บทที่ 208 หวั่นซี เนี่ยนซี

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

“อยู่ที่ใด ข้าดูหน่อย” หลังจินเฟยเหยาได้ยินการถ่ายทอดเสียงก็รีบเดินมาแนบกับผนังและกวาดดู กลับพบว่าการรับรู้กวาดเข้าไปในนั้นไม่ได้ ความแตกต่างของพลังการบำเพ็ญที่น่าตาย

ไม่เห็นคนในนั้นทำให้จินเฟยเหยาไม่พอใจ ดังนั้นจึงเอ่ยอย่างเดือดดาล “พี่จู๋ นำพวกเขาออกมาได้หรือไม่?”

จู๋ซวีอู๋ตรวจสอบดูรอบหนึ่งจึงเอ่ย “ด้านบนมีการป้องกัน ถ้าจะทำลายวงเวทต้องใช้เวลาหน่อย ถ้าแข็งขืนทำลายทันที ความเคลื่อนไหวจะใหญ่โตเกินไป”

“ท่านว่าด้านในจะมีสิ่งของมีค่าหรือไม่ ถ้ามีก็เปิด ถ้าไม่มีก็ช่างเถอะ” จินเฟยเหยาเอ่ยถามอย่างสนใจ

“หา?” จู๋ซวีอู๋ตะลึงงัน “เจ้าไม่คิดจะช่วยคน?”

จินเฟยเหยามองเขาอย่างสงสัย “เพราะเหตุใดข้าต้องช่วยคน? คนของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยไม่ชอบข้า ครั้งที่แล้วยังคิดจะสังหารข้า ข้าไม่ชอบพวกเขา”

เพราะเหตุใด? จู๋ซวีอู๋จนคำพูด บอกไม่ช่วยคนได้อย่างมีเหตุผลเต็มปากเต็มคำ เปลี่ยนเป็นคนปกติน่าจะพูดเสแสร้งสักหลายประโยค

ใช้การรับรู้กวาดดูในกำแพงอีกหลายครั้ง พบว่าด้านในมีสิ่งของที่มีปราณวิญญาณจำนวนมากจริงๆ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยว่า “มี ด้านในมีพื้นที่ไม่เล็กนัก มีสิ่งของที่มีปราณวิญญาณมากมาย”

“พี่จู๋ ใช้ประตูซวีคงอะไรนั่นเข้าไปได้หรือไม่?” จินเฟยเหยานึกถึงเวทมนตร์ที่จู๋ซวีอู๋ใช้ก่อนหน้านี้ คิดจะทะลุกำแพงมิใช่ง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือหรือ

จู๋ซวีอู๋เอ่ยอย่างไม่พอใจ “นั่นไม่ใช่เวทมนตร์ที่ใช้สำหรับทะลุกำแพงขโมยของโดยเฉพาะ เดินในเส้นทางที่ถูกต้องหน่อยได้หรือไม่ ทะลวงการป้องกันเข้าไป”

“ไม่ใช่คนโง่เสียหน่อย สามารถเข้าไปได้ในพริบตาชัดๆ จะเปิดการป้องกันทำไม” จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างงุนงง

“ไม่ใช่สามารถเข้าไปในสถานที่ทุกแห่งได้ ถ้าลงการป้องกันอันแข็งแกร่งไว้ประตูซวีคงก็ไปไม่ได้ เวทมนตร์ทุกอย่างล้วนมีการเสริมกันและสะกดข่มกัน ไม่มีสิ่งที่ไร้เทียมทาน” จู๋ซวีอู๋นำใบไผ่บนศีรษะลงมา ปากบ่นพึมพำ

นิสัยเด็กน้อยจริงๆ จินเฟยเหยาหัวเราะพลางเอ่ย “รู้แล้ว ท่านลองดูก่อน ถ้าไม่ไหวค่อยเปิดการป้องกัน”

จู๋ซวีอู๋ใช้ใบไผ่เล็กๆ วาดบนกำแพงทำเป็นประตูซวีคง แสงรัศมีสีเขียวของประตูซวีคงเพิ่งปรากฏขึ้น พวกเขาสองคนยังไม่ทันยินดี แสงก็กระพริบแล้วหายไป ไม่ไหว

“การป้องกันแข็งแกร่งเกินไป ไม่มีทางเชื่อมต่อประตูซวีคงได้” จู๋ซวีอู๋ส่ายศีรษะ

ดียิ่งนัก ที่แท้ประตูซวีคงของเจ้าหมอนี่ใช้ไม่ได้กับทุกสถานที่ จะว่าไป เขาก็ใช้ประตูซวีคงเข้าวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจที่บรรจุมังกรสิบสองตัวของข้าไม่ได้ตามใจชอบ

ถึงจินเฟยเหยาจะมองไม่เห็นท่าทางของจู๋ซวีอู๋ ทว่ายังมองเห็นประตูซวีคงที่มีแสงสีเขียว พอเห็นว่าล้มเหลวนางก็แอบยินดี เพียงแต่จู๋ซวีอู๋มองเห็นนางดังนั้นนางจึงไม่แสดงออกบนใบหน้า

“เช่นนั้นได้แต่ฝืนเปิดการป้องกัน ข้าจะไปเฝ้าต้นทาง พลังการบำเพ็ญเพียรของท่านสูงส่ง ที่นี่มอบให้เป็นหน้าที่ท่าน” จินเฟยเหยาเอ่ยจบก็ยิ้มแย้มวิ่งไปเฝ้าตรงประตู

จินเฟยเหยาดูต้นทาง จู๋ซวีอู๋เปิดการป้องกัน ทั้งสองคนแอบขโมยสิ่งของ

“สิ่งนี้ยุ่งยากจริงๆ แข็งแกร่งกว่าการป้องกันในคลังสมบัติของตำหนักซวีชิงหลายเท่า” จู๋ซวีอู๋ขมวดคิ้วใช้เนตรชิงหมิงมองพินิจการป้องกันบนกำแพง พอเห็นก็รู้แล้วว่ายอดฝีมือเป็นผู้กระทำ

ถึงตนเองจะมีความสำเร็จเล็กน้อยในด้านวงเวท แต่เนื่องจากมีพรสวรรค์จำกัด ต่อให้เชี่ยวชาญก็ยังห่างไกลจากบรรดาปรมาจารย์อยู่หนึ่งช่วงใหญ่ วงเวทเล็กๆ เบื้องหน้ามีการเปลี่ยนแปลงหนึ่งร้อยแปดสิบชนิด ทำให้เขารู้สึกตึงมืออยู่บ้าง

“อย่าบ่นน่า คนเราต้องมีความเชื่อมั่น ท่านรีบคิดหาวิธีเปิดเถอะ ใช้กำลังโจมตีก็ได้” จินเฟยเหยาเอ่ยพลางโบกไม้โบกมือให้เขาโดยไม่หันมา

นี่ถือเป็นความเชื่อมั่นประเภทใด จู๋ซวีอู๋ลูบศีรษะ ตัดสินใจเดินไปตามหนทางที่ถูกต้อง

ในยามนี้เอง จินเฟยเหยาพลันวิ่งมาหายื่นมือลูบคลำวุ่นวาย ปากยังเอ่ยเตือน “รีบซ่อนตัว สตรีผู้นั้นกลับมาแล้ว!”

กลับมาในยามนี้ได้อย่างไร! จู๋ซวีอู๋รีบฉุดดึงจินเฟยเหยาที่กำลังลูบคลำเปะปะเอาไว้และกระโดดขึ้นบนขื่อ โยนผ้าโปร่งชิ้นหนึ่งคลุมพวกเขาสองคนไว้ จากนั้นถ่ายทอดเสียงมาว่า “นี่เป็นของวิเศษที่สามารถบดบังกลิ่นอายและพลังวิญญาณของพวกเราสองคน ไม่เช่นนั้นพอการรับรู้ของนางกวาดดูก็สามารถพบเห็นพวกเรา อีกสักครู่จำไว้ห้ามปล่อยการรับรู้ออกไปเดี๋ยวจะถูกพบเห็น”

จินเฟยเหยาพยักหน้า “พี่จู๋ ท่านทำงานนี้เป็นประจำชัดๆ เครื่องมือก็เตรียมไว้พร้อมสรรพ ข้าเทียบท่านไม่ได้เลย”

“บอกแล้วว่าข้าไม่ใช่โจร!”

กำลังพูดอยู่ ประตูใหญ่ก็ส่งเสียงดัง ผ้าโปร่งสีดำพุ่งชนเข้ามาอย่างป่าเถื่อน ด้านหลังมีหวาซีที่สวมชุดสีดำเช่นเดียวกันตามมาติดๆ

ท่าทางหวาหวั่นซีจะบาดเจ็บสาหัส เข้าประตูมาก็ล้มลงกับพื้น เมื่อเงยหน้าขึ้นมุมปากมีสีแดงโลหิต

“หวั่นซี พวกเราไปเถอะ ไปจากที่นี่ไปยังสถานที่ซึ่งไม่มีคนอื่น อย่าอยู่ที่นี่แย่งชิงกับพวกเขาเลย การป้องกันของคฤหาสน์ต้านทานผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ยี่สิบคนไม่ได้ อย่าอวดดีอีกต่อไปเลย!” หวาซียื่นมือมาคิดจะลูบหวาหวั่นซี กลับถูกนางผลักออก

หวาหวั่นซีด่าทอหวาซี “ไปในที่ที่ไม่มีใคร ไสหัวไปเลย ข้าไม่อยากเห็นท่านสักนิด!”

“หวั่นซี! เจ้าฟังข้าเถอะ ในโลกนี้มีเพียงข้าที่ดีต่อเจ้า” หวาซีมีสีหน้าขมขื่น คิดจะยื่นมือมาหา กลับกลัวว่าหวาหวั่นซีจะไม่ยินยอม

“ฮ่าๆๆ! ดีต่อข้า?” หวาหวั่นซีหัวเราะอย่างโศกเศร้า ในเสียงหัวเราะมีความเจ็บแค้นผสมอยู่

“หวั่นซี!” หวาซีมีสีหน้าเจ็บปวดคิดจะเดินเข้าไปใกล้ พอถูกหวาหวั่นซีถลึงตาใส่อย่างดุร้ายก็หยุดฝีเท้า

หวาหวั่นซียืนขึ้นอย่างโซเซ ยิ้มอย่างดูแคลน “ท่านดีต่อข้า? เพียงเพราะข้าหน้าตาเหมือนท่านแม่ของท่าน ดังนั้นท่านจึงดีต่อข้า ข้าจะบอกท่านให้ ข้าไม่ใช่นาง! ข้าทนท่านมามากพอแล้ว ทนคฤหาสน์กุ่ยเม่ยมามากพอแล้ว!”

“หวั่นซี เจ้าก็คือนาง ไม่ใช่เหมือน แต่เดิมทีเจ้าก็คือนาง!” หวาซีมีสีหน้าซีดขาวตะโกนดังลั่น

“ฮึ!” หวาหวั่นซีส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา “จั๋วหวั่นซีหรือ? ข้ามิใช่จั๋วหวั่นซี และข้าก็มิใช่หวาหวั่นซี จริงสิ ท่านตั้งชื่อให้ข้าแบบเดียวกันมาตลอดว่าหวั่นซี ทว่าข้ายังมีอีกชื่อหนึ่งดูเหมือนจะเรียกว่าเนี่ยนซี”

คำพูดของนางทำให้หัวใจของจินเฟยเหยากระตุก นี่มันเรื่องอะไรกัน เหตุใดหวาหวั่นซีจึงรู้จักเนี่ยนซี ตอนนั้นนางยังเล็ก ตนเองเพียงเคยเอ่ยถึงเนี่ยนซีแต่ไม่ได้พูดชัดเจน หวาซีจึงบอกนางอย่างละเอียดไม่ได้ แล้วนางรู้ได้อย่างไร

หรือว่านางคือเนี่ยนซี? ตอนนั้นเนี่ยนซีตายไปแล้ว ข้าเป็นคนเผาเองกับมือ เนี่ยนซีไม่มีพลังการบำเพ็ญเพียรและไม่มีจิตวิญญาณดั้งเดิม เป็นไปไม่ได้ที่จะมอบความทรงจำให้นาง นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?

จินเฟยเหยางุนงงไปหมด ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเลยสักนิด

สีหน้าของหวาซีเปลี่ยนแปลงทันที ไม่เข้าใจว่าผิดพลาดที่ใด หวาหวั่นซีรู้ว่าตนเองถูกสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณเลี้ยงออกมา ทว่าคนของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยก็ถูกเลี้ยงโดยสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ นี่ไม่ทำให้คนรู้สึกว่ามีอะไรแตกต่างกัน แต่คนอื่นๆ ที่มีสายเลือดเผ่ามนุษย์ไม่ล้มเหลวหลายครั้งแบบนี้ เหตุใดนางจึงรู้จักชื่อของเนี่ยนซี?

จั่วหวั่นซีคือชื่อท่านแม่ของหวาซี ทุกครั้งที่สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณเลี้ยงคนออกมา ขอเพียงไม่ใช่ร่างพิกลพิการที่โยนให้สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณกลืนกินทันที ทุกคนล้วนถูกหวาซีตั้งชื่อว่าหวั่นซี

มีเพียงคนที่จินเฟยเหยาพาตัวไปจึงถูกตั้งชื่อว่าเนี่ยนซี คิดไม่ถึงว่าหวาหวั่นซีจะรู้จักชื่อของเนี่ยนซี ต่อให้นางเคยได้ยินเมื่อหกสิบปีก่อนก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรู้ว่าคนผู้นั้นเป็นร่างในอดีตของตนเอง

ทว่าหวาหวั่นซีไม่สนใจปฏิกิริยาของหวาซี เอ่ยแต่เรื่องของตนเอง “คฤหาสน์กุ่ยเม่ยทำให้ข้าขยะแขยงจริงๆ พวกท่านไม่อยากตายขนาดนี้เลย เหตุใดไม่ฝึกบำเพ็ญจนถึงขั้นมหายาน ให้เหนือกว่าโลกระดับสวรรค์ เหาะขึ้นสวรรค์มีอายุขัยยาวนานเสมอผืนฟ้าและแผ่นดิน กลับสร้างตนเองขึ้นมารอบแล้วรอบเล่าทั้งยังสืบทอดความทรงจำในชาติก่อน เรียกบุตรชาย บุตรสาว หลานชาย หลานสาวของตนเองว่าท่านพ่อท่านแม่ พวกท่านไม่รู้สึกขยะแขยงหรือ?”

“แต่ละครั้งที่เข้าสู่ยามราตรี ความทรงจำอันน่ากลัวที่ถูกท่านส่งเข้าปากสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณเหล่านั้นประทับลงในสมองของข้า หลายปีของเมื่อหกสิบปีก่อน แต่ละวันข้ามีแต่ความทรงจำอันน่าหวาดกลัวเต็มไปหมด รวมทั้งฉากที่ท่านทำเรื่องน่าขยะแขยงกับพวกนางด้วย ตอนที่ท่านทำเรื่องเช่นนั้น เห็นนางเป็นท่านแม่หรือบุตรสาว?” หวาหวั่นซีมองหวาซีอย่างเหยียดหยาม เอ่ยถามอย่างเย็นชา

“เป็นไปไม่ได้ วิญญาณที่ใช้เพาะเลี้ยงเจ้าเป็นวิญญาณในตอนแรกสุดมาตลอด ไม่ใช่สินค้าชั้นต่ำในภายหลังพวกนั้น เหตุใดเจ้าจึงมีความทรงจำของพวกนาง!” หวาซีถอยหลังไปหลายก้าว คำพูดของหวาหวั่นซีทำให้เขาตกตะลึงพรึงเพริด

หวาหวั่นซีมองเขาอย่างเย็นชา “หรือท่านไม่รู้ว่าทุกครั้งที่วิญญาณตายลง ไม่ว่าจะล่องลอยอยู่นานเพียงใด สุดท้ายจะมากจะน้อยก็ต้องกลับไปอยู่ในกาวิญญาณบนร่างท่าน อีกทั้งนอกจากเนี่ยนซี คนอื่นๆ ทั้งหมดล้วนตายต่อหน้าท่าน วิญญาณกลับไปอยู่ในกาวิญญาณบนร่างท่านเป็นเรื่องง่ายดายเพียงใด เนี่ยนซีตายอยู่ไกลลิบ ทว่าคนที่ชื่อจินเฟยเหยา ยังส่งเถ้ากระดูกนางกลับมา มีวิญญาณสายใยหนึ่งอยู่บนร่างนาง ท่านมีข้าได้สำเร็จก็วางกาวิญญาณไว้ตรงมัน ดังนั้นวิญญาณสายใยนั้นจึงตกอยู่บนตัวข้า”

หวาหวั่นซีค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้หวาซี สีหน้าเปลี่ยนเป็นดุร้าย “นางเป็นตัวโง่งม ในวิญญาณเพียงสืบทอดความห่วงใยท่านของจั๋วหวั่นซี ชั่วชีวิตคิดถึงแต่ท่าน ทำให้คนสะอิดสะเอียนจริงๆ แต่นางก็นำความทรงจำที่ทำให้ข้ารู้สึกเบิกบานกลับมาด้วย ถึงวิญญาณจะนำความทรงจำกลับมาไม่มาก ทว่าก็เพียงพอจะทำให้ข้าผ่านวันเวลาในความทรงจำอันน่ากลัวของท่านได้”

ฟังถึงตรงนี้ จู๋ซวีอู๋ก็ถ่ายทอดเสียงหาจินเฟยเหยา “ได้ยินหรือไม่ นางเอ่ยถึงเจ้า ที่แท้เจ้ายังช่วยคนส่งเถ้ากระดูกด้วย ดูไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเจ้าทำเรื่องยุ่งยากแบบนี้เป็น”

จินเฟยเหยาก็ถ่ายทอดเสียงกลับไปว่า “ท่านวางใจได้ ถ้าท่านตาย ข้าจะช่วยเผาแล้วส่งเถ้ากระดูกกลับไปให้ คนของสำนักตงอวี้หวงต้องคิดว่าข้าเป็นสหายของท่าน ย่อมต้องมอบของขวัญตอบแทน”

“ถุย พูดไม่เป็นมงคล ข้ายังคิดจะมีอายุขัยเสมอผืนฟ้าและแผ่นดินอยู่” จู๋ซวีอู๋ยื่นมือไปหยิกตรงเอวนางทีหนึ่ง จินเฟยเหยาหงุดหงิดจนยื่นมือไปหยิกเขาวุ่นวาย

“อย่าสิ! หยิกโดนตรงที่ไม่สมควรควรหยิก” จู๋ซวีอู๋รีบยกมือขึ้นกัน จินเฟยเหยามองไม่เห็น ย่อมหยิกบนล่างซ้ายขวาวุ่นวาย ไม่สนใจว่าเป็นที่ใดเลยสักนิด

จินเฟยเหยาเอ่ยอย่างไม่เห็นเป็นไร “กลัวอะไร เด็กน้อยถอดกางเกงปัสสาวะกลางวันแสกๆ ยังไม่เห็นมีคนสนใจ แค่หยิกนิดหน่อย ไม่เป็นไรหรอกน่า”

“เจ้าไม่เป็นไรแน่นอน แต่คนถูกหยิกคือข้า แล้วข้าก็ไม่ใช่เด็กน้อย ถึงหน้าตาจะเหมือน แต่ข้าเป็นบุรุษที่เติบโตเต็มวัยแล้ว” จู๋ซวีอู๋ถ่ายทอดเสียงมาอย่างอารมณ์ไม่ดี

จินเฟยเหยาเกือบจะหัวเราะออกมา บุรุษที่เติบโตเต็มวัย บุรุษก็บุรุษสิ ก็บุรุษนั่นแหละ น่าขำแทบตายแล้ว

ทันใดนั้น ภายในตำหนักมีเสียงคำรามลั่นราวกับบ้าคลั่งของหวาหวั่นซี “ข้าจะทำลายคฤหาสน์กุ่ยเม่ย ข้าจะทำลายทุกสิ่งที่นี่ให้ราบ ไม่ให้พวกท่านใช้วิธีน่าขยะแขยงแบบนี้อยู่บนโลกต่อไป! เพ้ย ข้าจะให้คนของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยทั้งหมดได้รู้ว่า ข้าคือตัวข้าเพียงคนเดียว! ไม่ใช่จั๋วหวั่นซีอะไรนั่น และยิ่งไม่ใช่ตุ๊กตาของท่าน! ไม่ใช่สตรีที่พวกท่านเพาะเลี้ยงออกมาเล่นซ้ำแล้วซ้ำอีก! ไปตายให้หมด!”

…………………………………