก ส่วนบนบานประตูมีหน้าต่างบานเล็กหนึ่งช่อง เมื่อเปิดออกก็จะมองเห็นสถานการณ์ด้านในได้
หลินหลันกระชับกล่องอาหารในมือจนแน่นโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังแอบสั่นสะท้านเล็กน้อย หมิงอวินของนางอยู่ด้านในนั้น
ตั้งแต่บิดามาเยือนหนึ่งครั้ง หลายวันมานี้ก็ไม่มีผู้ใดมารบกวนเขาอีกนอกเสียจากผู้คุมขังที่แวะเวียนมาส่งอาหารสามมื้อในหนึ่งวัน นอกนั้นที่หลงเหลือให้หมิงอวินก็คือความเงียบเหงา เป็นความเงียบเหงาประหนึ่งการได้ตายจากไปแล้ว ทว่าเขาสงบนิ่งไม่ได้เฉกเช่นเมื่อก่อน เขารู้สึกกระวนกระวายใจไม่เป็นสุขและยังเป็นห่วงหลินหลันอยู่เสมอๆ แทบทุกคืนจะต้องตื่นจากฝันร้าย ฝันถึงหลินหลันที่เรือนร่างเต็มไปด้วยโลหิต ฝันถึงสถานการณ์ที่เขาไม่กล้านึกย้อนกลับไปอีกมากมาย สิ่งเหล่านี้มันทำให้เขาคล้ายจะเป็นบ้าให้ได้ แต่เขาก็ไม่อาจทำอันใดได้นอกจากเดินวกไปวนมาด้วยความไม่เป็นสุขอยู่ในพื้นที่นี้
ทันใดนั้นเขาได้ยินเสียงปลดกลอนประตู หลี่หมิงอวินจึงชะงักฝีก้าวแล้วจับจ้องไปที่บานประตูห้องขัง เวลานี้ไม่ใช่เวลามื้ออาหารเสียหน่อย หรือว่ามีคนต้องการพบเขา? หรือว่าเตรียมพาเขาไปไต่สวน?