หลังจากผ่านไปนานครู่หนึ่ง เสียงอบอุ่นของไซ่ตี้จวิ้นดังขึ้นอีกครั้ง “พรุ่งนี้สิบโมงเช้า ผมจะบินกลับประเทศเอ้าตู อาจจะไม่มาเมืองหลงอีกหนาน ชานเมืองตะวันตก เครื่องบินส่วนตัว คุณไปส่งผมได้ไหมครับ”
ความคิดของไซ่ตี้จวิ้นเรียบง่ายมาก เขาคาดการณ์เอาไว้แล้ว แยกจากกันครั้งนี้ อาจจะเป็นการแยกจากกันตลอดไป เขาอยากเห็นหน้าเธอครั้งสุดท้าย ได้ยินว่าเธอสูญเสียการมองเห็น ถ้าเขาไม่ได้เห็นหน้าเธอ ความคิดถึงแรงกล้าที่อยู่ในใจคงไม่อาจปล่อยวางได้
เหลิ่งรั่วปิงเช็ดน้ำตา ขยับริมฝีปากเล็กน้อย “ได้ค่ะ”
หลังจากพูดกับไซ่ตี้จวิ้นจบ เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้ร้องไห้แล้ว หลังจากที่น้ำตาของเธอแห้งเหือด ไม่มีน้ำตาให้รินไหลลงมาอีกแล้ว เขาบอกว่า เขาอยากให้เธอมีความสุข เช่นนั้นเธอก็จะพยายามมีความสุข
“เทียนรุ่ย เริ่มเถอะค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงหลับตาลงช้าๆ หลังจากเรื่องทุกอย่างได้จบลงแล้ว ใบหน้าของเธอมีรอยยิ้มนิ่งสงบ
ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น หน้ากากถอดออกมาอย่างสมบูรณ์ เธอกลับมาเป็นเหลิ่งรั่วปิงอีกครั้ง
หนานกงเยี่ยเปิดประตูเข้ามาอย่างทนรอไม่ได้ มองดูใบหน้าที่คิดถึงทุกคืนวัน โอบกอดเธอเอาไว้ในอ้อมกอด “รั่วปิง ในที่สุดคุณก็กลับมา!”
วินาทีนี้ เธอกลับมาอยู่เคียงข้างเขาอย่างแท้จริง! ผ่านอุปสรรคต่างๆ มามากมาย ประสบพบเจอความทุกข์ทรมานหัวใจ เขารู้ใจตัวเองอย่างแท้จริง เข้าใจความรัก เข้าใจการแต่งงาน ได้เจอกับผู้หญิงที่ตนรักมากที่สุด
หลังจากฉู่เทียนรุ่ยเดินออกไป หนานกงเยี่ยสวมเสื้อกันหนาวให้กับเหลิ่งรั่วปิง พันผ้าพันคอให้เธอ ช้อนตัวเธอขึ้นมา เตรียมตัวออกจากโรงพยาบาล
“ฉันเดินเองได้ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงไม่คุ้นชินกับการถูกอุ้มแบบนี้ในที่สาธารณะ ถึงแม้เธอจะมองไม่เห็น แต่ขอเพียงเขาจับมือเธอเอาไว้ เธอเดินด้วยตนเองได้
ริมฝีปากบางของหนานกงเยี่ยยกยิ้ม ไม่ลดความเร็วในการเดินแม้แต่น้อย พูดออกมาสามพยางค์ด้วยความแผ่วเบา “ผมชอบครับ”
ความอบอุ่นแผ่ซ่านเข้ากระดูก ทว่ากลับเผด็จการราวกับมีด เหลิ่งรั่วปิงปฏิเสธเขาไม่ได้ ทำได้เพียงอยู่ในอ้อมกอดของเขาด้วยความเขินอาย ปล่อยให้เขาอุ้มออกมาจากโรงพยาบาล ถูกสายตามากมายจับจ้องตลอดทาง
นั่งอยู่บนรถ หนานกงเยี่ยกลับไม่วางเธอลง ทว่าให้เหลิ่งรั่วปิงนั่งอยู่บนตักของเขา เขาก้มหน้าลง จ้องมองดูใบหน้าของเธอ คิดดูแล้วเขาไม่ได้เจอใบหน้านี้มานานกว่าหกเดือน ตอนนี้มองอย่างไรก็มองไม่พอ
ลมหายใจของเขาเปี่ยมด้วยความเป็นชาย ทั้งยังมีความร้อนเล็กน้อย คล้ายกับคลื่น รดอยู่ตรงหน้าเหลิ่งรั่วปิง ทำให้เหลิ่งรั่วปิงตื่นเต้นมาก ในโลกที่มืดมน ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น นอกจากอุณหภูมิของเขา ลมหายใจของเขา อ้อมกอดของเขา และลมหายที่โอบล้อมตัวเธอเอาไว้ของเขา
“คุณชายเยี่ยครับ ไปที่ไหนครับ” ก่วนอวี้ที่นั่งประจำตำแหน่งคนขับรถเอ่ยถามเสียงเบา ความเป็นจริงเขาไม่อยากพูดแม้แต่น้อย คนทั้งสองที่อยู่ด้านหลังแนบชิดกลมเกลียวกันมาก เขาไม่อยากเข้าไปขัดจังหวะ
หนานกงเยี่ยอารมณ์ดีมาก น้ำเสียงของเขาเคล้าไปด้วยความรื่นรมย์ ”ไปที่ว่าการอำเภอ”
“?!”
คำพูดเพียงคำเดียวของหนานกงเยี่ย ทำให้เหลิ่งรั่วปิงและก่วนอวี้ตกใจมาก ก่วนอวี้ตกใจจนเกือบลืมว่าต้องสตาร์ตรถยังไง เขารู้ว่าหนานกงเยี่ยขอเหลิ่งรั่วปิงแต่งงานที่เมืองไห่ เพราะเขาเป็นคนร่วมแผนการนั้นด้วย แต่หนานกงเยี่ยไปจดทะเบียนสมรสด้วยความใจร้อนแบบนี้ทำให้เขาคาดไม่ถึง เพราะถึงอย่างไรก็ยังไม่ได้รับอนุญาตจากท่านหนานกง
แต่เรื่องที่หนานกงเยี่ยต้องการทำ ไม่ว่าใครก็ขวางไม่ได้ หลังจากก่วนอวี้ตกใจอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็รีบสตาร์ทรถ มุ่งหน้าไปยังที่ว่าการอำเภอ
เหลิ่งรั่วปิงตัวแข็งเป็นก้อนหินนานกว่าสิบวินาที ค่อยๆ ดึงสติกลับมา กัดริมฝีปากล่างเล็กน้อย ”คุณหนานกงเยี่ย คุณไม่รู้สึกว่าทุกอย่างรีบร้อนเกินไปเหรอคะ” ตาของเธอจะกลับมามองเห็นหรือไม่ก็ยังไม่รู้ เขาแต่งงานกับเธอด้วยความรีบร้อนแบบนี้ มันไม่บุ่มบ่ามเกินไปหรือ
“รีบร้อนตรงไหนครับ ผมขอคุณแต่งงานที่เมืองไห่แล้วนี่”
“แต่ฉันยังไม่ได้ตอบตกลงเลยนะคะ”
“ต้องทำยังไงคุณถึงจะตอบตกลง” หนานกงเยี่ยยิ้มพร้อมกับเชยคางเหลิ่งรั่วปิง ลูบจับริมฝีปากบางของเธอ ”คืนวันนั้นตอนที่อยู่เมืองไห่ คุณนอนเตียงเดียวกับผมแล้ว แบบนี้ยังไม่ถือว่าตกลงเหรอครับ”
ก่วนอวี้ปิดหูของตนเองอัตโนมัติ เขาไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น! คำพูดนี้น่าอายเกินไปแล้ว!
เหลิ่งรั่วปิงตีมือหนานกงเยี่ยด้วยความเขินอาย ”ไม่มีแหวน”
“ฮ่าๆๆ…” หนานกงเยี่ยหัวเราะเสียงเบา หยิบแหวนออกมาหนึ่งวงแล้วสวมให้กับเหลิ่งรั่วปิง ”ผมเตรียมเอาไว้นานแล้ว คุณลองจับดูสิครับ เม็ดใหญ่กว่าเดิมหรือเปล่า”
ลูบจับแหวนเพชรเม็ดโต เหลิ่งรั่วปิงหมดคำจะพูด เธอรู้สึกสับสนในใจมาก ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกนี้อย่างไร หลังจากผ่านไปนานครู่หนึ่ง เธอเอ่ยพูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา ”คุณหนานกงเยี่ย คุณลองคิดทบทวนอีกสักหน่อยดีไหมคะ”
หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วเล็กน้อย ”ยังต้องคิดอะไรอีกครับ ผมรอวันนี้จนผมแทบหงอกหมดแล้ว ยังจะต้องคิดทบทวนอะไรอีก”
เหลิ่งรั่วปิงเม้มกัดริมฝีปากล่าง นานครู่หนึ่งกว่าจะพูดออกมา ”ฉันอาจจะสูญเสียการมองเห็นไปตลอดชีวิต ถ้าคุณแต่งงานกับฉัน วันข้างหน้าคุณจะไม่มีเกียรติมากเลยนะคะ” ความเป็นจริงเธอยังอยากจะพูด ถ้าในอนาคตข้างหน้าเขาต้องรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจของตนเอง สู้ไม่เลือกเดินเส้นทางนี้ตั้งแต่วันนี้ยังดีเสียกว่า
หนานกงเยี่ยมองหน้าเหลิ่งรั่วปิงด้วยความจริงจัง แม้เธอจะมองไม่เห็น แต่สีหน้าของเขายังคงเคร่งขรึมมาก เขาจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาของเธอด้วยความจริงจัง ”คุณตั้งใจฟังนะครับ แต่งงานกับคุณ เป็นสิ่งที่ผมจริงจังที่สุดในชีวิต ผมหนานกงเยี่ยจะมีคุณเป็นภรรยาแค่คนเดียว ไม่มีใครอื่น และผมจะไม่มีวันเสียใจ ผมรู้ดีว่าผมต้องการอะไร ดังนั้น คุณห้ามยอมแพ้ เข้าใจไหมครับ”
แม้จะมองไม่เห็น แต่ความหนักแน่นที่แผ่ออกมาจากตัวของหนานกงเยี่ย เหลิ่งรั่วปิงสัมผัสได้ เขาหนักแน่นขนาดนี้ เธอไม่มีเหตุผลในการถอยหนี ดังนั้น เธอไม่ได้พูดอะไรอีก ซบอยู่ในอ้อมกอดของเขา ฟังเสียงหัวใจของเขาเต้นด้วยความตั้งใจ
หนานกงเยี่ยตบหญิงสาวในอ้อมกอดเบาๆ พูดปลอบโยนเสียงทุ้มต่ำ ”ไม่ต้องกังวลนะครับ ผมจะเชิญหมอที่เก่งที่สุดในโลกมารักษาคุณ คุณต้องกลับมามองเห็นอย่างแน่นอน หื้ม?!” เธอไม่อยากใช้ชีวิตในโลกที่มืดมน แต่กลับยอมรักษาด้วยยาเพื่อเขา เขารู้ดี
เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้พูดอะไรอีก ซบอยู่ในอ้อมกอดของหนานกงเยี่ยเงียบๆ ปล่อยให้เขาพาเธอไปทุกหนทุกแห่ง ในชีวิตของเธอ ความทุกข์มากกว่าความสุข เธอพึ่งพาตนเองมาโดยตลอด แต่วินาทีนี้ ด้วยอัตราการเต้นของหัวใจหนานกงเยี่ย เธอยินดีที่จะเลือกพึ่งพิงเขา
เพราะหนานกงเยี่ยต้องการไปจดทะเบียนสมรส ที่ว่าการอำเภอเปิดช่องวีไอพีให้เขา ในห้องวีไอพี นายอำเภอดำเนินการให้พวกเขาด้วยตนเอง
เดินออกมาจากที่ว่าการอำเภอ รอยยิ้มบนใบหน้าหนานกงเยี่ยไม่ลดลงแม้แต่น้อย นั่งอยู่บนรถ โอบกอดเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ เล่นสมุดเล่มแดงสองเล่มในมือตลอดทาง
ถึงแม้เหลิ่งรั่วปิงจะมองไม่เห็น แต่เธอรับรู้ถึงความดีใจที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวเขาอย่างชัดเจน ”ดีใจขนาดนั้นเลยเหรอคะ” ก็ได้ เธอยอมรับ เธอเองก็ดีใจมาก
“ดีใจสิครับ!” เสียงของหนานกงเยี่ยเคล้าไปด้วยความดีใจ ”เฮ้อ เหลิ่งรั่วปิง ตอนนี้คุณเป็นภรรยาของผมแล้ว ถ้าขืนคุณยังหนีไปอีก ดูซิว่าผมจะจัดการคุณยังไง!”
“หึ!” เหลิ่งรั่วปิงเบ้ปาก ”ถ้าคุณทำไม่ดีกับฉัน ฉันจะหนี หนีไปให้ไกล ชีวิตนี้คุณจะไม่มีวันหาฉันเจอ”
หนานกงเยี่ยหัวเราะแล้วเคาะหน้าผากเหลิ่งรั่วปิงเบาๆ ”ภรรยาสุดซ่าอย่างคุณ ผมจะกล้าทำไม่ดีด้วยเหรอครับ อะไรนิดอะไรหน่อยก็ใช้มีดบิน ผมกลัวจะตายแล้ว!” หัวเราะอีกครั้ง ”วางใจเถอะ หลังจากนี้คุณมีอำนาจที่สุดในตระกูลหนานกง ผมถวายชีวิตให้คุณ หืม?”
“ฮ่าๆๆ…” เหลิ่งรั่วปิงถูกแกล้งจนหัวเราะร่า ดวงตาคู่สวยโค้งงอราวกับพระจันทร์เสี้ยว
ก่วนอวี้ที่กำลังขับรถด้วยความตั้งใจ เกือบจะจับพวงมาลัยไม่แน่น นี่ยังเป็นคุณชายเยี่ยจอมเผด็จการของเขาหรือเปล่า
ก่วนอวี้จอดรถที่หน้าประตูไนท์คลับเฟิ่งหวงไถ หนานกงเยี่ยอุ้มเหลิ่งรั่วปิงลงจากรถ ตรงไปยังห้องวีไอพี ถังเฮ่า อวี้ไป่หัน มู่เฉิงซีและเวินอี๋รออยู่ด้านในแล้ว บนโต๊ะไม้ขนาดใหญ่เต็มไปด้วยอาหารมากมาย
อวี้ไป่หันยิ้มพร้อมกับร้องเรียก ”มาๆๆ ยินดีกับทั้งสองที่ได้ออกจากโรงพยาบาลด้วยนะ”
หนานกงเยี่ยยิ้มแล้ววางเหลิ่งรั่วปิงลงบนโซฟา จากนั้นเขาก็นั่งข้างเธอ พร้อมช่วยเธอถอดเสื้อกันหนาว ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ”ไม่ต้องยินดีที่ได้ออกจากโรงพยาบาล แต่มีอีกเรื่องหนึ่งฉันอยากฟังคำยินดีของพวกนาย”
เรื่องน่ายินดีที่ออกจากปากหนานกงเยี่ยได้นั้นมีไม่มาก อีกทั้งโดยมากล้วนเกี่ยวข้องกับเหลิ่งรั่วปิง อวี้ไป่หันยิ้มเป็นคนแรก ”เรื่องน่ายินดีอะไรที่ทำให้แกอารมณ์ดีแบบนี้ ฉันขอเดาซิ” แกล้งทำเป็นครุ่นคิด ตามด้วยยิ้มอย่างมีเลศนัย ”เป็นเพราะนายใช้เลือดช่วยชีวิตสาวงาม ในที่สุดก็ทำให้รั่วปิงยอมใจอ่อน ตกลงแต่งงานกับนาย?”
“ใช้เลือดช่วยชีวิตสาวงามอะไรคะ” เหลิ่งรั่วปิงเอ่ยถาม ตั้งแต่เธอฟื้นขึ้นมาก็มองไม่เห็น ดังนั้นจึงไม่เห็นแผลบนข้อมือหนานกงเยี่ย และไม่มีใครบอกเธอด้วยว่าหนานกงเยี่ยทำอะไรเพื่อเธอ ตอนนี้อวี้ไป่หันพูดหยอกล้อแบบนี้ ภายในใจของเธอพอจะคาดเดาบางอย่างได้
เมื่อเห็นแววตาเย็นยะเยือกของหนานกงเยี่ย อวี้ไป่หันรู้ตัวว่าตนพูดผิดไป จึงรีบปิดปากเงียบ ทุกคนเองก็คิดไม่ถึง หนานกงเยี่ยจะยังคงปิดบังเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ ดูท่าเขาคงไม่อยากให้เธอกดดันมาก
เมื่อไม่ได้รับคำตอบ เหลิ่งรั่วปิงหน้านิ่งทันที ”คุณหนานกงเยี่ย คุณมีเรื่องปิดบังฉัน?”
“เปล่าครับ คุณอย่าไปฟังคำพูดของคนปากพล่อยอย่างอวี้ไป่หันเลย” หนานกงเยี่ยยิ้มแล้วตบมือเหลิ่งรั่วปิงเบาๆ
เหลิ่งรั่วปิงกลับสะบัดมือทิ้ง ”ถ้าคุณพูดความจริงกับฉันไม่ได้ วันข้างหน้าอย่าเอาคำพูดหลอกลวงพวกนั้นมาเกลี้ยกล่อมฉัน” เธอไม่ได้โกรธ เพียงแต่เดาได้ว่าหนานกงเยี่ยต้องทำอะไรเพื่อเธอที่ทำให้ทุกคนซึ้งใจอย่างแน่นอน เธอมีสิทธิ์ที่จะรู้
เวินอี๋ยิ้มอย่างกุลสตรี ”คุณหนานกง พี่รั่วปิงไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอ คุณไม่จำเป็นต้องปิดบังเธอ ถ้าเธอรู้มีแต่จะรักคุณมากขึ้น ไม่มีวันกดดันเพราะเรื่องนี้หรอกค่ะ” หันไปมองเหลิ่งรั่วปิง ”พี่รั่วปิง คุณหนานกงรักพี่มากจริงๆ นะคะ ตอนที่พวกพี่ติดอยู่ใต้ซากปรักหักพัง พี่หมดสติไป คุณหนานกงกัดข้อมือตัเอง แล้วใช้เลือดของเขาช่วยชีวิตพี่เอาไว้ คุณหนานกงเสียเลือดมากจนเกือบหมดสติ”
เวินอี๋พูดถูก เหลิ่งรั่วปิงไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอ ตอนที่ได้ยินคำพูดนี้ เธอไม่ได้ซาบซึ้งจนร้องไห้ และไม่ได้ดีใจจนยิ้มร่า แต่เธอกลับนิ่งสงบ มีแค่ตัวเธอเท่านั้นที่รู้ ข้างในใจของเธอกำลังมีคลื่นก่อตัวขึ้น
ถูกต้อง ความรักที่เธอมีต่อหนานกงเยี่ย ทวีขึ้นทันที ก่อนที่จะถึงวันนี้ พวกเขาเป็นคนรักกัน แต่วันนี้พวกเขาเป็นสามีภรรยากันแล้ว เขาคือคนรักของเธอ และมีญาติคนสนิทของเธอ
เหลิ่งรั่วปิงเงียบ หนานกงเยี่ยกังวลมาก เขาคว้าจับมือของเธอเอาไว้ ”รั่วปิง…”