บทที่ 204

ในขณะที่เคลื่อนทัพเข้าไปใกล้ พวกหนิงก็ปล่อยลูกศรออกมาผ่านช่องว่างระหว่างโล่ขึ้นไปบนกำแพงเมือง ส่วนทางกองทัพเฟิงที่อยู่บนกำแพงเมืองก็พากันปิดกั้นลูกศรด้วยโล่หรือหลบซ่อนอยู่หลังกำแพง ก่อนจะลุกขึ้นยืนและตอบโต้กลับไป

ลูกศรจากทั้งสองฝั่งบินไปมาในอากาศ เช่นเดียวกับเสียงกรีดร้องของทหารที่ดังขึ้นเป็นครั้งครา และเมื่อพวกหนิงเดินทัพมาถึงหน้ากำแพงเมือง แท่งไม้และก้อนหินก็พากันตกลงมาจากด้านบนเข้าใส่ ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น หากแต่ทหารของกองทัพหนิงบางคนก็ยังคงสามารถปีนขึ้นบันไดมาได้

ทว่าเมื่อเทียบกับความบ้าดีเดือดของพวกเบสซ่าแล้ว กองทัพหนิงนั้นช้ากว่ามาก ประการแรกคือชาวแคว้นหนิงไม่แข็งแกร่งเท่ากับชาวเบสซ่า ส่วนประการที่สองก็คือหมวกและเกราะเหล็กของพวกเขาหนักเกินไป ทำให้การปีนขึ้นบันไดเป็นไปได้อย่างยากลำบาก ซึ่งนี่ก็ยังไม่นับรวมที่กองทัพเฟิงใช้ลำไม้ไผ่ในการผลักหรือนำน้ำมันมาเทราดลงบนบันไดนั่นอีก !

ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือด แต่อาศัยเพียงแค่ทหารแนวหน้าไม่กี่หมื่นนายย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่พวกหนิงจะฝ่าแนวป้องกันของกองทัพเฟิงไปได้ ดังนั้นจ้านอู่ฉางจึงได้สั่งให้กองทหารส่วนกลางยิงลูกศรออกไปเพื่อปราบปรามกองทัพเฟิงบนกำแพงเมือง

เมื่อได้รับคำสั่ง ทหารทั้ง 3 แสนนายที่อยู่ตรงกองกลางต่างก็ยิงธนูอย่างพร้อมเพรียงกัน ซึ่งการก่อตัวของลูกศรก็เป็นดั่งคลื่นลมที่ซัดเข้ามาไม่หยุด ไม่มีแม้แต่ช่องว่างให้พักหายใจ

ถังหยินพอจะทราบเรื่องพวกนี้อยู่บ้าง ดังนั้นเมื่อเห็นฝนลูกศรที่กำลังตกลงมา ชายหนุ่มก็พลันหันไปสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาให้เลิกสนใจศัตรูที่กำลังปีนป่าย และยกโล่ขึ้นป้องกันแทน !

ลูกศรของพวกหนิงทรงพลังก็จริง แต่ทว่าทหารของพวกเขานั้นไม่เก่งในการต่อสู้ระยะประชิดแม้แต่น้อย ดังนั้นแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะพุ่งเข้ามา มันก็หาได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม ร่างของพวกเขานั้นถือว่ามีประโยชน์ยิ่ง ด้วยสามารถใช้บังลูกศรของศัตรูได้

ภายใต้คำแนะนำของถังหยิน กองทัพเฟิงทั้งหมดบนกำแพงเมืองพากันก้มลง ซ่อนตัวเองจากสายตาภายนอก ทำให้พวกหนิงมองไม่เห็นสิ่งใดบนกำแพงเมือง

ปั๊ก ปั๊ก ปั๊ก !

ลูกศรถูกยิงไปที่ด้านบนของกำแพงเมือง ก่อนปักลงบนอิฐ ทำให้เกิดประกายไฟกับฝุ่นควันลอยฟุ้ง และในพริบตาเดียวเท่านั้น ก้อนอิฐสีเทาที่ประกอบเป็นกำแพงเมืองก็พลันถูกลูกศรขนนกอินทรีสีดำปกคลุมทั่ว

แม้แต่หยวนยู่ที่ซ่อนตัวอยู่ก็พูดไม่ออกกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเคยได้ยินมาบ้างว่ามือธนูของพวกหนิงนั้นเก่งกาจ แต่เมื่อได้มาเห็นกับตาของตัวเองจริง ๆ มันก็ยากนักที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูด

เขาหันไปหาถังหยินที่หมอบอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงบและถามเสียงดัง “นายท่าน การยิงธนูของพวกหนิงจะใช้เวลานานแค่ไหน ?”

ถังหยินค่อย ๆ ลุกขึ้นพิงกำแพง แล้วจึงหัวเราะอย่างไม่แยแส ปากพูดว่า “มันกำลังจะหยุด !” ก่อนจะตั้งใจฟังเสียงที่เกิดขึ้น และหันไปร้องตะโกนบอกทหารที่อยู่รอบ ๆ “พี่น้อง เตรียมการต่อสู้ระยะประชิด !” ในขณะที่พูด ร่างของชายหนุ่มก็พลันปกคลุมไปด้วยเกราะปราณ พร้อมกันกับที่มือทั้งสองถือดาบรูปพระจันทร์เสี้ยวไว้แน่น

เมื่อได้ยินเสียงของเขา พวกทหารในกองทัพเฟิงก็พากันลดคันธนูและลูกศรลง ก่อนจะหยิบหอกไม่ก็ชักดาบขึ้นมา เพื่อเตรียมรับมือกับพวกหนิงในระยะประชิด

และเมื่อฝนธนูหยุดลง ถังหยินก็ตะโกนทันที “ฆ่า !” ทันทีที่สิ้นเสียง ชายหนุ่มก็ดีดตัวลุกขึ้น เป็นจังหวะเดียวกันกับที่พวกหนิงปีนขึ้นมาพอดี ทำให้อีกฝ่ายตกใจ เผลอเอนตัวไปข้างหลังโดยสัญชาตญาณและเกือบจะตกจากกำแพงเมือง

เมื่อเห็นเช่นนั้น ถังหยินก็เอียงศีรษะ หัวเราะออกมา ก่อนจะยกขาขึ้นเตะไปที่ร่างของทหารคนนั้น ทำให้อีกฝ่ายกรีดร้อง ไม่อาจควบคุมทิศทาง ตกลงไปตามแรงดึงของพื้นโลก

ถังหยินเดินเข้าไปใกล้กำแพง จากนั้นจึงก้มศีรษะลงมอง ทำให้ชายหนุ่มพบเข้ากับพวกหนิงที่กำลังปีนขึ้นมา เขาหัวเราะเสียงดังลั่น เงยหน้าขึ้น ก่อนจะผสานดาบทั้ง 2 เล่มในมือให้กลายเป็นเคียวสีดำ ตวัดกวาดออกไปอย่างแรง !

พวกหนิงทำได้เพียงยกอาวุธในมือขึ้นมาสกัดกั้น แต่มีหรือที่อาวุธธรรมดาจะสามารถต้านทานอาวุธปราณได้ ?

หลังจากเสียงแตกที่คมชัดดังขึ้น ดาบเหล็กหลายเล่มก็พลันหักออกจากกัน เช่นเดียวกับหัวของพวกหนิงนับสิบถูกตัดออก และกลายเป็นหมอกควันสีขาวของพลังชีวิตที่ลอยออกมาจากคอที่ถูกตัดนั่น

ด้านบนของกำแพงเมือง กองทัพหนิงและกองทัพเฟิงที่เฝ้ากำแพงเมืองกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ซึ่งความได้เปรียบของพวกหนิงก็อยู่ที่ชุดเกราะเหล็กของพวกเขาที่แข็งแรงทนทาน ในขณะที่ฝั่งกองทัพเฟิงนั้น จุดแข็งของพวกเขาก็อยู่ที่ความกล้าหาญชาญชัย ที่กล้าแม้แต่จะเข้าแลกชีวิตกับศัตรูให้ตายตกตามกันไป !

การต่อสู้นั้นนองเลือดและขมขื่นอย่างมากตั้งแต่ตอนเริ่มต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกองทัพเฟิงที่ไม่มีทางหลบหนี มีแต่ต้องชีวิตของตัวเองเข้าแลก

ทางด้านถังหยินและหยวนยู่ ในขณะนี้พวกเขาทั้งสองก็กำลังนำเหล่าแม่ทัพทั้งหลายเข้าปะทะโดยไม่สนใจสิ่งใด ด้วยแม้จะต้องตายก็ต้องเอาชีวิตของพวกหนิงให้ได้ !

ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ต้องการขึ้นไปบนกำแพงเมือง หากแต่ทหารที่ขึ้นไปถึงด้านบนสุดของกำแพงเมืองจะถูกกองทัพเฟิงบีบให้ลงไป ทำให้ทหารหนิงที่อยู่ข้างหลังไม่มีที่ให้ถอยอีก ได้แต่มองขึ้นไปด้วยสายตาว่างเปล่า

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่สามารถฝ่าแนวป้องกันของเขาได้ ถังหยินก็เริ่มมั่นใจและโบกเคียวในมือขณะที่ตะโกนออกไป “มากกว่านี้อีก !”

ทหารเฟิงที่อยู่ด้านหน้าเบิกตากว้าง ปากร้องคำรามสุดเสียง พากันพุ่งเข้าหาศัตรู ทำให้พวกเขาถูกหอกและดาบของกองทัพหนิงแทงทะลุไปทั่ว หากแต่พวกเขาก็ใช้โอกาสนี้ เปิดทางให้สหายที่อยู่เบื้องหลังอีกหลายหมื่นคนพุ่งออกมาโจมตี !

โครม !

เสียงเกราะเหล็กของทั้ง 2 ฝ่ายปะทะกันดังกึกก้อง และภายใต้การโจมตีในครั้งนี้ มันก็ทำให้พวกหนิงทั้งหมดที่ปีนขึ้นไปบนกำแพงเมืองพากันก้าวถอยหลังครั้งใหญ่

…และแม้ว่าจะเป็นเพียงก้าวเดียว หากแต่พวกเขาก็เสียหายพอควร ด้วยด้านหลังนั่นคืออากาศอันว่างเปล่า จึงได้แต่ถูกแรงดึงของพื้นโลกพาตัวไป

พวกเขาพากันร่วงหล่นราวกับก้อนหินกลิ้งตกจากภูเขาสูง ทำให้พวกหนิงที่อยู่ด้านล่างหวาดกลัว พากันทำตัวไม่ถูก

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่สามารถทนได้อีกต่อไป หยวนยู่ก็ตะโกนเสียงดังก้อง ใช้ออกด้วยพละกำลังทั้งหมดเข้าผสานกับพลังปราณ ส่งแรงฟาดฟันไปทั่วสนามรบ เปลี่ยนให้ทหารหนิงนับไม่ถ้วนกลายเป็นกองเลือดเนื้อ ต่างกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด …และหลังจากความโกลาหลสงบลง ค่ายของพวกหนิงในตอนนี้มันก็ได้กลายเป็นหลุมขนาดใหญ่แทนเสียแล้ว

เหล่าศัตรูต่างตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายจากการโจมตีครั้งนั้นของหยวนยู่ ซึ่งถังหยินก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ เช่นกัน เขาใช้เคียวในมือเหวี่ยงไปมาอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้ทหารที่อยู่ตรงหน้าล้มลงกับพื้น เปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นพลังปราณย้อนกลับสู่กาย

ในฐานะผู้ใช้ศาสตร์มืด ถังหยินไม่ได้กังวลใด ๆ เกี่ยวกับการใช้พลังปราณในสนามรบเลย ด้วยเขาสามารถใช้เปลวไฟที่มีเติมเต็มพลังปราณได้ ผิดกับคนอื่นที่ยิ่งใช้ก็ยิ่งอ่อนแรง

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่สามารถต่อต้านได้อีกต่อไป ชายหนุ่มก็พลันยกชูมือขึ้นสูง ร้องเรียกตะโกนเสียงดังออกไปว่า “ทำลายล้างพวกหนิงให้สิ้น ! เราต้องทำให้พวกมันได้รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของแคว้นเฟิงเรา !!!”

“ฆ่า !”

ขวัญกำลังใจของกองทัพเฟิงเพิ่มขึ้น เลือดในกายลุกไหม้พลุ่งพล่านอยู่ในตัวของพวกเขา ในเวลานี้ทุกคนลืมเรื่องชีวิตและความตายไปแล้ว มีเพียงศัตรูเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในสายตาและความสนใจ

กองทัพเฟิงเป็นเหมือนกลุ่มที่ถูกฉีดยากระตุ้นยังไงยังงั้น ซึ่งการโต้กลับที่บ้าดีเดือดนี้ก็ทำให้กองทัพหนิงไม่สามารถต้านทานได้อีกต่อไป ทำให้ทหารที่อยู่ข้างหลังต่างก็ล้มระเนระนาด

ในตอนเย็นของวันเดียวกันนั้น มันก็ไม่มีทหารหนิงเหลืออยู่บนกำแพงเมืองอีกต่อไป ซากศพเกลื่อนไปทั่ว เช่นเดียวกับศีรษะของพวกหนิงที่กระจัดกระจายไปทุกหนทุกแห่ง เลือดไหลเหมือนแม่น้ำทะลักลงมาตามผนัง ส่วนทหารของกองทัพเฟิงนั้น ในขณะนี้พวกเขาก็กำลังถูกนับคะแนนโดยหัวหน้าของพวกเขาตามจำนวนหัวที่ได้มา และยิ่งมีคะแนนมากเท่าไหร่ โอกาสที่จะได้เป็นขุนนางก็จักเข้าใกล้มากขึ้นเท่านั้น !

จ้านอู่ฉางที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็พลันออกคำสั่งให้แนวหน้าถอยกลับมา ด้วยตอนนี้สู้ต่อไปก็ไร้ประโยชน์ พวกเฟิงมีขวัญกำลังใจมากเกินไป ผิดกับพวกเขาที่ดูหวาดกลัวตัวสั่นเทา

เมื่อได้รับคำสั่ง พวกหนิงในแนวหน้าก็ไม่รอช้า พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก รีบถอยกลับมาในพลันโดยไม่อิดออด

หลังจากนั้นจ้านอู่ฉางก็ได้ออกคำสั่งให้ล้อมเมืองจินฮั๋วและตั้งค่ายเตรียมไว้ ก่อนเขาจะสั่งให้พวกทหารที่กำลังขนของเร่งความเร็ว เพื่อเข้าร่วมการปิดล้อมในครั้งนี้ด้วย

มีอาวุธมากมายที่กองทัพหนิงใช้ในการโจมตีเมือง แต่ด้วยมีขนาดใหญ่และยุ่งยากเกินไป ดังนั้นพวกมันจึงตามรั้งอยู่ที่ท้ายขบวน

ความพ่ายแพ้ในครั้งนี้นับว่าเกิดจากความประมาทโดยแท้ ด้วยพวกหนิงไม่เคยคิดเลยว่ากองทัพเฟิงจะรับมือได้ยากขนาดนี้ ! หากทว่าในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว งั้นศึกหน้าพวกเขาก็จะทำการปรับเปลี่ยนแผน ใช้การเข้าล้อมและโจมตีทั้ง 4 ทิศแทน และด้วยความช่วยเหลือของอาวุธหนักที่ตามมา พวกเขาก็มั่นใจยิ่งว่าศึกคราหน้าจะไม่เป็นเช่นนี้อีก !

ในขณะที่พวกหนิงกำลังเข้าล้อมและตั้งค่าย ทางฝั่งพวกเฟิงเองก็กำลังพักผ่อนเช่นกัน ด้วยศึกครานี้แม้ว่าจะมีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ แต่มันก็ไม่ได้มากมายนัก นับว่าค่อนข้างจะน้อยเลยด้วยซ้ำ