บทที่ 161 หัวหน้าฝ่ายบุคคลคนใหม่

ท่านเทพกลับมาเป็นคุณพ่อ[神尊归来当奶爸]

“ทำไมเจ้าถึงทำตัวไร้ยางอายกับข้าแบบนี้!?”

เมื่อเห็นว่าสร้อยคอสุดรักสุดหวงถูกฉกไปต่อหน้าต่อตา คงเหอก็เดือดจนหน้าดำหน้าแดง เขาไม่เคยโดนใครดูหมิ่นแบบนี้มาก่อนในชีวิต!

อย่างไรก็ตามอวี้ฮ่าวหรานก็ไม่ได้ใส่ใจเลยว่าคงเหอจะเดือดแค่ไหน เขาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าไม่แยแสว่า “ข้าชอบสร้อยเส้นนี้มาก เจ้าคงไม่ว่าอะไรใช่ไหมหากข้าจะเอาไป?”

ถามความเห็น?

ไอ้เวรนี่มันกล้าถามความเห็นของข้าในเรื่องแบบนี้ได้ยังไง!?

คงเหอจ้องเขม็งไปที่อวี้ฮ่าวหรานด้วยสายตาทั้งเดือดดาลและเคียดแค้น

“คืนมันมาให้ข้าเดี๋ยวนี้! ข้าไม่ให้!”

ถึงแม้ว่าเขาจะบาดเจ็บภายในแต่ด้วยความโมโหและต้องการของ ๆ ตัวเองคืน คงเหอฝืนยันกายลุกขึ้นและเอื้อมมือหวังจะไปคว้าสร้อยคอคืนกลับมา

“ก่อนหน้านี้มันเป็นของเจ้า แต่ตอนนี้มันเป็นของข้าแล้ว”

อวี้ฮ่าวหรานมองคงเหอด้วยแววตาเหยียดหยามก่อนที่เขาจะยกเท้าขึ้นถีบอกคงเหอซึ่งกำลังพยายามเอื้อมมือมาแย่งสร้อยคอไปจนกระเด็นกลิ้งกลับหลังไปไกลกว่า7เมตร

“เจ้า! ทำไมเจ้าถึงไร้ยางอายได้ขนาดนี้!?”

คงเหอตะโกนขึ้นด้วยความรู้สึกเสียดายสร้อยคอของเขาเอง

สร้อยคอนี้เขาใส่มันมาหลายปีแล้ว มันเป็นสร้อยคอที่วิเศษที่สุดที่เขาเคยมีมา มันสามารถดูดซับมวลพลังวิญญาณที่ปะปนอยู่ในอากาศเข้ามากักเก็บในอัญมณีได้เรื่อย ๆ ซึ่งถึงแม้ว่าแต่ละวันมันจะดูดซับพลังวิญญาณมาได้ไม่มากนัก แต่เขาก็ยังไม่เคยเห็นสมบัติชิ้นไหนที่ทำได้แบบนี้

สิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้มันเกินความคาดหมายของเขามากเกินไป ทั้งความแข็งแกร่งของอวี้ฮ่าวหรานที่ล้ำลึกจนยากจะหยั่งถึงและยิ่งไปกว่านั้นความไร้ยางอายที่เหลือรับของฝั่งตรงข้าม!

“อย่างโอดครวญให้มากนัก! วันนี้เจ้าบังอาจมารบกวนข้ากลางดึก ดังนั้นข้าจะยึดมันเพื่อเป็นบทลงโทษที่เจ้าบังอาจมารบกวนข้า!”

หลังจากพูดจบ อวี้ฮ่าวหรานก็หมุนตัวแล้วเดินจากไปในทันที แต่หลังจากที่เดินออกไปได้ 3-4 ก้าวเขาก็นึกอะไรบางอย่างออกซึ่งมันทำให้เขาหยุดฝีเท้าแล้วหันกลับมาเดินเข้าหาคงเหออีกรอบ

“จ…เจ้ายังต้องการอะไรอีก?”

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเดินกลับมาหาตัวเองอีกรอบ คงเหอ รู้สึกตื่นตระหนกทันที

“ไม่ต้องห่วงข้าไม่ได้วางแผนจะฆ่าเจ้าหรอก ข้าแค่อยากรู้ว่าเจ้าไปได้สร้อยคอเส้นนี้มาจากที่ไหน?”

อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นถามด้วยสีหน้าสนใจ

สมบัติที่สามารถดูดซับพลังวิญญาณเข้าไปกักเก็บในตัวมันได้เรื่อย ๆ แบบนี้ย่อมต้องเป็นของที่หายากมาก ๆ ในโลกนี้ หากเขารู้เบาะแสว่าสามารถหามันเพิ่มได้จากที่ไหนอีกมันจะยิ่งดีมากกว่าเดิม

“เจ้าอยากรู้แค่นี้จริง ๆ งั้นเหรอ?” คงเหอถามกลับด้วยสีหน้าโล่งอก ตอนนี้เขากลัวมากว่าฝั่งตรงข้ามจะฆ่าเขาทิ้งที่นี่

“ข้าบังเอิญเจอมันในหุบเขาที่ห่างไกลจากที่นี่ แต่ถ้าเจ้าคิดอยากจะได้สมบัติแบบนี้อีกล่ะก็ เจ้าไม่มีทางหามันเจอได้อีกแน่นอน”

ด้วยความกลัว คงเหอจึงไม่กล้าปกปิดข้อมูลใด ๆ

“เจ้าไม่ได้โกหกข้าใช่ไหม?” อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับใช้เนตรเทวะจ้องมองปฏิกิริยาของคงเหอเพื่อดูว่าอีกฝ่ายโกหกรึเปล่า

“ข้าพูดจริงแน่นอน! ไม่อย่างนั้นข้าจะหวงแหนมันมากขนาดนี้ทำไม!” คงเหอรีบยืนยันคำพูดของเขาทันที

“ดี…เอาล่ะเจ้าสามารถไปได้”

อวี้ฮ่าวหรานโบกมือส่งสัญญาณว่าอีกฝ่ายสามารถจากไปได้ก่อนที่ตัวของเขาจะเดินจากไปเช่นกัน

เมื่อครู่หลังจากใช้เนตรเทวะมองดู เขามั่นใจว่าคงเหอไม่ได้โกหกแน่นอน

ผ่านไปอีกเกือบ1ชั่วโมง

แหล่งกบดานแก็งค์มังกรคราม

“แค่ก แค่ก หยวนหลง เจ้าไปเตรียมสถานที่พักให้อาจารย์ที”

คงเหอในขณะนี้กลับมาหาหยวนหลงด้วยสภาพที่ยังคงมีคราบเลือดติดอยู่ที่มุมปากและเสื้อผ้าของเขาก็ขาดรุ่งริ่งดูน่าอนาถเป็นอย่างมาก

“ท่านอาจารย์?! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับท่าน? ทำไมท่านอยู่ในสภาพแบบนี้? ใครทำร้ายท่าน?”

หยวนหลงตกตะลึงจนตาแทบถลนเมื่อเห็นสภาพอาจารย์ของเขาเอง ในสายตาของเขา อาจารย์ของเขาคือผู้ที่ไร้เทียมทานที่สุด!

แต่วันนี้อาจารย์ผู้ไร้เทียมทานของเขากลับมีสภาพที่ดูไม่ได้เลย

“จะเป็นใครได้อีกล่ะ? ก็ไอ้หนุ่มที่ชื่ออวี้ฮ่าวหรานที่เจ้าขอให้อาจารย์จัดการให้ยังไงล่ะ!”

ในทันทีที่เอ่ยชื่ออวี้ฮ่าวหราน คงเหอก็กัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ

“น…นี่มันเป็นไปได้ยังไง?” หยวนหลงอุทานขึ้นด้วยสีหน้าตกใจ

“เจ้าไม่จำเป็นต้องถามอะไรให้มากนัก ตอนนี้เจ้าแค่ไปเตรียมสถานที่ให้ข้ารักษาอาการบาดเจ็บของตัวข้าเองเท่านั้นพอ ส่วนเรื่องแก้แค้นเอาไว้ค่อยว่ากันอีกทีในอนาคต!”

หลังจากพูดคุยกันอีกไม่กี่คำ หยวนหลงก็รีบพาอาจารย์ของเขาไปที่คฤหาสน์สุดหรูเพื่อพักรักษาตัว

เรื่องที่เกิดขึ้นกับคงเหอทำให้หยวนหลงรู้สึกหนาวไปถึงสันหลัง เขาไม่นึกเลยว่าอวี้ฮ่าวหรานจะแข็งแกร่งถึงขนาดอัดอาจารย์ของเขาจนหมดสภาพแบบนี้ได้

นี่เขาไปล่วงเกินตัวตนระดับไหนเข้ากันแน่?

เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจที่ในวันนั้นที่ผับเขาไม่ได้ทำอะไรหุนหันพลันแล่น ไม่เช่นนั้นวันนี้เขาอาจจะนอนอยู่ในโลงไปแล้วก็เป็นไปได้

ที่อีกด้านหนึ่ง

หลังจากกลับมาถึงห้องตัวเอง อวี้ฮ่าวหรานมองดูสร้อยคอที่ยึดมาได้จากคงเหอด้วยสีหน้าพึงพอใจ

ถึงแม้ว่าอัญมณีสีแดงที่ห้อยอยู่กับสร้อยคอมันจะไม่ได้มีขนาดใหญ่อะไรนักแต่พลังวิญญาณที่อัดแน่นอยู่ข้างในมันมีจำนวนมากยิ่งกว่าวัตถุโบราณทุกชิ้นที่เขาเคยเจอมาซะอีก

ด้วยพลังวิญญาณอันมหาศาลที่อยู่ในอัญมณีนี้ ระดับการบ่มเพาะของเขาจะต้องเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากแน่นอน!

เมื่อคิดได้เช่นนี้ อวี้ฮ่าวหราน ก็เริ่มดูดซับพลังวิญญาณที่อยู่ด้านในอัญมณีทันที

หลายวันผ่านไป

เช้าวันเสาร์ ถวนถวนตื่นขึ้นมาพร้อมกับคำขอร้องอยากจะไปเที่ยวสวนสนุกในร่มของบริษัทอีกครั้ง

แน่นอนว่าอวี้ฮ่าวหรานไม่ปฏิเสธเพราะไม่ว่ายังไงวันนี้เขาก็ต้องไปบริษัทของเขาอยู่ดี

เมื่อส่ง ถวนถวน เข้าไปเล่นในสวนสนุกในร่มเรียบร้อย อวี้ฮ่าวหรานก็ไปนั่งในออฟฟิศตัวเองเพื่อฟังผู้จัดการหวังรายงานเรื่องต่าง ๆ

“ท่านประธาน ถึงแม้ว่าหลายวันมานี้คำสั่งซื้อจะลดลงไปบ้างแต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะผู้ซื้อจำเป็นต้องใช้เวลาในการขายสินค้าที่ซื้อไปจากเรา…”

“ก๊อกๆๆ..0”

ในขณะที่ผู้จัดการหวังกำลังรายงานอยู่นั้นจู่ ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะ

อวี้ฮ่าวหรานขมวดคิ้วทันที…ใครกันมาขัดจังหวะเขาในเวลานี้?

“เข้ามา!”

หลังจากสิ้งเสียงอนุญาต หญิงสาวคนหนึ่งที่หน้าตาดูดีพอประมาณแต่แต่งหน้าหนาเตอะและใส่ชุดแบบฉบับสาวออฟฟิศแต่รัดรูปเน้นสัดส่วนชัดเจนก็เปิดประตูเข้ามา

“สวัสดีค่ะท่านประธานอวี้!”

หญิงสาวเอ่ยขึ้นทักทายด้วยแววตาเย้ายวน แต่เสียงของเธอค่อนข้างแหลมเล็กน้อยซึ่งมันทำให้ผู้ฟังรู้สึกไม่สบายหูสักเท่าไหร่

“คุณเป็นใคร?”

อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้เอ่ยทักทายตอบเพราะเขาไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร

เมื่อเห็นเช่นนี้ผู้จัดการหวังถือโอกาสแนะนำหญิงสาวให้ อวี้ฮ่าวหราน รู้จักทันที

“ท่านประธานอวี้…นี่คือเผิงอิงอิง เธอเป็นหัวหน้าแผนกฝ่ายบุคคลคนใหม่ของเรา เนื่องจากคนเก่าออกไปพร้อมกับเจิ้งเหวยกัวดังนั้นเราเลยจ้างเธอมาแทน”

“อ้อ ผมเข้าใจแล้ว เอาล่ะคุณออกไปได้”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าจากนั้นเขาโบกส่งสัญญาณให้เผิงอิงอิงออกไป

“ท่านประธานอวี้ ฉันเพิ่งทำงานวันนี้วันแรกและบริษัทของท่านก็ใหญ่โตเป็นอย่างมาก มันคงจะดีหากท่านประธานช่วยพาดิฉันเดินดูบริษัทให้ทั่วสักรอบหนึ่งว่าไหม?”

เมื่อเห็นว่า อวี้ฮ่าวหราน ไม่ค่อยสนใจตัวเอง เผิงอิงอิงจึงตัดสินใจรุกเข้าหาก่อน เธอพยายามข่มเสียงแหลมของเธอให้มากที่สุดและแทนที่ด้วยน้ำเสียงออดอ้อนพร้อมกับเดินเข้ามาที่โต๊ะอวี้ฮ่าวหรานด้วยท่าทางการเดินบิดตัวไปบิดตัวมาอย่างเย้ายวน

แน่นอนว่าไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเธอพยายามจะล่อลวงอวี้ฮ่าวหราน

“หรือถ้าหากตอนนี้ท่านประธานยังไม่ว่างเอาเป็นว่าฉันขอชวนท่านประธานไปทานอาหารค่ำกับฉันคืนนี้ได้ไหม? หรือจะไปดื่มกันก็ได้ ฉันดื่มเก่งพอสมควรเลยล่ะ”

เธอพูดต่อด้วยแววตาเป็นประกาย

อย่างไรก็ตามในทางกลับกันอวี้ฮ่าวหรานกลับแสดงสีหน้าเมินเฉย…