เหลิ่งรั่วปิงยิ้ม รอยยิ้มของเธอนิ่งสงบและสวยงามมาก ราวกับดอกบัวขาวที่กำลังเพลิดเพลินกับแสงแดดเงียบๆ “คุณหนานกงเยี่ย ขอบคุณคุณมากนะคะ” ขอบคุณที่คุณรักฉันมากขนาดนี้ ฉันก็จะรักคุณให้มากๆ ค่ะ
เมื่อเห็นเธอยิ้ม ในที่สุดหนานกงเยี่ยก็โล่งอก จับมือเธอแน่นกว่าเดิม
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศไม่ถูกทำลาย ความขี้สงสัยของอวี้ไป่หันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง “เฮ้อ หนานกง เมื่อกี้แกบอกมีเรื่องอะไรน่ายินดีนะ”
หนานกงเยี่ยยิ้มร่า ฟันขาวสะอาดของเขาเจิดจ้าภายใต้แสงไฟ “ฉันแต่งงานแล้ว!” ขณะพูด เขาก็หยิบทะเบียนสมรสสีแดงสองเล่มมาวางไว้บนโตะ ราวกับกำลังประกาศเรื่องใหญ่
เรื่องนี้ราวกับเกิดฟ้าผ่าลงมาบนพื้นกว้าง ทำให้ทุกคนตกตะลึงจนยากจะดึงสติกลับมา ถึงแม้หนานกงเยี่ยตัดสินใจแต่งงานกับเหลิ่งรั่วปิง และได้ขอเธอแต่งงานแล้ว แต่ทุกคนคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะจดทะเบียนสมรสกันเร็วขนาดนี้
เล่มแดงสองเล่มบนโต๊ะ ใหม่เอี่ยม สีแดงสดเป็นประกาย ภายใต้แสงไฟแวววับ ทำให้คนที่มองรู้สึกได้ถึงความมงคล
หัวใจของมู่เฉิงซีปวดร้าว เมื่อก่อนหนานกงเยี่ยไม่แต่งงานกับเหลิ่งรั่วปิง เป็นเพราะเขาไม่เข้าใจเรื่องชีวิตแต่งงาน แต่พอบอกว่าจะแต่งงานกับเธอ ก็แต่งกับเธอทันที ไม่ว่าใครก็ทำอะไรไม่ได้ ทว่าตน ขอเวินอี๋แต่งงานมานานแล้ว กลับแต่งงานกับเธอไม่ได้ ทำให้มู่เฉิงซีรู้สึกว่าตนไม่เอาถ่าน
ถังเฮ่าดึงสติกลับมาเป็นคนแรก “ไม่เอาน่า หนานกง มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอวะ”
หนานกงเยี่ยยิ้มร่า “ไม่เร็วไม่ได้ ภรรยาของฉันดื้อมาก คิดอยากจะหนีก็หนี ต้องรีบหาอะไรมามัดเธอเอาไว้”
เหลิ่งรั่วปิงทั้งโมโหทั้งตลก อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปตีแขนของหนานกงเยี่ย เธอตีแรงเล็กน้อย หนานกงเยี่ยพูดโอเวอร์เกินจริง “เมียจ๋า ออมมือหน่อย เดี๋ยวหยิกจนแขนผมพังแล้วใครจะอุ้มคุณกลับไป”
เหลิ่งรั่วปิงมองไม่เห็น สีหน้าของทุกคนแต้มด้วยสีสัน แต่ละคนอ้าปากกว้าง ไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เห็น คนที่อยู่ตรงหน้าคือหนานกงเยี่ยจริงๆ หรือ จากผู้ชายสูงสง่าเย็นชา กลายเป็นผู้ชายพูดจาออดอ้อนน่าสงสาร!
“จุ๊ๆๆ…” อวี้ไป่หันส่ายหน้าพร้อมกับพูดหยอกล้อ “คนที่มีเมียแล้วกลายเป็นคนละคนจริงๆ”
หนานกงเยี่ยยื่นมือไปคว้ามือเหลิ่งรั่วปิงให้คล้องแขนตนเอาไว้ ยิ้มร่าด้วยความได้อกได้ใจ “แกล่ะ ตามจีบไซ่หย่าเซวียนถึงขั้นไหนแล้ว”
เดิมทีสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหยอกล้อ กลายเป็นใบไม้แห้งเหี่ยวที่ร่วงโรยเพราะความหนาวเย็นทันที อวี้ไป่หันถอนหายใจด้วยความเศร้า “คงเป็นเพราะเมื่อก่อนฉันทำตัวแย่เกินไป พระเจ้าก็เลยลงโทษ ทำให้ฉันไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ”
ตั้งแต่ฉู่เทียนรุ่ยปรากฏตัว ไซ่หย่าเซวียนไม่เหลียวแลเขาแม้แต่น้อย เอาแต่ตัวติดกับฉู่เทียนรุ่ยตลอดเวลา
เหลิ่งรั่วปิงหัวเราะ “คุณไม่ควรคิดเป็นอื่นกับไซ่หย่าเซวียนอยู่แล้ว เธอยังไม่เคยมีแฟนมาก่อนแม้แต่คนเดียว บริสุทธิ์ราวกับผ้าขาว แต่คุณมันเป็นผ้าที่เปื้อนสีมากมาย ไม่ควรคู่กับเธอ”
นัยน์ตาอวี้ไป่หันมีแต่ความเจ็บปวด “รั่วปิง ผมยอมรับว่าเมื่อก่อนตัวเองนิสัยไม่ดี ไม่คู่ควรกับความรักที่สวยงาม แต่ครั้งนี้ผมจริงจังมากจริงๆ…” เม้มปาก ทอดถอนหายใจ “ช่างเถอะ ไม่อยากพูดแล้ว”
ถังเฮ่าเห็นภาพตรงหน้าจึงนึกถึงหลินมั่นหรู เขาก้มหน้าลงไม่พูดไม่จา
บรรดาคุณชายทั้งสี่ของเมืองหลง ตอนนี้หนานกงเยี่ยมีความสุขที่สุด เขากำลังมีความรักที่หอมหวาน แต่อีกสามคนที่เหลือ ต่างก็มีเรื่องทุกข์ใจ
กินข้าวไปพักหนึ่ง ในห้องวีไอพีมาแขกไม่ได้รับเชิญเดินเข้ามา อวี้หลานซี
เธอยังไม่รู้ว่าตอนนี้หนานกงเยี่ยและเหลิ่งรั่วปิงจดทะเบียนสมรสกันแล้ว เธอรู้แค่ว่าเหลิ่งรั่วปิงสูญเสียการมองเห็น จึงทำให้อวี้หลานซีมีความกล้าที่จะเข้ามายุ่งกับหนานกงเยี่ยอี้กครั้ง เพราะตอนนี้เหลิ่งรั่วปิงไม่สมบูรณ์แบบอีกแล้ว เธอคิดว่าหนานกงเยี่ยต้องไม่รักเหลิ่งรั่วปิงแล้ว หรือต่อให้เขายังรักเธอ คนตาบอดคนหนึ่งก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นคุณผู้หญิงของตระกูลหนานกง
อวี้หลานซีในวันนี้ แต่งตัวสวยมาก เธอสวมชุดเดรสที่สวยและหรูหรา รองเท้าหนังประดับเพชร ผมยาวสลวยรวบขึ้นสูง คอระหงประดับด้วยสร้อยหยกราคาแพง ไม่ว่าจะมองยังไงเธอก็ดูเหมือนราชินี
อวี้หลานซียิ้มอยู่ตลอดเวลา ทำให้เธอดูอ่อนโยนและสง่างาม ดวงตากลมโตซ่อนความทะนง ความเย่อหยิ่งที่เจตนารักษาเอาไว้ ทำให้เธอดูเย็นชามากขึ้น
อยู่ตรงหน้าเหลิ่งรั่วปิง อวี้หลานซีรู้สึกว่าในที่สุดตนก็มองดูเธออย่างอกผายไหล่ผึ่ง เพราะเหลิ่งรั่วปิงไม่มีสิทธิ์ในการแย่งตำแหน่งคุณผู้หญิงตระกูลหนานกงได้อีก
หนานกงเยี่ยไม่มีสีหน้าอะไรพิเศษ มือยังคงโอบเหลิ่งรั่วปิงเอาไว้ ปรายตามองอวี้หลานซีครู่หนึ่งแล้วเสมองไปทางเครื่องดื่ม ทำให้คนดูไม่ออกว่าเขารู้สึกยังไง
ทว่าก่วนอวี้ที่ยืนอยู่ด้านหลังหนานกงเยี่ย ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาติดตามหนานกงเยี่ยมานานกว่ายี่สิบปี อ่อนไหวกับความรู้สึกของหนานกงเยี่ยมาก เขารับรู้ได้ว่าภายในใจของหนานกงเยี่ยเริ่มมีความโมโหก่อตัวขึ้นมา
ก่วนอวี้รู้สึกปวดใจมาก ตั้งแต่หนานกงเยี่ยอนุญาตให้เขาตามจีบอวี้หลานซี เขาทุ่มเทให้เธอมากจริงๆ ขาดก็แค่ควักหัวใจออกมาให้เธอเท่านั้น แต่เธอกลับดึงดันจนเขาทำอะไรไม่ได้แล้ว
อวี้หลานซียังคงเป็นเหมือนทุกครั้ง นำตัวเองไปอยู่ในฐานะว่าที่เจ้าสาวของหนานกงเยี่ย เดินไปนั่งข้างเขา พร้อมกับยิ้มราวกับตนเป็นราชินี “รั่วปิง ได้ยินว่าเธอออกจากโรงพยาบาลแล้ว ฉันตั้งใจมาเยี่ยมเธอ เฮ้อ น่าเสียดายจริงๆ ตาของเธอ”
เหลิ่งรั่วปิงกระตุกยิ้มเย็นยะเยือก ไม่ได้พูดะไร ถึงแม้เธอจะมองไม่เห็น แต่เหลิ่งรั่วปิงก็พอจะเดาได้ว่าตอนนี้สีหน้าของอวี้หลานซีเป็นยังไง รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไร อวี้หลานซีมาดูความเวทนาของตน มาเพื่อแก้แค้น แต่ว่า ตอนนี้เธอไม่สนใจผู้หญิงที่เรียกร้องหาความรักที่ไม่อาจครอบครอง จิตใจบิดเบี้ยวคนนี้อีกแล้ว ดังนั้นเหลิ่งรั่วปิงจึงเงียบ
อวี้หลานซีหัวเราะ ไม่สนใจความนิ่งเฉยของเหลิ่งรั่วปิง “เยี่ยคะ รั่วปิงออกจากโรงพยาบาลแล้ว เธอยังคงกลับไปพักที่วิลล่าหย่าเก๋อหรอคะ”
“ไม่ รั่วปิงจะกลับไปอยู่ที่คฤหาสน์” หนานกงเยี่ยยิ้มให้กับอวี้หลานซีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เขายิ้มให้เธอหลังจากงานเลี้ยงในคืนนั้น แต่รอยยิ้มนี้ไม่อ่อนโยน มีเลศนัยอย่างชัดเจน
สีหน้าของอวี้หลานซีกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที เธอคิดไม่ถึงว่า หนานกงเยี่ยจะพาผู้หญิงที่ไม่มีตำแหน่งกลับไปอยู่ที่คฤหาสน์ แล้วจะให้ตนอยู่ในสถานะอะไร เธอยังเป็นว่าที่เจ้าสาวในนามที่ท่านหนานกงเลือกเอาไว้!
“เยี่ยคะ ทำแบบนี้คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่มั้งคะ” อวี้หลานซีฝืนยิ้ม
หนานกงเยี่ยยิ้มเจ้าเล่ห์ “มีอะไรไม่เหมาะสม” คำพูดประชดประชันที่อวี้หลานซีพูดแดกดันเหลิ่งรั่วปิงเมื่อกี้ล้วนอยู่ในใจเขา
“…” อวี้หลานซีไม่รู้จะพูดอะไร เธอเม้มปาก สูดลมหายใจอีกครั้ง หยิบจดหมายออกมาจากกระเป๋า “เยี่ยคะ คุณพ่อส่งแฟกซ์กลับมา ท่านบอกให้เรารีบหมั้นกัน”
จดหมายของท่านหนานกง ถือเป็นลายมือของหัวหน้าตระกูล ตามกฎแล้ว หนานกงเยี่ยควรจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดไม่อาจขัดคำสั่งได้ เพราะนี่เป็นคำสั่ง ซึ่งศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่าราชโองการของกษัตริย์
นี่เป็นเป้าหมายสำคัญที่อวี้หลานซีมาในวันนี้ เธออยากจะใช้จดหมายที่เขียนด้วยลายมือของหนานกงจวิ้นบีบบังคับให้หนานกงเยี่ยทำตาม
เมื่อเห็นจดหมาย สีหน้าของทุกคนกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที หันไปมองหนานกงเยี่ยด้วยความลำบากใจ เขาจดทะเบียนสมรสกับเหลิ่งรั่วปิงแล้ว ตอนนี้ต้องเผชิญกับจอดหมายของหัวหน้าตระกูลหนานกง ควรจะตัดสินใจอย่างไร เวินอี๋เป็นกังวลยิ่งกว่าทุกคน เธอขมวดคิ้วมองไปทางหนานกงเยี่ย แล้วหันไปมองเหลิ่งรั่วปิง ภายในใจเหมือนมีกลองกำลังบรรเลง ตีรัวไม่หยุด
เมื่อเทียบกับความกังวลของทุกคน รั่วปิงดูนิ่งสงบมาก เธอมั่นใจในตัวผู้ชายที่ตนเลือก เขาไม่มีวันยอมทิ้งเธอง่ายๆ หนานกงเยี่ยยอมทิ้งชีวิตเพื่อเธอ แล้วจะยอมก้มหัวให้กับจดหมายแค่ฉบับเดียวได้อย่างไร
ดังนั้น ภายใต้สายตาเป็นกังวลของทุกคน เหลิ่งรั่วปิงกลับยิ้มราวกับดอกไม้ พูดกับหนานกงเยี่ยเสียงเบา “คุณหนานกงเยี่ยคะ ฉันอยากดื่มน้ำ”
หนานกงเยี่ยไม่ชายตามองอวี้หลานซีแม้แต่น้อย รีบรินน้ำอุ่นให้เหลิ่งรั่วปิงด้วยตนเอง จากนั้นยื่นไปที่มือของเธอ “ดื่มช้าๆ นะครับ หืม?”
เหลิ่งรั่วปิงกระตุกยิ้ม “ค่ะ คุณรับจดหมายของคุณมาเถอะ”
ตอนนี้ มือของอวี้หลานซีที่ยื่นจดหมายออกมานั้นยังคงนิ่งค้างอยู่กลางอากาศ สีหน้าของเธอดูกระอักกระอ่วนมาก
หลังจากหนานกงเยี่ยดูแลเหลิ่งรั่วปิงเสร็จ เขากระตุกมุมปากเล็กน้อย รับจดหมายมาอย่างไม่ยี่หระ ทุกคนคิดว่าเขาจะเปิดจดหมายขึ้นมาอ่าน ทว่าคิดไม่ถึงเขากลับไม่เปิดจดหมาย ในทางตรงกันข้ามเขาหยิบไฟแช็คที่วางอยู่บนโต๊ะ
กริ๊ก!
นิ้วมือเรียวยาวกดลงไปเบาๆ ไฟแช็คพ่นไฟสีเหลืองอร่ามออกมา เผาไหม้จดหมาย
จุดไฟเผาไหม้ราชโองการ มีความผิดใหญ่หลวง! ถ้าเป็นสมัยก่อน คงต้องถูกประหารโดยการตัดหัวแล้วแน่ๆ
ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของทุกคน อวี้หลานซีแทบจะล้มทั้งยืน หนานกงเยี่ยทิ้งจดหมายที่เผาไหม้จนเหี้ยมเกรียมลงบนที่เขี่ยบุหรี่ มุมปากของเขายังคงแสยะยิ้ม
หลังจากจดหมายถูกเผาจนหมด เขาจึงหันไปมองอวี้หลานซีพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย “หลานซี วันนี้ตระกูลหนานกงมีเรื่องน่ายินดี ที่ผมยังไม่ได้ประกาศ เดิมทีคิดว่าจะประกาศตอนกลับไปที่คฤหาสน์ แต่ในเมื่อคุณมาแล้ว ผมจะบอกเรื่องน่ายินดีนี้กับคุณก่อน”
เสียงของหนานกงเยี่ยทุ้มต่ำ ทั้งยังเคล้าไปด้วยรอยยิ้ม ไม่ขุ่นเคืองต่อการกระทำของอวี้หลานซีเมื่อครู่แม้แต่น้อย ตอนนี้ เขาเหมือนราชาใจกว้าง แต่คนที่รู้จักเขาล้วนรู้ดี ตอนที่เขาโมโห แววตาเย้ยหยันของเขากำลังประกาศกร้าวความโมโหออกมา
ถ้าคนตรงหน้าไม่ใช่อวี้หลานซี ตอนนี้เขาคงไม่พูดอะไรแล้ว และคงต้องลำบากก่วนอวี้ลากตัวเธอออกไป
แต่ไม่ว่าอวี้หลานซีจะทำเกินกว่าเหตุอย่างไร เขาก็ยังรักษาน้ำใจ ถึงอย่างไรตระกูลหนานกงก็ติดค้างชีวิตเธอถึงสองชีวิต พ่อแม่ของเธอตายเพื่อตระกูลหนานกง การดูแลเธอเป็นหน้าที่ของตระกูลหนานกง ถ้าดูแลเธอไม่ดี จะทำให้ทุกคนที่ภักดีต่อตระกูลหนานกงหดหู่ใจ
เหมือนกับแม่ทัพใหญ่ผู้ภักดี เสียสละชีวิตเพื่อราชวงศ์ เช่นนั้นราชวงศ์ก็มีหน้าที่ดูแลทายาทกำพร้าของเขา เพื่อตอบแทนเขา และแสดงถึงพระมหากรุณาธิคุณของกษัตริย์ ไม่เช่นนั้นใครจะยอมเสียสละชีวิตเพื่อราชวงศ์อีก นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ตอนนั้นตระกูลหนานกงรับอวี้หลานซีเป็นลูกบุญธรรม และปฏิบัติต่อเธอเหมือนคุณหนูของตระกูล
แน่นอน สำหรับหนานกงเยี่ย เขาเห็นเธอเป็นญาติคนหนึ่ง หลายปีที่ผ่านมานี้เขาดูแลอวี้หลานซีเหมือนน้องสาวแท้ๆ แต่ว่าตอนนี้ ความรักที่มีให้กัน กลับถูกเธอบ่อนทำลายลงทีละเล็กทีละน้อย สุดท้ายอวี้หลานซีทำลายมันไปจนหมด เหลือทิ้งไว้เพียงหน้าที่ที่หนาวเหน็บ เขาจะให้เธอมีชีวิตที่สุขสบายไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกิน ได้รับการดูแลจากตระกลหนานกง แต่การดูแลนี้เป็นเพียงแค่หน้าที่ไร้ซึ่งความรู้สึก
มองดูรอยยิ้มเย็นชาของหนานกงเยี่ย อวี้หลานซีหวาดกลัวจนฝ่ามือมีเหงื่อไหลออกมาไม่หยุด เธอไม่เคยเห็นหนานกงเยี่ยทำสีหน้าแบบนี้มาก่อน สีหน้าของเขาน่ากลัวเกินไปแล้ว
หนานกงเยี่ยยิ้ม หยิบทะเบียนสมรสทั้งสองเล่มออกมา ส่ายไปมาตรงหน้าอวี้หลานซี “ผมแต่งงานแล้ว คุณผู้หญิงของตระกูลชื่อว่าเหลิ่งรั่วปิง นับตั้งแต่วันนี้เธอคือคุณผู้หญิงของตระกูลหนานกง”