ทันทีที่บานประตูห้องขังเปิดออก หลี่หมิงอวินมองดูหลินหลันที่ยืนอยู่หน้าทางเข้าออก กะพริบตาอย่างงุนงง คงไม่ใช่เพราะเป็นกังวลมากเกินไปจึงเกิดอาการประสาทหลอนเข้าแล้วกระมัง
ก่อนหน้านี้หลินหลันเคยลองจินตนาการหมิงอวินที่ถูกกุมขังเป็นเวลาเกือบสองเดือนมาแล้ว ใบหน้าคงต้องเต็มไปด้วยหนวดเครา ผมเผ้ายุ่งเหยิงประหนึ่งหญ้าฟาง รูปร่างซูบผอม เสื้อผ้าที่สวมใส่ต่อให้ไม่ใช่ชุดคุมขังแต่ก็คงเป็นเสื้อผ้าเก่าๆ และคงต้องสกปรกอย่างที่ทำเป็นผ้าเช็ดเท้าได้ จึงเตรียมตัวเตรียมใจไว้เต็มที่ ไม่ว่าหมิงอวินจะเปลี่ยนเป็นเช่นไร นางล้วนแสดงสีหน้าตกตะลึงต่อหน้าหมิงอวินไม่ได้เป็นอันขาด ดังนั้น ตอนนางเห็นหมิงอวินที่ดวงตากำลังพร่างพราวขึ้นเรื่อยๆ ในสภาพสะอาดสะอ้านเสมือนที่ผ่านๆ มา เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ดูสะอาดเอี่ยมไม่แพ้กัน แม้จะดูซูบผอมลงไปหน่อยก็ตาม นางกลับตกตะลึงถึงขั้นลืมขยับเท้าก้าวเดิน
ทั้งสองคนจ้องมองกันและกันอยู่เช่นนี้ ข้ามองเจ้า เจ้ามองข้า จากเริ่มแรกที่สับสนงุนงงจนพูดไม่ออกแล้วตามมาด้วยสีหน้าอันหลากหลายที่ค่อยๆ เผยออกมา มีความสงสาร มีความคิดถึง มีความทุกข์ระทม โดยรวมๆ แล้วคือเป็นอะไรที่มากมายจนไม่รู้ว่าควรพูดประโยคไหนออกมาก่อนดี
“หมอหลิน เชิญเจ้าค่ะ!” หญิงรับใช้วัยกลางคนท่านหนึ่งที่มาพร้อมหลินหลันกล่าวเร่งเร้า
หลินหลันได้สติกลับคืนมาอีกครั้ง นางพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกอันลึกซึ้งที่อยู่ในดวงตา หักห้ามใจความรู้สึกอันแรงกล้าที่อยากวิ่งเข้าไปกอดหมิงอวินแล้วเดินเข้าไปอย่างเชื่องช้า
ยามที่อยู่ระหว่างทาง หญิงรับใช้วัยกลางคนท่านนี้ได้กล่าวข่มขู่นาง โดยเอ่ยว่าอย่าลืมที่รับปากไว้ต่อหน้าไท่โฮ่ว มิเช่นนั้น ผลที่ตามมานางจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบเอง หลินหลันเข้าใจเป็นอย่างดี ไท่โฮ่วไม่วางใจนางจึงส่งคนมาจับตามองนางเป็นพิเศษ ดังนั้น นางจำเป็นต้องหักห้ามใจ จำเป็นต้องใจเย็นๆ เข้าไว้หน่อย
หลินหลันเผยท่าทีสงบนิ่งเช่นนั้น ทำให้หลี่หมิงอวินยิ่งมั่นใจสิ่งที่คาดเดาภายในใจมากขึ้น ไท่โฮ่วคงให้หลินหลันมาพบเป็นแน่ หลี่หมิงอวินมองดูข้ารับใช้สตรีวัยกลางคนที่ติดตามอยู่ด้านหลังหลินหลัน เขาจึงพยายามยับยั้งความรู้สึกกระตือรือร้นที่ปะทุอยู่ภายในใจไว้เช่นกัน โดยค่อยๆ เดินเข้ามาเบื้องหน้าอย่างช้าๆ แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เจ้ามาได้อย่างไรกัน”
หลินหลันก้มหน้า ไม่กล้ามองดูเขา ด้วยเกรงว่าหากเห็นดวงตาอันอ่อนโยนของเขาก็คงไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้ นางมาในวันนี้เพื่อแสดงบทสตรีผู้ทรยศ แล้วจะแสดงออกด้วยความรู้สึกอันลึกซึ้งและรักใคร่ผูกพันได้เสียที่ไหนกัน
นางเอ่ยปากด้วยเสียงบางเบา ถึงขั้นเป็นน้ำเสียงที่แหบพร่าเล็กน้อยก็ว่าได้ “ข้า…มาเยี่ยมเจ้า”
ใช่สิ! เอ่ยว่ามาเยี่ยมข้าแต่กลับไม่กล้ามองดูข้า ภายในใจหลี่หมิงอวินจึงรู้สึกถึงความเจ็บปวดขึ้นมาฉับพลัน เขาไม่อาจเอ่ยถามหลินหลันได้ว่าสรุปแล้วไท่โฮ่วพูดอันใดกับนางไว้ หรือสรุปแล้วไท่โฮ่วข่มขู่อันใดนางไว้ แต่เขารู้ดีว่าการที่หลินหลันต้องอดกลั้นแอบซ่อนความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลนางต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน หลินหลันเป็นคนมีความนึกคิดมาแต่ไหนแต่ไร ไม่ใช่สตรีประเภทที่พบเจอปัญหาใดเข้าแล้วรู้จักแต่ร้องห่มร้องไห้และไม่รู้จะทำเช่นไรประเภทนั้น
หลี่หมิงอวินยื่นมือออกไปทัดไรผมที่ร่วงปรกด้านข้างจอนผมไว้หลังใบหูให้นางอย่างอ่อนโยน เขาอดลูบพวงแก้มของนางด้วยความโหยหาไม่ได้ สองเดือนแล้วที่ไม่ได้พบเจอกัน เห็นได้ชัดว่านางซูบผอมลงไปมาก “ข้าสบายดี แล้วเจ้าล่ะ” เขาเอ่ยด้วยเสียงแหบพร่าที่เผยให้เห็นถึงความหวงแหน
หลินหลันเบี่ยงศีรษะไปด้านข้างเล็กน้อย ทำให้พวงแก้มแนบชิดกับฝ่ามือของเขายิ่งขึ้นจนสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนที่ฝ่ามือของเขา วินาทีนั้นดวงตาของนางรู้สึกร้อนผ่าวจนเกินหักห้าม จึงรีบถอยห่าง ถอยห่างสัมผัสของเขาและพยายามควบคุมความรู้สึก หลังจากนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้นมองเขา การต้องจมปลักอยู่ในห้องขังเป็นเวลาสองเดือน ดูเหมือนจะลดทอนความหล่อเหลาของเขาลงไม่ได้เลยแม้แต่น้อย หลินหลันที่กำลังรู้สึกทุกข์ระทมฉีกยิ้มเล็กน้อย “ข้าก็สบายดีเช่นกัน”
“นี่เป็นขนมที่กุ้ยซ่าวทำไว้ ล้วนเป็นของที่เจ้าชอบกิน แล้วยังมีชาปี้หลัวชุนอีกหนึ่งเหยือก แต่น่าเสียดายที่มันเย็ดชืดเสียแล้ว” หลินหลันหลบหลีกสายตาของเขาโดยการเปิดภาชนะบรรจุอาหารแล้วหยิบเอาขนมกับชาออกมา
หลี่หมิงอวินมองไปที่ขนมเหล่านั้นซึ่งถูกแบะออกเป็นสองส่วน เขาจึงฉุกคิดขึ้นมาได้ คงเป็นเพราะข้ารับใช้สตรีวัยกลางคนที่มาพร้อมหลินหลันเกรงกลัวว่าหลินหลันจะสอดแทรกอันใดมาให้เขา ถึงได้แบะขนมทั้งหมดเพื่อตรวจสอบดู
“เจ้าอยู่ในห้องขังคงใช้ชีวิตอย่างลำบากไม่น้อย มาลองชิมดูเร็วเข้าเถอะ” หลินหลันดึงหมิงอวินให้นั่งลง แล้วหยิบขนมอบยื่นไปจ่อที่ปากของเขา
หลี่หมิงอวินลังเลใจอยู่ชั่วครู่ก่อนจะอ้าปากขึ้นกินมัน หลังจากนั้นหลินหลันจึงช่วยรินน้ำชาให้แก่เขา
“คนที่บ้านล้วนสบายดีใช่หรือไม่” หลี่หมิงอวินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและสีหน้าอันแสนอบอุ่นหลังรับประทานเข้าไปหนึ่งคำเล็กๆ
“ทุกคนสบายดี อาการป่วยของท่านย่าก็ดีขึ้นเรื่อยๆ พูดคำง่ายๆ ได้บ้างแล้ว ตอนนี้พี่สะใภ้เป็นผู้จัดการเรื่องราวในบ้าน ข้าจึงดูแลเรื่องทางด้านร้านยาเท่านั้น เจ้ารู้อะไรไหม หลายวันที่ผ่านมา หุยชุนถางของเรากับเต๋อเหรินถางร่วมกันจัดการตรวจรักษาการกุศล แต่ด้วยช่วงก่อนหน้ามีผู้ป่วยมาเข้ารับการรักษาจำนวนมากเกินไปจึงยุ่งวุ่นวายกันเสียยิ่งกระไร โชคดีที่มีท่านลุงค่อยช่วยเหลือ…” หลินหลันกล่าวอย่างใจเย็น
หลี่หมิงอวินจับใจความสำคัญหนึ่งอย่างได้จากคำบอกกล่าว หลินหลันไม่มีทางจัดการตรวจรักษาการกุศลโดยไร้เหตุไร้ผลในเวลาเช่นนี้อย่างแน่นอน เขากำลังติดอยู่ในห้องขังอันมืดมิด ตระกูลหลี่อยู่ในช่วงเวลาที่ไร้อนาคตในเส้นทางหน้าที่การงาน การดำเนินเรื่องที่เอิกเกริกเช่นนี้จะแลกมาซึ่งชื่อเสียงดีงามอย่างสูง
“เช่นนี้ก็ดี แต่เจ้าก็อย่าเอาแต่ยุ่งวุ่นวายเพียงอย่างเดียว ต้องดูแลร่างกายตนเองให้ดีๆ ด้วย ดูเจ้าสิ ผอมไปหมดแล้ว” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยความห่วงใย
หลินหลันฉีกยิ้มเล็กน้อย “ข้ามิเป็นไร จริงสิ ตอนนี้ข้าได้เป็นหมอหลวงของโรงหมอหลวงแล้วนะ แต่ว่าฮ่องเต้ทรงมีพระเมตตาเป็นพิเศษโดยการอนุญาตให้ข้ามิต้องไปประจำการปฏิบัติหน้าที่ทุกวันก็ได้”
หลี่หมิงอวินเผยสีหน้าประหลาดใจ “เจ้าได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ด้วยหรือ”
“ใช่แล้ว! เมื่อวานนี้เอง เจ้ายังจำที่ข้าเคยเอ่ยกับเจ้าเกี่ยวกับวิธีการรักษาโดยการปลูกฝีได้หรือไม่ เจ้ามิให้ข้าไปส่านซี ข้าจึงทำได้เพียงบอกกล่าววิธีการไว้กับท่านหมอฮว๋า คาดไม่ถึงว่าท่านหมอฮว๋าจะเป็นผู้มีคุณธรรมซื่อสัตย์จึงเอ่ยถึงข้าออกไปด้วย ฮ่องเต้ถึงได้ให้รางวัลพิเศษแก่ข้าด้วย” หลินหลันเอ่ยอย่างกระตือรือร้น
หลินหลันได้รับคำเชยชมจากฮ่องเต้ ถือว่าเป็นเรื่องดีงามอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะมีส่วนช่วยเขาได้มากน้อยเพียงใด แต่อย่างน้อยๆ เมื่อหลินหลันมีฐานะนี้แล้ว นางก็คงปลอดภัยขึ้นมาก หลี่หมิงอวินเดิมทีควรดีใจ ทว่ากลับรู้สึกต่างๆ นานา ทั้งเจ็บปวด ทั้งขมขื่น ที่แท้ฮว๋าเหวินไป่กลับมาแล้วนี่เอง
เขาเผยรอยยิ้มเล็กน้อยและยื่นปลายนิ้วออกไปลูบปลายจมูกของหลินหลันอย่างที่เคยชิน “เช่นนั้นหลันเอ๋อร์ของข้าก็เป็นขุนนางขั้นหกแล้วสินะ! ไม่ธรรมดาเลยๆ”
หลินหลันยื่นชาส่งให้ ขณะที่หมิงอวินกำลังจะยื่นมือออกไปสัมผัสถ้วยชา นางกลับปล่อยมือกะทันหันส่งผลให้ถ้วยชาร่วงหล่น น้ำชากระเซ็นเลอะบนเรือนร่างของหมิงอวินหลินหลันจึงรีบล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดให้หมิงอวิน
“ขอโทษด้วยจริงๆ มือข้าลื่นไปเสียได้”
หมิงอวินคว้ามือของหลินหลันไว้แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ “มิเป็นไรๆ ไม่ต้องเช็ดหรอก”
หญิงรับใช้วัยกลางคนที่อยู่ด้านหลังส่งเสียงกระแอมสองครั้ง หลินหลันจึงรีบชักมือกลับ
หลี่หมิงอวินตกตะลึงไปชั่ววูบเมื่อสัมผัสได้ว่าหลินหลันยัดอะไรบางอย่างใส่มือเขา เขาจึงกำมัดไว้แน่น แสร้งจ้องเขม็งไปยังหญิงรับใช้วัยกลางคนผู้นั้นด้วยความไม่พึงพอใจ หญิงรับใช้นั่นจึงเบนสายตาหนีโดยไม่แสดงสีหน้าอาการใดๆ
หลี่หมิงอวินรีบนำสิ่งของดังกล่าวยัดเข้าไปใต้ที่นั่งกองฟางพร้อมกับหัวใจที่กำลังเต้นระรัว เห็นทีคงว่าเป็นอะไรที่หลินหลันไม่สะดวกเอื้อนเอ่ย ถึงได้หาโอกาสส่งสารผ่านกระดาษยัดใส่มือเขา
หลินหลันเห็นเขานำกระดาษนั่นแอบซ่อนไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วจึงแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก หญิงรับใช้ท่านนี้ตรวจสอบอย่างเคร่งครัดยิ่งนัก ไม่เพียงแต่ตรวจสอบอาหารแต่ละอย่างที่นางนำมา กระทั่งภาชนะบรรจุอาหารทั้งบนล่าง นอกใน ล้วนถูกนางตรวจสอบอย่างละเอียด กระทั่งบนเรือนร่างของนางก็ถูกตรวจสอบด้วยหนึ่งครั้ง โชคดีที่นางเตรียมรับมือไว้แต่แรกจึงนำกระดาษแอบซ่อนไว้อย่างดิบดี
หลินหลันถือจังหวะที่หญิงรับใช้ผู้นั้นไม่สนใจ กะพริบตาปริบๆ และเลิกคิ้วให้หมิงอวิน หลังจากนั้นจึงแสร้งทำทีท่าอ้ำอึ้ง “หมิงอวิน...ข้ามีเรื่องหนึ่ง…อยากหารือกับเจ้า”
หลี่หมิงอวินเข้าใจเป็นอย่างยิ่งต่อการแสดงออกอันน้อยนิดเหล่านี้ของนาง จึงกล่าวด้วยความเข้าใจความคิดของกันและกัน “เจ้าว่ามาสิ”
หลินหลันมองไปยังหญิงรับใช้วัยกลางคนผู้นั้นแล้วจึงมองไปยังหมิงอวินอีกครั้ง ราวกับได้ตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นางกล่าวออกไปด้วยสีหน้าเศร้าสลด “หมิงอวิน คดีของท่านพ่อมันยากยิ่งที่จะแก้ไขใดๆ ได้ เมื่อวานข้าได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ จึงร้องขอความเมตตาให้เจ้าเป็นการเฉพาะ ผลปรากฏว่า…ฮ่องเต้ไม่พอพระทัยอย่างยิ่ง หากไม่เห็นแก่คุณงามความดีของข้า ก็คงจะจับข้ามารับโทษไปพร้อมๆ กับเจ้าเสียเลย”
หญิงรับใช้วัยกลางคนท่านนั้นเผยสีหน้าครุ่นคิดไตร่ตรองหลังได้ยินคำพูดดังกล่าว
หลี่หมิงอวินจงใจกล่าวเชิงตำหนิ “จะถูกหรือผิดมีเพียงกฎหมายเท่านั้นที่ตัดสินได้อย่างยุติธรรม เหตุใดเจ้าต้องเสี่ยงทำอะไรประเภทนี้ด้วย เกิดฮ่องเต้ทรงลงโทษขึ้นมาจริงๆ จะมีกลายเป็นเรื่องแย่ไปใหญ่หรอกหรือ”
หลินหลันอ้ำอึ้งก่อนกล่าวด้วยเสียงบางเบา “หมิงอวิน...ข้า…ที่ข้าอยากพูดคือ เรื่องราวของตระกูลหลี่เกรงว่าจะไม่อาจแก้ไขอันใดให้ดีขึ้นได้แล้ว ข้า…ข้าจึงหวังว่า เจ้าจะเข้าใจข้าได้”
หลี่หมิงอวินขมวดคิ้ว “สรุปแล้วเจ้าคิดจะพูดอันใดกันแน่”
หลินหลันเผยท่าทีราวกับร้องไห้และกล่าวปะปนไว้ด้วยเสียงกระซิก “มิใช่ข้าไม่อยากอยู่เคียงข้างเจ้าจนแก่เฒ่า ทว่า…ใครจะรู้ว่าเรื่องราวนี้ดันเกิดขึ้นมาเสียได้ พวกเขาต่างพูดกันว่า ครานี้พ่อลูกตระกูลหลี่ถึงแม้ไม่ถูกตัดหัวก็ต้องถูกเนรเทศไปอยู่ถิ่นแดนไกล ชั่วชีวิตนี้จึงไม่ต่างจากหมดสิ้นความหวังใดๆ เสียแล้ว ทว่าข้ายังเป็นสาว หุยชุนถางก็เพิ่งจะมีหน้ามีตา ข้าไม่อยากให้ทั้งหมดมันพังทลายลงไปดื้อๆ เช่นนี้…”
หลินหลันไม่ลืมที่จะส่งสายตาให้หลี่หมิงอวินขณะยกสองมือขึ้นปิดหน้าขณะร้องไห้ ด้วยเกรงว่าหมิงอวินจะไม่อาจเข้าใจความนึกคิดของนาง
หลี่หมิงอวินเข้าใจการเตรียมการของหลินหลันได้อย่างรวดเร็ว หลินหลันเพิ่งเอ่ยว่าฮ่องเต้ให้รางวัลแก่นาง ซึ่งมันเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าฮ่องเต้มีความตั้งใจที่จะประทานความเมตตาให้แก่เขา เกินกว่าครึ่งเป็นเพราะการแทรกแซงของไท่โฮ่ว ทำให้ฮ่องเต้ลำบากใจ ตอนนี้หลินหลันดันนำสถานการณ์เรื่องราวพูดเสียดูร้ายแรงเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่กับตอนนี้มันขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง เห็นทีว่า หลินหลันอยากให้เข้าร่วมแสดงละครให้ใครบางคนดูสินะ หลี่หมิงอวินจึงชักสีหน้าเคร่งขรึมแล้วมองไปที่นางด้วยสายตาเย็นชาและกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เจ้าคิดจะหย่าร้างกับข้า?”
หลินหลันกล่าวด้วยท่าทีเศร้าโศก “หวังว่าเจ้าจะตอบตกลง เจ้าวางใจได้ ถึงอย่างไรข้าก็จะดูแลท่านย่าอย่างดีเช่นเดิม”
หลี่หมิงอวินดีดตัวลุกขึ้นยืน เขาหายใจหนักจนแผงอกกระเพื่อมอย่างเห็นได้ชัด ขณะเดียวกันดวงตาคู่คมของเขาก็จับจ้องไปที่หลินหลันด้วยความโกรธเคือง เขากัดฟันแน่นก่อนตำหนิด้วยความเจ็บปวด “หลันเอ๋อร์ ข้าหลี่หมิงอวินปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดีมาโดยตลอด เหตุใดเจ้าถึงไร้น้ำใจเช่นนี้ ในช่วงเวลาที่ข้าลำบากกลับคิดที่จะทอดทิ้งข้าไป? เจ้าลืมไปแล้วหรือว่า พวกเราเคยสาบานต่อทะเลและภูเขาว่าจะรักกันชั่วฟ้าดินสลาย”
หลินหลันร้องไห้กระซิก “ข้ารู้ว่าเจ้าจะโกรธเกลียดข้า แต่ข้าพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าข้าจะหลุดพ้นออกมาจากหลังเขา ไม่ง่ายเลยว่าจะมีทุกวันนี้ ถือเสียว่าเจ้าให้ความสงสารแก่ข้าแล้วกัน หากเจ้ารักข้าจริง เจ้าจะทำใจลากข้าติดร่างแหไปด้วยได้อย่างไรกัน…”
หลี่หมิงอวินเตะภาชนะบรรจุอาหารพลิกคว่ำด้วยความโกรธเกรี้ยว จานกระเบื้องแตกกระจายพร้อมกับขนมกลิ้งไปตามพื้น เขาส่งเสียงตะคอกภายใต้อารมณ์ฉุนเฉียวเสมือนปีศาจร้ายที่กำลังได้รับบาดเจ็บ “หลินหลัน ข้าจะถือเสียว่าข้ามองเจ้าผิดไป ทว่า การที่เจ้าคิดจะหย่าร้างกับข้าเพื่อเจ้าจะได้ไปแต่งงานกับบุรุษอื่นโดยง่าย ชั่วชีวิตนี้เจ้าเลิกคิดไปได้เลย”
หญิงรับใช้วัยกลางคนท่านนั้นถอยร่นไปสองฝีก้าวด้วยความตื่นตกใจกับท่าทีของหลี่หมิงอวิน “บัณฑิตหลี่ เช่นนั้นท่านก็ทำไม่ถูกเสียแล้ว เหตุใดท่านถึงได้เห็นแก่ตัวเพียงนี้ ลำพังความปลอดภัยของตัวท่านเองยังยากที่จะรับประกันได้ แล้วไยต้องฉุดรั้งคนเขาไว้ ทำให้หมอหลินได้รับโทษตามท่านไปด้วย”
สายตาคมเฉียบประดุจคมมีดของหลี่หมิงอวินตวัดมองไปยังทิศทางหญิงวัยกลางคนท่านั้น “เจ้าเป็นตัวอันใด เรื่องระหว่างสามีภรรยาอย่างพวกข้า จำเป็นต้องให้เจ้ามาสาระแนด้วยหรือ ไสหัวไปเสีย”
หญิงรับใช้วัยกลางคนตื่นตกใจด้วยสายตาเสมือนจะเขมือบคนทั้งคนได้ของหลี่หมิงอวิน ภายในใจเต็มได้ด้วยความลนลานและหวาดกลัว ใครๆ ต่างเอ่ยว่าบัณฑิตหลี่ท่านนี้สุภาพอ่อนโยน แล้วเหตุใดถึงอารมณ์รุนแรงเพียงนี้ไปได้
หลินหลันแสร้งแสดงท่าทีเกรงกลัวอย่างยิ่งเช่นกัน “หมิงอวิน เจ้าอย่าโมโหไปเลยนะ เอาเป็นว่าเรื่องนี้เจ้าลองคิดไตร่ตรองอย่างละเอียดอีกทีแล้วกัน…” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงประหม่า
“ไม่ต้องคิด และข้าก็จะไม่คิดด้วย ข้าขอบอกเจ้าให้รีบล้มเลิกความคิดนี้ไปแต่เนิ่นๆ ได้เลย” หลี่หมิงอวินสะบัดชายแขนเสื้อแล้วกล่าวขึ้น
หลินหลันนิ่งเงียบไปชั่วขณะก่อนกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงบางเบา “หากเจ้าดื้อดึงไม่ยินยอม เช่นนั้นข้าคงทำได้เพียงยื่นคำร้องขอหย่าร้าง”
หลี่หมิงอวินเงยหน้าขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะ ทว่าภายในเสียงหัวเราะนั้นกลับแสดงถึงความเจ็บปวดอันรุนแรง “หย่าร้าง? หลันเอ๋อร์หนอหลันเอ๋อร์ ข้าอยู่ที่นี้เฝ้าคิดถึงเจ้าทุกวันทุกคืน ทั้งในและนอกความฝันล้วนมีแต่เจ้าผู้เดียว คาดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะไร้หัวใจเช่นนี้ เจ้า…ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ”