บทที่ 209 มารดาและบุตรชาย

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

หวาหวั่นซีร่ำร้องเสียงดัง โบกมือเรียกสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณแก่นชีวิตของตนเองออกมา

ไม่ใช่สัตว์ตัวเล็กๆ สีดำที่จินเฟยเหยาเคยเห็นเมื่อหกสิบปีก่อน ทว่าเป็นสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณสีขาวหิมะและมีจุดสีแดงกระจายอยู่ทั่ว

จุดสีแดงที่หางตาของมันห้อยอยู่ด้านล่างหางตาราวกับน้ำตาโลหิต จุดสีแดงบนร่างก็สดใสงดงามจับตาราวกับโลหิตสดสาดกระเซ็น

หลังสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณสีแดงโลหิตร่อนลงพื้นก็อ้าปากร้องคำราม ส่วนหวาหวั่นซีคว้ากำแพง รูปสลักบนกำแพงกระพริบวาบ มีช่องแยกตรงกลางเปิดออกสองด้านราวกับเป็นประตูเผยให้เห็นคนที่นอนทับกันระเกะระกะด้านใน

จินเฟยเหยานั่งอยู่บนขื่อ มองลงมาจากที่สูงเห็นภาพภายในประตูได้ชัดเจน คนสิบแปดคนบ้างนั่งบ้างนอนอยู่บนพื้น บนร่างถูกเชือกปราณวิญญาณที่เปล่งแสงสว่างมัดไว้ คนเหล่านี้ล้วนมีพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นหลอมรวม ใบหน้าของแต่ละคนราวกับยักษ์ พอเห็นประตูเปิดออก แต่ละคนล้วนมองหวาหวั่นซีด้วยสายตาดุร้าย

“นางมาร รีบปล่อยพวกเรานะ!” ผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่ดูเจ้าเนื้อคนหนึ่งสะบัดผมสาดกระจายพลางด่าทอหวาหวั่นซี

“ฮึ!” หวาหวั่นซีส่งเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นชา กระดิกนิ้วชี้ใส่นาง

ผู้บำเพ็ญเซียนคนนี้พุ่งขึ้นมาทันที วูบมากระแทกลงเบื้องหน้าสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณสูงเท่าสามตัวคน สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณก้มหน้าลง อ้าปากใหญ่เท่าอ่างโลหิตกัดผู้บำเพ็ญเซียนสตรีคนนี้อย่างคุ้นเคยและไม่ลังเลเลยสักนิด เคี้ยวสองคำก็กลืนลงไป

หวาหวั่นซีนั่งขัดสมาธิบนพื้น พลันเงยหน้าขึ้นสูดหายใจลึกๆ บนร่างสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณสีโลหิตมีแสงสีเลือดปะทุขึ้นมา แสงสีแดงโลหิตทั้งหมดพุ่งเข้าหาหวาหวั่นซีและถูกนางดูดซับโดยชอนไชเข้าไปในรูจมูกของนาง

หวาหวั่นซีดูดซับแสงสีแดงเหล่านี้อย่างสำราญ สีหน้าที่เมื่อครู่ยังซีดขาวเปลี่ยนเป็นมีเลือดฝาดทันที แม้แต่จู๋ซวีอู๋และจินเฟยเหยาที่อยู่ห่างจากนางยังรู้สึกได้ พลังการบำเพ็ญเพียรของนางเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แค่ที่สูดไปเมื่อครู่ อย่างน้อยที่สุดต้องเท่ากับผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่ต้องลำบากลำบนฝึกบำเพ็ญอยู่หลายสิบปี

“มิน่าเล่าพลังการบำเพ็ญเพียรของนางจึงเพิ่มขึ้นรวดเร็วขนาดนี้ นี่เป็นกระบวนท่าอะไร ยังอหังการกว่าดึงพลังหยางเสริมพลังหยินมากนัก” ไม่รู้ว่าจินเฟยเหยากำลังถามจู๋ซวีอู๋หรือเพียงคิดจะหาคนมาคุยด้วย จึงถ่ายทอดเสียงไปหาจู๋ซวีอู๋เหมือนพูดกับตนเอง

ฉากแบบนี้ จู๋ซวีอู๋ผู้มีภูมิความรู้กว้างขวางก็เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรก ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญเช่นนี้ ถ้าให้นางดูดซับพลังต่อไป ไม่แน่ว่าอาจบรรลุขั้นแปลงจิตทันที ทว่าเขากลับส่ายศีรษะเอ่ยอย่างสงสาร “ถึงแม้เคล็ดวิชานี้จะอหังการ พลังการบำเพ็ญเพียรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทว่าสภาพร่างกายของนางกลับลดลงสุดขีด ถ้าเป็นตามที่ข้าคาดคิด นางน่าจะรู้สภาพของตนเอง นางกำลังใช้ชีวิตแลกพลังการบำเพ็ญเพียร เพื่อพลังการบำเพ็ญเพียรแม้แต่ชีวิตก็ไม่ต้องการแล้ว”

“จะตายหรือ?” จินเฟยเหยามองหวาหวั่นซีที่จับผู้บำเพ็ญเซียนที่ส่งเสียงด่าทออย่างต่อเนื่องออกมาป้อนให้สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณแล้วดูดซับแสงสีแดงโลหิตเหล่านั้นอีกครั้ง ในใจก็รู้สึกเสียใจ

นี่เป็นการคาดเดาของจู๋ซวีอู๋ เขาได้แต่อาศัยประสบการณ์เอ่ยว่า “ฝึกบำเพ็ญคือขั้นตอนการหล่อหลอมร่างกายอย่างช้าๆ จากว่างเปล่าให้มีขึ้นและจากน้อยเป็นมาก ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญของนาง ถึงแม้ภายในเวลาสั้นๆ จะก้าวหน้าหลายขั้น ทว่าเนื่องจากไม่ได้หล่อหลอมร่างกายอย่างช้าๆ ร่างกายทนรับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันของขั้นกำเนิดใหม่หรือขั้นแปลงจิตไม่ได้ ก็จะทำลายตนเองจนตายเนื่องจากทนพลังวิญญาณเหล่านั้นไม่ไหว ร่างกายมีพื้นที่เพียงเท่านี้กลับบรรจุสิ่งของมากเกินไป จุดจบสุดท้ายแค่คิดดูก็รู้ เคล็ดวิชากลายร่างเป็นมารของผู้บำเพ็ญมารเหล่านั้นก็ใกล้เคียงกับเหตุผลนี้ ใช้พลังภายนอกมาบังคับเลื่อนพลังบำเพ็ญเพียร เพียงแต่พวกเขามีขีดจำกัดจึงไม่ทำให้ร่างกายเสียหายรุนแรง”

หยุดไปครู่หนึ่ง จู๋ซวีอู๋จึงส่ายศีรษะเอ่ยว่า “อย่างนางก็ไม่ไหว”

ในช่วงที่ทั้งสองคนพูดคุยกัน หวาหวั่นซีก็นำคนทั้งยี่สิบแปดคนป้อนให้สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณกิน ยามนี้ รอบกายของนางและภายในร่างมีพลังวิญญาณลอยออกมา เข้มข้นจนกลายเป็นลมโดยอัตโนมัติ โอบล้อมนางไว้ส่งเสียงดังชี่ๆ และวาบแสงสีแดงออกมาอย่างต่อเนื่อง

มองสภาพการณ์ของหวาหวั่นซีแล้วมีความรู้สึกว่า นางราวกับดอกไม้ไฟที่จุดขึ้นและสามารถระเบิดได้ทุกเมื่อ ทำให้คนอยากออกห่างจากนางให้ไกลหน่อย

หวาซีมองคนทั้งสิบแปดคนถูกกินราวกับเห็นจนชินชา สีหน้าของเขาไร้ความรู้สึก เอ่ยถามอย่างซึมเซา “หวั่นซี คนของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยถูกเจ้ากินหมดแล้ว ตอนนี้เจ้าสามารถหยุดมือและจากไปกับข้าได้แล้วหรือไม่?”

“ท่านพ่อ ท่านพูดอะไรน่ะ? ตอนนี้คฤหาสน์กุ่ยเม่ยยังมีอีกสามคนที่ยังไม่ตาย ท่าน ข้า และหวาหนานจื้อที่อยู่ข้างนอก ยังมีคนธรรมดาเหล่านั้นในเมืองด้านล่าง ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้ให้กำเนิดทารกที่สามารถเรียกสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณออกมาได้นับพันปีแล้ว แต่ก็ถือว่ามีสายเลือดของตระกูลหวา เพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝัน ข้าต้องกำจัดพวกเขาให้สิ้นซาก” หวาหวั่นซีมองหวาซี ยิ้มแย้มขึ้นมาอย่างกะทันหัน

“เจ้าจะฆ่าข้า?” หวาซีนั่งอยู่บนพื้นอย่างหมดเรี่ยวแรง หลายสิบปีมานี้ เขามองหวาหวั่นซีเติบโตจากทารกน้อยน่ารักเป็นเด็กหญิงขี้อาย เป็นสาวน้อยผู้บริสุทธิ์งดงาม จากนั้นเป็นปิศาจร้ายที่กลืนกินทุกคนในคฤหาสน์กุ่ยเม่ย เพราะเหตุใดเรื่องราวจึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ เขาเพียงแค่อยากได้ความรักและห่วงใยของท่านแม่เท่านั้น

ถ้าท่านแม่ไม่ได้เสียชีวิตไปเร็ว ตนเองยังคิดจะคืนชีพนางโดยไม่สนใจทุกสิ่งอยู่หรือไม่ สุดท้ายกลับพาคฤหาสน์กุ่ยเม่ยสู่การดับสูญ บางที หลังจากบรรพชนได้สัตว์ร้ายที่กลืนกินความฝัน เพื่อให้ได้ครอบครองมันตลอดไปจึงสังหารภรรยาและเครือญาติแล้วมอบวิญญาณให้แก่สัตว์ร้าย ฉากในวันนี้ถูกวิญญาณอาฆาตสาปแช่งไว้ในตอนนั้น

“ซีเอ๋อร์…” ในเวลานี้เอง น้ำเสียงหวาหวั่นซีพลันเปลี่ยนแปลง ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความรักใคร่และห่วงใย

พอหวาซีเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาที่ไร้ชีวิตชีวาก็เป็นประกาย เขาเอ่ยพึมพำ “ท่านแม่ ในที่สุดท่านก็มาหาข้าแล้ว”

“ซีเอ๋อร์ ข้าคิดถึงเจ้าอยู่ตลอดเวลา ครั้งนี้ข้าจะไม่จากเจ้าไปอีก พวกเราจะไม่แยกจากกันอีก” หวาหวั่นซีมีสีหน้ารักและเมตตา ยื่นมือมาลูบใบหน้าของหวาซีเบาๆ หวาซีในยามนี้น้ำตาไหลนองหน้า

จินเฟยเหยาและจู๋ซวีอู๋มองปฏิกิริยาที่อธิบายไม่ได้ของหวาหวั่นซีจนแผ่นหลังผุดเหงื่อเย็นเยียบ ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ ทั้งสองคนด่าทอพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย “วิปริตยิ่งนัก ทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว”

“พี่จู๋ พวกเราล้วนเป็นวีรบุรุษที่เห็นพ้องต้องกันจริงๆ” จินเฟยเหยายื่นมือไปตบจู๋ซวีอู๋และเอ่ยชมเชย

จู๋ซวีอู๋เงียบงันไปครู่หนึ่ง จึงถ่ายทอดเสียงมาอย่างสงบนิ่ง “ข้าว่า…เจ้าอย่าเอาเปรียบข้าตลอดเวลาได้หรือไม่?”

“อะไรนะ?” จินเฟยเหยางุนงง ไม่เข้าใจความหมายของจู๋ซวีอู๋

“เพราะเหตุใดถ้าเจ้าไม่หยิกด้านล่างก็ลูบหน้าอกของข้า ข้าไม่เหมือนกับเจี่ยนจู๋ ถ้าเจ้าอยากดูเจ้าก็บอกตรงๆ ข้าจะรีบเปลือยให้เจ้าดูจนเต็มอิ่มและลูบจนพอใจ” จู๋ซวีอู๋เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

“หา!” จินเฟยเหยารีบยกมือที่วางบนร่างของจู๋ซวีอู๋ออก เอ่ยอย่างขัดเขิน “ขอโทษด้วยจริงๆ มองไม่เห็น ลูบผิดๆ อย่าถือโทษเลย”

จู๋ซวีอู๋กระแอมเสียงที่เพิ่งเปลี่ยนเป็นผู้ใหญ่เพียงครึ่งเดียวมาชั่วชีวิตแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเจ้าลูบคลำข้าอีก ข้าจะจับเจ้าเปลือยกายโยนลงบนเตียงของไป๋เจี่ยนจู๋ ดูสิว่าเจ้าจะเอาเปรียบข้าอีกหรือไม่”

จินเฟยเหยาตะลึง รีบซ่อนมือไว้ด้านหลัง “พี่จู๋ เรื่องชั่วร้ายขนาดนี้ท่านก็ทำลง อำมหิตจริงๆ!”

หัวข้อสนทนาหยาบโลนด้านนี้เพิ่งจบลง ละครครอบครัวทางด้านนั้นกลับยิ่งแสดงยิ่งร้อนแรง

ตามการป้องกันด้านนอกถูกโจมตีจนดังสนั่น หวาหวั่นซีคุกเข่าลงกับพื้น โอบกอดหวาซีที่ร่ำไห้ราวกับเด็กน้อยไว้ในอ้อมอก ตบหลังเขาเบาๆ พลางเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ซีเอ๋อร์ไม่ร้องนะ แม่อยู่ที่นี่ ไม่ไปไหนแล้ว”

จากนั้นนางก็ประคองใบหน้าของหวาซี ดวงตาของทั้งสองคนสบกัน ในขณะที่หวาซีมองหวาหวั่นซีอย่างใฝ่หา หวาหวั่นซีแย้มยิ้มอย่างอ่อนโยน “ซีเอ๋อร์ตายเสียเถอะ ตายแล้วก็สามารถอยู่กับแม่ได้ชั่วนิรันดร์”

เอ่ยจบ มือนางก็ออกแรงผลักเบาๆ หวาซีถูกผลักออกไป สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณที่ยืนอยู่ด้านหลังเขากลืนหวาซีลงไปในคำเดียว มันเคี้ยวกร้วมๆ ส่วนหวาหวั่นซีกลับมองดูด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ในดวงตาเต็มไปด้วยความรักและเอ็นดู

“กินหมดแล้ว!” จินเฟยเหยาก็ไม่เข้าใจ เพราะเหตุใดตนเองจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ แต่นางก็แค่อยากพูด

ก่อนที่หวาหวั่นซีจะกลายเป็นเนี่ยนซี นางยังเกิดความคิดน้อยนิดว่าถ้าหวาหวั่นซีสามารถหนีไปได้และมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ก็คงดี ทว่าตอนนี้ ขณะเห็นหวาหวั่นซีที่มีสีหน้าเหมือนกับเนี่ยนซีตอนคิดถึงหวาซีราวกับพิมพ์เดียวกัน จินเฟยเหยามีเพียงความคิดเดียว รีบตายเสียเถอะ อย่าให้เนี่ยนซีปรากฏตัวขึ้นบนโลกนี้อีกตลอดกาล

ในเวลานี้ หวาหวั่นซีดูดซับแสงสีโลหิตของหวาซีจนหมด ในดวงตามีแสงสีแดงวาบขึ้น พลังวิญญาณมหาศาลขุมหนึ่งระเบิดออกมาภายนอก

“แย่แล้ว!” จู๋ซวีอู๋ไม่สนใจจะถ่ายทอดเสียง ตะโกนลั่นฉุดลากจินเฟยเหยาทะลวงตำหนักใหญ่หลบหนีออกไปในพริบตา

เท้าข้างหนึ่งของพวกเขาเพิ่งก้าวออกจากตำหนัก เกาะลอยได้ทั้งหมดก็สั่นสะเทือน ระเบิดเสียงดังสนั่น คนทั้งสองถูกปราณวิญญาณอันรุนแรงและแรงระเบิดดีดออกมา

คลื่นการโจมตีปราณวิญญาณนี้แข็งแกร่งสุดเปรียบปาน ระเบิดเกาะลอยได้ของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยจนไม่เหลือหลอ ยอดเขาทั้งลูกของคฤหาสน์กุ่ยเม่ยทางด้านล่างกลายเป็นเศษซาก ส่วนเมืองด้านล่างภูเขาถูกทำลายจนสิ้นภายใต้การโจมตีนี้ แม้แต่กำแพงซึ่งทำจากศิลาเหล็กกล้าก็ถูกระเบิดจนกลายเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ ร่วงกระจัดกระจายลงบนทุ่งหญ้ารอบด้าน

ผู้บำเพ็ญเซียนที่มาล้อมโจมตีการป้องกันของเกาะลอยได้ถูกการระเบิดอย่างกะทันหันอัดกระเด็นลอยไปรอบด้าน ณ ที่นั้นมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมมากเพียงใดถูกคลื่นโจมตีบดขยี้จนกลายเป็นธุลี ไม่ทันมีปฏิกิริยาร่างเซียนก็ดับสูญ

ขนาดการป้องกันชั้นนอกสุด ถึงมีเวทร้อยชนิดป้องกันคฤหาสน์กุ่ยเม่ยที่บรรพชนจัดวางไว้ก็ถูกคลื่นโจมตีนี้ทำลาย ครั้งแรกที่คฤหาสน์กุ่ยเม่ยทั้งหมดปรากฏขึ้นนอกการป้องกันกลับเป็นเพียงแค่เศษซาก ที่แม้แต่กำแพงสักครึ่งหนึ่งก็ยังไม่มี

ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นกำเนิดใหม่หลายคนที่ยังคุ้มครองคนธรรมดาบนทุ่งหญ้า เนื่องจากยืนอยู่ไกลลิบ แม้จะไม่มีอันตรายถึงชีวิตทว่าก็ยังถูกลมพัดออกไปราวกับใบไม้แห้ง ส่วนคนธรรมดาทั้งหมดที่พวกเขาคุ้มครองกลายเป็นฝุ่นธุลีไปโดยไม่เจ็บปวดทรมานสักนิดภายใต้การโจมตีนี้ ดินกลับสู่ดิน ธุลีคืนสู่ธุลี ตระกูลหวาแห่งคฤหาสน์กุ่ยเม่ยทั้งหมดหลงเหลือเพียงสองคน

ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานไม่เสียทีที่เป็นชนชั้นที่กลอกกลิ้งที่สุด น่าสงสารที่สุด และอันตรายที่สุดในโลกแห่งการบำเพ็ญเซียนจริงๆ

เมื่อเริ่มระเบิดพวกเขาก็รู้สึกถึงอันตรายได้อย่างรวดเร็วราวกับแมลงวันได้กลิ่นไข่เน่า หลบหนีออกไปยกรังนานแล้ว หลังคลื่นการโจมตีผ่านพ้น อย่างมากสุดก็มีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานหลายคนได้รับบาดเจ็บ แต่กลับไม่มีใครตายสักคน

นี่ก็เพียงพอจะทำให้พวกเขาลำบากแล้ว พลังการบำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณใช้ไม่ได้ เป็นเด็กน้อยบอบบาง ปกติไม่ต้องเข้าร่วมภารกิจอันตรายของสำนัก ขั้นหลอมรวมและขั้นกำเนิดใหม่ปกติไม่ต้องทำงาน มีสิ่งของดีๆ ยังได้สิทธิ์ก่อนและเกรงจะกระทบถึงการบำเพ็ญเพียรของพวกเขา

ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานจึงกลายเป็นแรงงานของแต่ละสำนักใหญ่ เมื่อมีภารกิจอันตรายก็ต้องลุย ได้รับสิ่งของมากกว่าขั้นฝึกปราณนิดหน่อยกลับเสี่ยงอันตรายมากกว่าตอนขั้นฝึกปราณหลายเท่า

พบขั้นหลอมรวมขึ้นไปยังต้องหดหางยิ้มประจบ พบผู้เยาว์ขั้นฝึกปราณก็ต้องรักษาหน้า สวมเสื้อผ้าแย่ๆ ก็ขายหน้า ใช้ของดีหน่อยก็กลัวจะถูกแย่งชิง ดังนั้นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานแต่ละคนจึงเปรียบเสมือนโจรและคนชั่วร้าย

………………………..