ลูกศรมากมายสาดกระหน่ำลงมาจากกำแพงเมือง ทำให้พวกหนิงได้รับบาดเจ็บ และแม้จะมีหมวกหรือชุดเกราะป้องกัน มันก็ไม่สามารถต้านทานลูกศรในระยะใกล้ขนาดนั้นได้

เมื่อเห็นเช่นนั้น สองพี่น้องจ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้ที่อยู่ข้างหลังก็หน้าซีดด้วยความตกใจ พวกเขารีบสั่งให้ทั้งกองทัพล่าถอย ออกจากระยะของกำแพงเมืองจินฮั๋วทันที

ถึงจะเป็นคำสั่งง่าย ๆ แต่กับจำนวนหลายแสนคนแบบนี้ ย่อมใช้เวลาไม่น้อยเลย ซึ่งปัญหามันก็ไม่ได้มีแค่นั้น เพราะการล่าถอยอย่างกะทันหันทำให้เกิดความโกลาหลขึ้น พวกทหารต่างเบียดเสียดกันจนบางคนถูกผลักลงไปอยู่กับพื้น ก่อนโดนเหยียบโดยสหายร่วมทัพของตัวเอง

การโจมตีอย่างกะทันหันของถังหยินได้ผลอย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้กองกำลังในแนวหน้าของพวกหนิงพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว ด้วยพวกเขาอยู่ในระยะโจมตีพอดี

เมื่อกองทัพหนิงออกจากระยะของลูกศรมาได้ พวกเขาก็พากันมองไปยังบริเวณนอกเมืองจินฮั๋วซิตีที่มีศพกระจัดกระจายไปทั่ว

แคว้นหนิงที่มีชื่อเสียงในการยิงธนูกลับได้รับความสูญเสียครั้งใหญ่เพราะถูกอีกฝ่ายยิงธนูเข้าใส่งั้นเหรอ ! สองพี่น้องจ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้คิดอย่างโกรธแค้น

ภายใต้การบังคับบัญชาของสองพี่น้องจ้าน กองทัพหนิงก็เริ่มปรับขบวนทัพอย่างรวดเร็ว มีกองทหารแนวหน้าที่ถูกสร้างขึ้น กองทัพกลาง และตามด้วยขบวนพลธนูที่ถูกใช้เพื่อปราบปรามศัตรู ส่วนกองทหารด้านหลังนั้น พวกเขาก็ถูกวางไว้เพื่อใช้เป็นกำลังเสริม เรียกได้ว่ากองทัพทั้ง 4 แสนนายที่เดิมกระจัดกระจายได้กลายเป็นเครื่องจักรสงครามขนาดใหญ่และแม่นยำในพริบตา

ตู้ม ! โครม !

กองทัพแนวหน้าเป็นกลุ่มแรกที่ก้าวไป ก่อนที่ทหารหนิงนับหมื่นนายที่สวมหมวกและเกราะเหล็กจะพร้อมใจกันชูแผ่นเหล็กขึ้นเหนือศีรษะ ทำให้ดูเหมือนกระจกหนาบานใหญ่

เมื่อพวกเขาใกล้ถึงระยะที่ต้องการ ทัพหน้าทั้งหมดก็หยุดการเคลื่อพลและทหารที่อยู่ด้านหน้าก็พากันแยกไปทางซ้ายและขวา ก่อนจะมีแม่ทัพนายหนึ่งที่มือถือคทายาวไว้เดินออกมา เขาควบม้าวิ่งไปที่ด้านหน้าของกองทหาร พร้อมทั้งชี้ไปที่กำแพงเมืองด้วยคทาในมือและตะโกนว่า “ไอ้พวกชั่วช้า กล้าใช้วิธีการลอบสังหารเชียวหรือ ? ถ้าแกมีความกล้าพอก็ออกมาสู้กับข้าคนนี้ !”

เมื่อแม่ทัพหนิงกล่าวว่าศัตรูของพวกเขาชั่วร้าย มันก็ทำให้กองทัพเฟิงโกรธจนแทบกระอักเลือด โดยไม่รอให้คนอื่นพูด หยวนยู่ก็ได้ดึงม้าของเขาไปและพูดกับถังหยิน “ข้าจะไปเด็ดหัวมันเอง !”

ถังหยินคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ จากนั้นก็ตัดสินใจว่าคงเป็นการดีกว่าที่จะปล่อยให้หยวนยู่ทำลายศัตรู เพราะมันจะช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจ และทำให้พวกเขาป้องกันตัวเองได้ง่ายขึ้น ดังนั้นชายหนุ่มจึงพยักหน้าตอบไปว่า “หยวนยู่ พวกหนิงแตกต่างจากพวกซ่งเทียนมากทีเดียว ดังนั้นระวังตัวให้ดี !”

สภาพของแคว้นเฟิงยังไม่คงที่ ทำให้ซ่งเทียนไม่อาจควบคุมทุกอย่างได้เบ็ดเสร็จ ผิดกับพวกหนิง ที่ความแข็งแกร่งทางทหารของพวกมันอยู่ในจุดสูงสุด ด้วยอีกฝ่ายมีแม่ทัพที่เก่งกาจมากพอ ๆ กับจำนวนเมฆบนท้องฟ้า

ถึงจะได้ยินเช่นนั้น หากแต่หยวนยู่ก็เพียงยิ้มก่อนกล่าวว่า “ข้าจะกลับมาอีกในไม่นานนี้ พร้อมกับหัวของมัน !” ในขณะที่พูด เขาก็สั่งให้ทหารเปิดประตู

หยวนยู่ออกจากเมืองพร้อมดาบและม้าโดยไม่ได้นำทหารติดตามมาแม้แต่นายเดียว ซึ่งเมื่อเห็นว่าแม่ทัพของแคว้นหนิงอยู่ที่ไหนแล้ว เขาก็พลันเร่งควบม้าไปทางนั้นในทันที

เมื่อเห็นว่าพวกเฟิงกล้าที่จะส่งคน แม่ทัพหนิงนายนั้นก็ส่งเสียงเย็นชาออกมา ก่อนจะกระตุ้นม้าของเขาออกไปต้อนรับ หลังจากพบกันตัวต่อตัว เขาก็ไม่แม้แต่จะถามชื่อของหยวนยู่ กลับยกคทาหมาป่าในมือขึ้น 0เล็งไปที่หัวของหยวนยู่ แล้วจึงทุบมันลงอย่างดุร้าย ส่วนปากก็ร้องตะโกนไปด้วยว่า “ชีวิตแลกชีวิต !”

หยวนยู่ไม่รีบร้อน เขาแผ่พลังปราณออกแล้วแปรมันให้กลายเป็นเกราะปราณ หลังจากนั้นก็ยกดาบขึ้นต้านรับไม้เท้าของอีกฝ่าย

แคร้ง ! แคร้ง ! ฉับ !

เสียงแรกคือเสียงเสียดหูของเหล็กกระทบกัน จากนั้นก็เป็นเสียงกระดูกหัก พวกเขาต่างมองไปที่สนามรบ และพบเข้ากับภาพที่หยวนยู่กำลังถูกแม่ทัพหนิงนายนี้ทุบกระเด็นออก ก่อนตามมาด้วยม้าของเขาที่กระดูกเอวแตกละเอียด อวัยวะภายในบาดเจ็บสาหัส 7 แห่ง ตายคาที่อย่างรวดเร็ว

สัตว์ใหญ่อย่างม้าถูกฆ่าตายด้วยพลังของไม้เท้า เห็นได้ชัดว่าแม่ทัพคนนี้มีความแข็งแกร่งเพียงใด อีกด้านหนึ่ง หยวนยู่ก็หาได้แยแสกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ เขาลุกยืนและมองไปที่ม้าศึกด้วยความเสียดาย

ในเวลาเช่นนั้น มีหรือที่แม่ทัพหนิงผู้นี้จะพลาดโอกาส เขาหันไม้เท้าในมือให้กลับด้าน ก่อนจะใช้ปลายไม้แหลมแทงเข้าใส่หน้าอกของหยวนยู่

เมื่อปลายแหลมนั่นกำลังแทงเข้ามาหา หยวนยู่ก็ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้น เขาเพียงแค่โบกดาบในมือแบบส่ง ๆ ทำให้เกิดเสียงที่คมชัด ส่งคทาเขี้ยวหมาป่าให้กระเด็นออกไป

หลังจากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่แม่ทัพหนิงนั่น พูดอย่างเย็นชาว่า “อยากประลองความแข็งแกร่งเหรอ ! ย่อมได้ ข้า รับ คำ ท้า !!” สิ้นคำพูด เขาพลันงอเข่า ยืดหลังตรง แล้วกระโจนขึ้นไปบนอากาศเกือบครึ่งจั้งจนเลยผ่านศีรษะของแม่ทัพหนิง และเมื่อเขากำลังตกลงมา หยวนยู่ก็จับดาบในมือแน่น ก่อนฟันออกไปด้วยกำลังทั้งหมด

พลังที่ส่งออกมาครานี้รุนแรงยิ่ง ราวกับมีหินที่มองไม่เห็นกดทับหัวใจของผู้คนจนหายใจไม่ออก ทำให้แม่ทัพผู้นั้นตกใจ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับหนี ได้แต่ใช้อาวุธตนยกขึ้นปัดป้อง

หยวนยู่ไม่คิดอ่อนข้อแม้แต่น้อย ดังนั้นทันทีที่อาวุธทั้งสองปะทะกัน แม่ทัพหนิงผู้นั้นก็พลันตกจากหลังม้า ล้มลงกับพื้น ก่อนกระเด็นไปข้างหลังเหมือนกระสุนปืนใหญ่ไกลถึง 2 จั้ง

ร่างของเขานอนอยู่เช่นนั้น ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างยากลำบากและกระอักเลือดออกมา ทว่าด้วยรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง แม่ทัพหนิงจึงหันมองที่แขน ทำให้เขาพบว่าตอนนี้มันหักงออยู่ในลักษณะที่ผิดปกติ !

หยวนยู่ลากดาบไปกับพื้น ค่อย ๆ เดินไปที่ด้านหน้าของแม่ทัพหนิงนั่น ก่อนโบกมือทีหนึ่ง ทำให้ลำคอของอีกฝ่ายหลุดออก เลือดไหล่พ่นราวกับน้ำพุอาบลงบนเกราะสีขาว

ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว หยวนยู่ก็ได้เอาชีวิตแม่ทัพหนิงนายนี้ไป ทำให้ทั้งกองทัพหนิงไม่กล้าแม้แต่จะเชื่อสายตาของพวกเขาเอง ตกตะลึงจนลืมหายใจ ดวงตาของทุกคนเบิกตากว้าง มองไปยังหยวนยู่ที่กำลังถือศีรษะหนึ่งเอาไว้ในมือ

ทั้งจ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้ต่างตกใจเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า ด้วยยังไม่ทันเริ่มรบพวกเขาก็เสียแม่ทัพไป 2 คนแล้ว ใครกัน ? เป็นใครกันแน่ที่กำลังครองเมืองจินฮั๋วในตอนนี้ ? เป็นไปได้ไหมที่กองกำลังหลักของกองทัพเทียนหยวนจะมาถึงที่นี่แล้ว ?

จ้านอู่ตี้คว้าดาบแสงสีม่วงของตัวเอง หันพูดกับจ้านอู่ฉางว่า “พี่ใหญ่ ข้าจะไปสู้กับมันเอง !”

“…?” ทว่าจ้านอู่ฉางนั้นสงบกว่าน้องชายของตนนัก เขาเพียงโบกมือและพูดว่า “อยู่ที่นี่ซะ เป็นถึงผู้บัญชาการอย่าได้ทำตัวเลือดร้อนใจเดือดแบบนั้น !” ถึงแม้จ้านอู่ฉางและจ้านอู่ตี้เป็นพี่น้องกัน แต่ทั้งสองคนก็มีอายุที่ต่างกันมาก คนพี่แก่กว่าคนน้องถึง 10 ปี เขามีทั้งทักษะการต่อสู้และด้านวรรณกรรม มีบุคลิกที่ระมัดระวัง มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการเป็นผู้นำทางทหาร และเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธเป็นอย่างมาก

แต่แม้ว่ากลยุทธ์ของจ้านอู่ตี้จะไม่ดีเท่าของพี่ชาย ทว่าเขาก็ถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะในหมู่ผู้ใช้พลังปราณ เมื่อเขาอายุเพียง 10 ขวบก็เริ่มมีชื่อเสียงในแคว้นหนิงแล้ว และเมื่ออายุได้ 20 ปี พลังปราณของเขาก็มีมากกว่า พี่ใหญ่ของเขาด้วยซ้ำ

แม้จะไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าพลังปราณของเขาเป็นอันดับ 2 ในแคว้นหนิง แต่มันก็เป็นไปได้ที่เขาจะติดอันดับ 1 ใน 3

เมื่อได้ยินคำตักเตือนของผู้เป็นพี่ จ้านอู่ตี้ก็ค่อย ๆ วางดาบลง ด้วยเขาเคารพพี่ชายของเขามาก ก่อนจะถามกลับไปว่า “ถ้าไม่แล้ว เราควรจะทำอย่างไร”

จ้านอู่ฉางหัวเราะ ชี้ไปที่เมืองจินฮั๋วและพูดว่า “จินฮั๋วไม่ใช่เมืองใหญ่ ทั้งยังไม่มีกองทหารประจำการ กองทัพศัตรูมีอย่างมากที่สุดก็คงประมาณแสนนาย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องคิด เข้าโจมตีและยึดเมืองจินฮั๋วก็หมดปัญหาแล้ว !”

“ตามที่พี่ใหญ่ต้องการ !” ว่าแล้วจ้านอู่ตี้ก็พลันหันศีรษะกลับไปสั่งแม่ทัพที่อยู่รอบ ๆ “โจมตี ! คืนนี้ก่อนฟ้ามืด ทำลายเมืองจินฮั๋วให้ราบคาบ อย่าให้ข้าได้ยินว่ากลับมามือเปล่าเชียว ไปได้ !”

“ขอรับท่าน !” แม่ทัพทุกคนยิ้มกว้างและรับคำสั่ง

จ้านอู่ฉางต้องการที่จะหยุดเขา แต่มือของเขาถูกยกขึ้นแล้วจากนั้นก็ปล่อยลงอีกครั้งในตอนท้าย ใจร้อนเกินไปและไม่ละเอียดลออในการสื่อสาร และด้วยเขาไม่ต้องการที่จะลบล้างเกียรติของผู้เป็นน้องต่อหน้าแม่ทัพคนอื่น ๆ ดังนั้นจ้านอู่ฉางจึงปล่อยน้องชายไป

เมื่อแม่ทัพทั้งหมดส่งคำสั่งให้โจมตี ทหารทั้ง 4 แสนนายของกองทัพหนิงก็พลันเริ่มโจมตีในทันที !

หยวนยู่ต้องการที่จะต่อสู้นอกเมืองกับแม่ทัพใหญ่ของพวกหนิง แต่ถังหยินที่อยู่ในเมืองกลัวว่าเขาจะติดอยู่ในแนวศัตรูและไม่สามารถออกไปได้ จึงเรียกให้อีกฝ่ายกลับมาก่อน

หยวนยู่ไม่เคยฟังคำสั่งของใครก็จริง แต่เขารับฟังคำสั่งของถังหยินในระดับหนึ่ง และแม้ว่าจะไม่เต็มใจ ทว่าเขาก็ยังคงเชื่อฟังแต่โดยดี

หลังจากที่ได้เห็นถังหยิน เขาก็โยนศีรษะของแม่ทัพหนิงลงบนพื้น ก่อนถอดเกราะปราณออกจากศีรษะที่ไร้ร่างนั่น แล้วจึงหัวเราะออกมา “ข้าบอกแล้วว่าจะทำ นี่มันง่ายยิ่งกว่าวิ่งราวกระเป๋าตามตรอกเสียอีก ! ”

ชายหนุ่มพยักหน้าให้หยวนยู่และกล่าวว่า “ลำบากเจ้าแล้ว ตอนนี้กองทัพหนิงกำลังโจมตีเมือง ดูนี่สิ”

เมื่อเห็นรอยยิ้มฝืน ๆ ของถังหยิน หยวนยู่ก็พอจะเดาได้ว่าชายหนุ่มกังวลเกี่ยวกับการป้องกันเมือง ดังนั้นเขาจึงตบอกของตัวเอง ก่อนยิ้มแล้วตอบด้วยความกล้าเหลือล้นกลับไป “นายท่านไว้ใจข้าได้เลย ตราบใดที่ข้ายังอยู่ พวกมันไม่ได้เข้าเมืองอย่างแน่นอน !”

ถังหยินยิ้มกว้าง เขาชอบวิธีที่หยวนยู่ทำให้ทุกคนรู้สึกมั่นใจเต็มร้อย มันไม่เพียงเพิ่มขวัญกำลังใจของพวกทหารเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่ออารมณ์ของเขาด้วยเช่นกัน

ดวงตาของชายหนุ่มแคบลง ที่มุมปากก็โค้งงอขณะที่พูดเบา ๆ ว่า “จงไปสอนให้พวกมันรู้ที ว่าถ้าจะยิงธนูต้องเล็งที่หัว !”

“ ฮ่าฮ่า !” หยวนยู่หัวเราะเป็นการใหญ่ ขณะที่เขาเดินตามถังหยินและปีนขึ้นไปบนกำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว