หลินหลันรู้สึกเจ็บปวดหัวใจอย่างไร้ที่สิ้นสุดเมื่อได้ฟังคำพูดที่กึ่งจริงกึ่งหลอกนี้ของเขา ทั้งที่เป็นเรื่องยากเย็นกว่าจะได้พบเจอกันสักครั้ง แต่กลับทำได้เพียงอาศัยการแสดงเพื่อส่งผ่านความรู้สึก มันช่างน่าเศร้าเสียยิ่งกระไร หลินหลันกัดฟันแน่นด้วยความรู้สึกโกรธแค้นไท่โฮ่ว เหตุใดบนโลกใบนี้ถึงมีหญิงชราที่ร้ายกาจได้เพียงนี้ ควรเรียกสวรรค์ให้มาจัดการเก็บกวาดขึ้นไปถึงจะเป็นการดีที่สุด
“เจ้าอยากหย่าร้าง เจ้าก็ไปฟ้องร้อง ณ ที่ทำการขุนนางเองแล้วกัน แต่ข้าขอบอกเจ้าไว้เลยว่า ต่อให้เจ้าฟ้องร้องต่อที่ทำการขุนนาง ข้าหลี่หมิงอวินมีเพียงสามคำให้เจ้าเท่านั้นคือ… ‘ไม่มีทาง’ ” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยความโกรธเคือง
หลินหลันกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ “ตอนนี้เจ้าคงโมโหเกินไป ไว้รอเจ้าใจเย็นลงแล้วบางทีอาจไม่คิดเช่นนี้แล้วก็เป็นได้” หลินหลันเอ่ยพลางล้วงเอาขวดกระเบื้องขนาดเล็กหนึ่งขวดออกมา “นี่เป็นยาเม็ดตานเซิน[1] เจ้าอยู่ในนี้คงไม่ได้กินดีและนอนหลับไม่สนิท จำเป็นต้องบำรุงร่างกายเข้าไว้ ข้า…หากข้ามีโอกาส ข้าจะมาเยี่ยมเจ้าอีก”
หลินหลันนำขวดกระเบื้องนั้นยื่นออกไป ทว่าหลี่หมิงอวินไม่รับมันไว้ หลินหลันจึงทำได้เพียงนำขวดยาดังกล่าววางไว้บนที่นั่งกองฟางแล้วมองดูเขาอีกครั้งด้วยความโหยหา ทันใดนั้นหยาดน้ำตาของนางท่วมท้นออกมา เพียงแต่ครั้งนี้มันไม่ใช่การเสแสร้ง แต่เป็นเพราะรู้สึกย่ำแย่จากใจจริง นางอยากโอบกอดเขาเหลือเกิน อยากพูดความจริงจากใจกับเขา อยากบอกเล่าถึงความยากลำบาก เสมือนเมื่อก่อนที่ได้ออดอ้อนอยู่ในอ้อมกอดของเขา ได้ฟังคำปลอบประโลมอันแสนอ่อนโยนอบอุ่นของเขา ได้ฟังเขาเอ่ยว่า…มีข้าอยู่ทั้งคน มิต้องเกรงกลัวไป…
ไม่กล้าเอ้อระเหยอยู่อีกต่อไป มิเช่นนั้นหลินหลันคงไม่กล้ารับประกันว่าตนเองจะยังอดกลั้นไว้ได้ต่อไปหรือไม่ นางแทบจะวิ่งหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด
หญิงรับใช้วัยกลางคนท่านนั้นรีบเร่งเร้าให้ออกมา
บานประตูห้องขังด้านหลังปิดลงอย่างแรงจนก่อให้เกิดเสียงดังหนักอึ้งประหนึ่งค้อนที่มีน้ำหนักทุบลงมาบนศีรษะของหลินหลัน นางชะงักฝีก้าวแล้วจ้องมองไปยังประตูห้องขังบานนั้น หมิงอวิน เจ้ารอก่อนนะ จิ้งปั๋วโหวใกล้จะกลับมาแล้ว ฮ่องเต้ก็กำลังคิดหาวิธีเช่นกัน ทุกคนกำลังพยายามกันอยู่ อีกไม่นานเจ้าจะได้เดินออกมาจากตรงนั้นโดยปลอดภัยแน่นอน และขอให้เจ้าวางใจได้ ไม่ว่าประสบปัญหาทุกข์ยากลำบากเพียงใด เจ้าไม่ทอดทิ้งข้า ข้าก็ไม่มีทางทอดทิ้งเจ้าเช่นกัน ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่อาจทำให้ข้าทอดทิ้งเจ้าได้
หลี่หมิงอวินตะลึงงันอยู่ในนั้น เนิ่นนานพอตัวกว่าจะเรียกสติอารมณ์ให้กลับมาสงบนิ่งได้อีกครั้ง เมื่อครู่นี้แม้เป็นเพียงการแสดง แต่เมื่อคิดว่าเขากับหลันเอ๋อร์อาจต้องถูกจับพลัดพรากจากกัน ความเจ็บปวดนั่นมันช่างชัดเจนอยู่ในทุกอณูหัวใจจริงๆ
เขาคลายหมัดที่กำไว้แน่นแล้วเดินไปข้างเตียงนอน มองดูช่องหน้าต่างบานเล็กส่วนบนของบานประตูห้องขังอย่างระมัดระวัง เมื่อมั่นใจว่าปราศจากสายตาของผู้คุมขัง จึงหยิบชิ้นส่วนกระดาษขนาดเล็กออกมาจากใต้ที่นั่งกองฟางแล้วคลี่ออก เห็นเพียงอักษรตัวเล็กๆ ที่เขียนไว้อย่างบรรจงปรากฏบนกระดาษนั่น… วางใจเถิด ไม่แยกจาก ไม่ทอดทิ้ง
วางใจเถิด ไม่แยกจาก ไม่ทอดทิ้ง ทันใดนั้นหยาดน้ำตาของหลี่หมิงอวินก็เอ่อล้นออกมาทันที ความคิดคะนึงถึงที่ตราตรึงอยู่ในหลายวันหลายคืน ความกระวนกระวายใจในหลายวันหลายคืนนั้น ทั้งหมดนั้นล้วนไม่อาจทำให้เขาเสียน้ำตาได้ ทว่าวินาทีนี้ เมื่อได้เห็นอักษรเพียงไม่กี่คำ กลับทำให้รู้สึกเสมือนหัวใจของเขาที่เคยถูกแขวนไว้ได้รับการปลดปล่อย นำมาซึ่งความรู้สึกต่างๆ นานาและความซาบซึ้งใจจนหาที่สุดไม่ได้ เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าหลินหลันต้องแบกรับแรงกดดันมากมายเพียงใด ถึงจำเป็นต้องมาแสดงละครฉากนี้กับเขา
เขากำกระดาษชิ้นเล็กๆ แผ่นนี้ไว้แน่น ราวกับกำลังกอบกุมหัวใจของหลินหลัน ไม่ยินยอมปล่อยมันไปพลางคร่ำครวญอยู่ภายในใจ หลันเอ๋อร์ ตอนนี้ข้าไม่อาจทำอันใดได้ทั้งนั้น ทำได้เพียงยึดมั่นคำสัญญาของเจ้ากับข้า หวังว่าการอดทนของข้าจะช่วยช่วยลดความกดดันของเจ้าไปได้สักนิด เจ้าและข้า ไม่แยกจาก ไม่ทอดทิ้ง…
หลังออกพ้นพื้นที่คุมขัง หลินหลันปาดน้ำตาแล้วกล่าวกับหญิงรับใช้วัยกลางคนท่านนั้นด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “ท่านก็เห็นแล้วว่ามิใช่ข้าไม่ให้ความร่วมมือกับไท่โฮ่ว แต่เป็นหมิงอวินเองที่ดื้อดึงเสียเหลือเกิน”
หญิงรับใช้วัยกลางคนกล่าวด้วยสีหน้าสลด “บ่าวจะไปกราบทูลไท่โฮ่วเองเจ้าค่ะ”
หลินหลันยังคงขอใช้วิธีการยื้อเวลาออกไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ นางปฏิบัติตามประสงค์ของไท่โฮ่วแล้ว ส่วนผลลัพธ์จากการกระทำจะออกมาเช่นไรนั้น ไม่ใช่สิ่งนางคนเดียวจะเป็นผู้ชี้วัดได้ ไท่โฮ่วจึงไม่กล่าวโทษนางไม่ได้เช่นกัน
ไท่โฮ่วได้รับฟังรายงาน สีหน้าก็ไม่ดีอย่างยิ่ง นางคิดว่าคนอย่างหลี่หมิงอวินผู้มีความรู้และคุณธรรมสูงส่งเมื่อหลินหลันเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอหย่าร้างคงต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน กลับคาดไม่ถึงเลยว่าหลี่หมิงอวินจะต้องการยื้อคนเขาไว้อย่างหัวเด็ดตีนขาด
“เจ้าจับตาดูอย่างละเอียดและได้ยินอย่างชัดถ้อยชัดคำแล้วหรือ พวกเขามิได้ส่งสัญญาณอันใดให้กันใช่หรือไม่” ไท่โฮ่วยังไม่ค่อยเชื่อว่าการตัดสินของตนเองจะผิดพลาดไปได้
หญิงสาวรับใช้วัยกลางคนผู้นั้นกล่าวตอบ “ข้าน้อยคอยจับตามองอยู่ด้านข้างตลอดเพคะ หมอหลินมิได้พูดประโยคใดๆ ที่มีนัยแอบแฝงสักประโยคจริงๆ เพคะ อาหารการกินทั้งหมดที่หมอหลินนำเข้าไป ข้าน้อยก็ตรวจสอบอย่างรอบคอบแล้วเช่นกัน รวมไปถึงบนเรือนร่างของหมอหลิน ข้าน้อยก็ค้นอยากละเอียดถี่ถ้วนแล้วเช่นกันเพคะ ข้าน้อยกล้ารับประกันได้เลยว่าไม่มีอันใดผิดปกติเพคะ”
ไท่โฮ่วขมวดคิ้ว “เช่นนั้นสายตาล่ะ พวกเขาได้สื่อสารกันผ่านสายตาบ้างหรือไม่” ระหว่างคู่สามีภรรยาที่อยู่กินด้วยกันมาเป็นเวลานาน จะมองข้ามเรื่องการสื่อสารจากใจถึงใจไปไม่ได้เชียว ในบางครั้ง เพียงแค่ส่งสายตาเดียวก็สื่อสารความนึกคิดของอีกฝ่ายได้ ดังนั้นความเป็นไปได้นี้ก็เป็นส่วนสำคัญยิ่งเช่นกัน
หญิงรับใช้ตื่นตกใจขึ้นมาชั่ววูบ ตอนนั้นตำแหน่งที่นางยืนอยู่มองเห็นสีหน้าของคนทั้งสองได้อย่างแจ่มแจ้ง เพียงแต่ ในช่วงหนึ่ง เพราะบัณฑิตหลี่จ้องเขม็งใส่นาง นางจึงหลบสายตาหนี เลยไม่ได้จับตามองทั้งสองคนตั้งแต่ต้นจนจบ หญิงรับใช้เกิดความวิตกกังวลอยู่ในใจ ความประมาทเลินเล่อเล็กๆ น้อยๆ นี้หากให้ไท่โฮ่วรับรู้เข้า และทำให้ไท่โฮ่วซักไซ้ไล่ความขึ้นมา นางคงต้องรับโทษมหันต์อย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยเหตุนี้นางจึงกลั้นใจแล้วกล่าวออกไป “ข้าน้อยจับตามองพวกเขาอยู่ตลอดเวลาเพคะ ข้าน้อยกล้าเอาหัวรับประกันได้เลยว่า พวกเขาทั้งสองมิได้ส่งสายตาสื่อสารกัน หรือส่งสัญญาณลับใดๆ ให้กันทั้งสิ้นเพคะ”
แม่เฉากล่าวอย่างครุ่นคิด “เห็นทีว่าบัณฑิตหลี่ผู้นี้มิใช่คนดีเด่อะไรนะเพคะ”
หญิงรับใช้วัยกลางคนท่านนั้นกล่าวเสริมขึ้นทันควัน “นั่นสิเพคะ! หมอหลินเพิ่งเอ่ยปากไม่ทันไร บัณฑิตหลี่ก็โมโหโวยวายใหญ่โต แล้วยังคว่ำกล่องอาหารที่หมอหลินนำไปให้จนกระจัดกระจายไปทั่ว สีหน้าอารมณ์นั่นอย่างกับจะกินคนทั้งคนได้เลยเพคะ น่ากลัวเสียยิ่งกระไร”
ไท่โฮ่วนิ่งเงียบขณะครุ่นคิดอย่างหนัก เมื่อเป็นเช่นนี้เห็นทีว่าบัณฑิตหลี่ผู้นี้ หากไม่รักใคร่อย่างลึกซึ้ง ก็คงเพราะเขาเป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน การเดินหมากครั้งนี้ของนางคงเป็นอันล้มเหลวอีกครั้งเสียแล้ว
“ให้ข้าเข้าไป ข้าต้องการเข้าเฝ้าไท่โฮ่ว...” อู่หยางจวิ้นจู่ส่งเสียงดังโวยวายขึ้นมาจากด้านนอกประตู
ไท่โฮ่วขมวดคิ้ว “ให้นางเข้ามา แม่ฉู่ เจ้าออกไปก่อน”
อู่หยางมุ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนแล้วคุกเข่าลงเบื้องหน้าไท่โฮ่ว “ไท่โฮ่วเพคะ อู่หยางขอร้องท่าน เรื่องนี้พอแค่นี้เถอะนะเพคะ! ท่านทำให้เขาลำบากใจเช่นนี้ ต่อให้บีบบังคับเขาแต่งกับอู่หยางได้ ก็ไม่อาจปฏิบัติต่ออู่หยางด้วยใจจริงไปได้ ยิ่งไปกว่านั้นคงไม่ยินยอมเข้าข้างท่านพี่องค์รัชทายาทด้วยเช่นกัน ไท่โฮ่วเพคะ ท่านทำเช่นนี้มีแต่จะทำให้สถานการณ์กลับตาลปัตรนะเพคะ” นางกล่าวอ้อนวอน
ไท่โฮ่วชักสีหน้าบึ้งตึงและตรัสด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เรามีความนึกคิดของเรา มิจำเป็นต้องให้เจ้ามาชี้แนะ”
“ไท่โฮ่วเพคะ ท่านยังมองไม่ออกอีกหรือเพคะ คนที่มีอุปนิสัยเป็นกลางอย่างบัณฑิตหลี่ท่านนี้ การบีบบังคับข่มขู่มิช่วยอันใดหรอกเพคะ อย่างที่พวกเขากล่าวไว้ว่ายอมเป็นหยกแหลกลาญ แต่ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์[2]อย่างไรล่ะเพคะ หากไท่โฮ่วอยากให้บัณฑิตหลี่ทุ่มเทเพื่อพวกเรา สิ่งที่ควรกระทำคือการปฏิบัติต่อเขาให้เกิดบุญคุณ หาใช่การบีบบังคับไม่เพคะ…” อู่หยางได้รับรู้เรื่องราวจากปากนางข้าหลวงผู้หนึ่งว่าเมื่อวานนี้ไท่โฮ่วเรียกหลินหลันเข้าเฝ้า นางจึงเกิดความร้อนรนใจอย่างยิ่ง เรื่องนี้นับวันยิ่งเลวร้ายไปกันใหญ่ ขืนปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่อาจแก้ไขใดๆ ได้
ไท่โฮ่วไม่แสดงสีหน้าอาการใดๆ ขณะกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว “เราจะทำการใดยังต้องให้เจ้าคอยสอนด้วยหรือ เจ้าสนใจแค่อยู่ในวังอย่างสงบเงียบเรียบร้อยก็เป็นพอ หากให้เราได้ยินเจ้าพูดจาประเภทนี้อีก เราจะไม่ให้อภัยเจ้าอย่างแน่นอน”
อู่หยางจ้องมองไท่โฮ่วด้วยสีหน้าตกตะลึง นางคิดมาโดยตลอดว่าไท่โฮ่วเป็นผู้ที่จิตใจดีมีเมตตา ไท่โฮ่วปฏิบัติต่อนางอย่างดีเพียงนั้น ตระกูลฉินมีบุตรธิดาจำนวนมากมาย ทว่าไท่โฮ่วกลับเอ็นดูและเข้าข้างนางเพียงผู้เดียว นางจึงต้องการแสดงความกตัญญูต่อไท่โฮ่วด้วยใจจริง ทว่าตอนนี้ ไท่โฮ่วในแบบนี้ทำให้นางรู้สึกเสมือนคนแปลกหน้า แปลกหน้าจนน่าเกรงกลัว สรุปแล้วเป็นเพราะนางคิดอย่างไร้เดียงสาเกินไปหรือเป็นไท่โฮ่วที่ชราภาพจนเลอะเลือนกันแน่ อู่หยางก้มหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น ภายในใจรู้สึกถึงความผิดหวังอย่างสูง
มันเป็นการยากยิ่งที่หลินหลันจะสงบสติอารมณ์ให้นิ่งได้หลังพบเจอหมิงอวิน ไม่ว่าจะทำอันใดก็รู้สึกไม่มีกะจิตกะใจไปหมด เอาแต่เหม่อลอยด้วยความหดหู่ใจ หยินหลิ่วและคนอื่นๆ คิดว่านายหญิงสะใภ้รองคงเห็นนายน้อยรองในสภาพที่ไม่สู้ดีนักเป็นแน่ ถึงได้ดูสีหน้าย่ำแย่เพียงนี้ หลายๆ คนต่างพากันคาดเดาไปต่างๆ นานา ยิ่งพูดคุยยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่ง จึงอดรู้สึกเศร้าโศกไปด้วยไม่ได้ นายน้อยรองช่างน่าสงสารเหลือเกิน
ฝูอานได้ยินที่พวกนางพูดคุยกันจึงคิดไปว่าเป็นคำพูดของนายหญิงสะใภ้รอง จึงรีบไปบ้านตระกูลเยี่ยเพื่อบอกกล่าวนายท่านเยี่ย
เยี่ยเต๋อฮ๋วยไปโรงย้อมผ้าและยังไม่กลับมา ฝูอานจึงนำข่าวคราวบอกกล่าวนายหญิงใหญ่ไว้
สตรีมักนำเรื่องราวนึกคิดไปในเชิงซับซ้อนและร้ายแรงอย่างยิ่ง ดังนั้น พอถึงช่วงค่ำ เยี่ยเต๋อฮ๋วยกลับมาจากโรงย้อมผ้า นางหวังจึงบอกเล่าให้เขาฟังทั้งน้ำตา “หมิงหวินถูกกระทำอยู่ในห้องขังจนไม่เหลือสภาพความเป็นคนเสียแล้ว หลังหลินหลันกลับมาจากไปเยี่ยมหมิงอวิน คนทั้งคนเสมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง ไม่พูดไม่จาใดๆ ทั้งนั้น”
เยี่ยเต๋อฮ๋วยตื่นตระหนกขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน มันขนาดนี้เชียวหรือ สำนึกโต้ตอบแรกของเขาก็คือ ไท่โฮ่วหญิงชราตัวร้ายผู้นี้คงบีบบังคับหมิงอวินให้ทุกข์ทรมาน ทันใดนั้น เขาสั่งการให้คนรีบไปเตรียมรถม้าโดยเร็วแล้วมุ่งหน้าไปบ้านหลังย่อมซึ่งเป็นที่พักอาศัยชั่วคราวของตระกูลหลี่
หลินหลันกำลังพูดคุยกับติงหลั้วเหยียนเกี่ยวกับเรื่องที่ได้เข้าไปเยี่ยมเยียนในวันนี้
ติงหลั้วเหยียนหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาหลังได้สดับรับฟัง “น้องรองปลอดภัยก็ดีแล้ว น่าสงสารก็แต่หมิงเจ๋อ จนตอนนี้ก็ยังไม่อาจพบเจอหน้าเขาได้สักครั้ง ไม่รู้ว่าตอนนี้สถานการณ์ของเขาเป็นเช่นไรบ้าง” นางกล่าวด้วยความเศร้าโศก
หลินหลันเห็นนางเศร้าเสียใจเช่นนี้จึงกล่าวปลอบประโลมนาง “พี่ใหญ่ถูกขังอยู่ในห้องขังของกรมยุติธรรม แม้จะไม่อาจเข้าเยี่ยมได้ ทว่าท่านพ่อของท่านก็ได้ถามไถ่มาบ้างแล้วว่าเขาสบายดีมิใช่หรือเจ้าคะ ท่านทำใจให้สบายเถิด ข้าคิดว่าเรื่องนี้อีกไม่นานก็จะได้ข้อสรุปแล้ว”
ติงหลั้วเหยียนกล่าวด้วยความเศร้าโศก “ไม่เห็นเขากับตาตนเองได้ หัวใจดวงนี้ของข้าก็ไม่อาจวางใจได้ ข้าไม่สนใจหรอกว่าทางราชสำนักจะกำหนดบทลงโทษอันใดให้แก่เขา ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ให้ข้าได้ติดตามเขาไปก็เป็นพอ อย่างน้อยๆ ก็ดีกว่าตอนนี้ที่ไม่อาจรับรู้อันใดได้เลย ได้แต่กระวนกระวายใจและอดทนไปวันๆ”
“พี่สะใภ้เจ้าคะ พี่ใหญ่มิเป็นไรหรอกเจ้าค่ะ ท่านเชื่อข้านะเจ้าคะ” หลินหลันกอบกุมมือของติงหลั้วเหยียนเพื่อเป็นการให้กำลังใจและความเชื่อมั่นแก่นาง ว่ากันตามจริง เมื่อก่อนนางเห็นพี่สะใภ้มักปฏิบัติต่อพี่ใหญ่อย่างเย็นชามาโดยตลอดจึงคิดว่าคู่สามีภรรยาทั้งสองคนนี้คงไม่มีความรู้สึกอันใดต่อกัน แต่หลังเกิดเรื่องราวขึ้น นางถึงค้นพบว่าตนเองคิดผิดไป พี่สะใภ้รักพี่ใหญ่ไม่น้อยเลยทีเดียว
ติงหลั้วเหยียนพลิกมือกลับเป็นฝ่ายกอบกุมมือของหลินหลันและกล่าวด้วยเสียงสะอึกสะอื้น “น้องสะใภ้ ทว่าในใจข้าไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย มันรู้สึกว่างเปล่าอย่างยิ่ง”
“พี่สะใภ้ ยิ่งเป็นช่วงเวลานี้ พวกเรายิ่งต้องหนักแน่นเอาไว้ให้มากๆ เราเศร้าโศกเสียใจไปก็มิช่วยอันใด มิสู้ดูแลตนเองให้ดีๆ เข้าไว้ เช่นนี้ถึงจะเป็นการสนับสนุนอันยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับพี่ใหญ่ ตราบใดที่พวกเราสบายดี พวกเขาที่อยู่ในห้องขังก็จะวางใจได้อย่างไรเจ้าคะ!” หลินหลันปลอบประโลม
หรูอี้วิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ “เอ้อร์เส้าหน่ายนายเจ้าคะ นายท่านลุงมาเจ้าค่ะ”
หลินหลันตกตะลึงเล็กน้อย เหตุใดท่านลุงถึงมายามดึกดื่นปานนี้
ติงหลั้วเหยียนรีบปาดน้ำตา “น้องสะใภ้ เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนละ”
ยามที่เยี่ยเต๋อฮ๋วยเข้ามาแล้วเห็นติงหลั้วเหยียนที่กำลังดวงตาแดงระเรื่อ ภายในใจจึงยิ่งรู้สึกกระวนกระวาย เมื่อเห็นหลินหลันจึงเอ่ยถามทันที “หมิงอวินเป็นอย่างไรบ้างหรือ นางหญิงชราจอมร้ายจากรังแกเขาแล้วใช่หรือไม่”
หลินหลันประหลาดใจที่ถูกถามดังกล่าว “เหตุใดท่านลุงถึงคาดเดาไปเป็นเช่นนั้นล่ะเจ้าคะ”
เยี่ยเต๋อฮ๋วยตะลึงงัน “มิใช่เจ้าให้ฝูอานไปบอกกล่าวเองหรอกหรือว่าหมิงอวินโดนเล่นงานจนไม่เหลือสภาพความเป็นคนแล้ว”
หลินหลันเผยรอยยิ้มขมขื่น ใครเป็นผู้สร้างข่าวลวงนี้กันนะ เล่นเสียท่านลุงกระวนกระวายใจจนเส้นเลือดในสมองแทบจะระเบิดขึ้นมาให้ได้
“ท่านลุงเจ้าคะ ท่านใจเย็นก่อนนะเจ้าคะ มีเรื่องนี้ที่ไหนกันเจ้าคะ” หลินหลันเรียนเชิญผู้เป็นลุงนั่งลงแล้วสั่งการหรูอี้ให้ไปยกน้ำชาเข้ามาให้
“เช่นนั้นเหตุใดฝูอานถึงพูดเช่นนี้ไปได้” เยี่ยเต๋อฮ๋วยกล่าวด้วยความประหลาดใจ
หยินหลิ่วที่อยู่ด้านข้างเผยรอยยิ้มเล็กน้อย แล้วกล่าวอย่างร้อนตัว “อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้พวกข้าน้อยคาดเดาไปต่างๆ นานาแล้วฝูอานมาได้ยินเข้าน่ะเจ้าค่ะ…”
หลินหลันตวัดสายตามองนาง “ใครให้พวกเจาพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อยหรือ”
หยินหลิ่วกล่าวอย่างไร้เดียงสา “พวกข้าน้อยเห็นว่าหลังเอ้อร์เส้าหน่ายนายกลับมาก็เอาแต่หน้าเศร้าสร้อย ถอนหายใจแล้วถอนหายใจเล่า ก็เลยคิดว่าเอ้อร์เส้าเหยีย...”
หลินหลันรู้สึกราวกับอยากหัวเราะทั้งน้ำตา “เอาละๆ คราวหลังช่วยตีโพยตีพายไปเองให้มันน้อยๆ หน่อย พวกเจ้าถอยออกไปก่อนเถอะ ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับท่านลุง”
[1]ยาเม็ดตานเซิน (丹参丸) ยาสมุนไพรที่มีคุณสมบัติช่วยให้เลือดและลมปราณไหลเวียนดี ดับร้อนในเลือด
[2]ยอมเป็นหยกแหลกลาญแต่ไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์ (宁为玉碎 , 不为瓦全) หมายความว่า ตั้งมั่นในความดีไม่เปลี่ยนแปลง ไม่หลงไปในทางเลว แม้จะรู้ดีว่าจะเกิดอันตรายกับตัวเอง