บทที่ 191: การล่มสลายของห่วงโซ่เงินทุน
ภาพที่เกิดขึ้นนั้นน่าอับอายอย่างถึงที่สุด หลังจากเหลือบมองหน้ากัน ศาสตราจารย์ทั้งสามก็กระแอมออกมาและเก็บทุกอย่างกลับไว้ที่เดิม
เสื้อผ้าของผู้หญิงและอื่น ๆ…อย่างไรเสียมันก็เป็นสิทธิ์และงานอดิเรกส่วนตัว…ที่นี่คือสถาบันศึกษา ดังนั้นเราก็ควรจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข…เท่านั้นแหละ พวกเราจะเลือกปฏิบัติกับเขาเพียงเพราะเรื่องนั้นไม่ได้….
ตู้และลิ้นชักทั้งหมดปิดลง และฉินเย่ก็กระโดดลงจากเตียง “แค่นี้ใช่ไหมครับ?”
โหลวชวนพยักหน้าอย่างกระอักกระอ่วน แต่ก่อนที่เขาจะได้เอ่ยอะไร เฉินจื้อลี่ก็เอ่ยออกมาว่า “เดี๋ยวก่อน…นี่มันอะไรน่ะ”
จุดไคลแมกซ์ที่แท้จริงของเรื่องนี้กำลังใกล้เข้ามา
สิ้นสุดเสียงพูด ของที่ทำให้เหล่าศาสตราจารย์ที่ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นของที่อยู่ใต้เตียง!
เงียบ….
เงียบกริบ..
ตุ๊กตายางผู้หญิงที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าโบราณถูกดึงออกมาลอยอยู่กลางอากาศ ไม่ว่าพวกเขาจะมองอย่างไร สิ่งนี้ก็มีไว้สำหรับใช้งานเรื่องแบบนั้นอยู่ดี
และมันก็ดูเหมือนจะถูกใช้แล้วเสียด้วย
การเปิดเผยครั้งนี้สร้างความสั่นสะเทือนให้กับโลกได้พอ ๆ กับการระเบิดของระเบิดนิวเคลียร์ไม่มีผิด ศาสตราจารย์ทั้งสามเงียบไปโดยสมบูรณ์ จากนั้นหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ศาสตราจารย์เฉินก็สามารถรวบรวมสติของเขาได้ในที่สุด “เอาล่ะ…ผมว่าการตรวจสอบของเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว…เราไปกันเถอะ….”
และฉินเย่ก็ตกตะลึงอีกครั้งเมื่อศาสตราจารย์ทั้งสองท่านเอ่ยเสริมขึ้นว่า “ไม่ต้องห่วงอาจารย์ฉิน พวกเราจะเก็บทุกสิ่งที่เราเห็นที่นี่ไว้เป็นความลับ”
“ทุกคนต่างมีงานอดิเรกของตัวเองทั้งนั้น ตราบใดที่มันไม่ส่งผลกับการสอน พวกเราก็จะทำเป็นไม่รู้อะไรทั้งสิ้น และมันก็จะไม่ส่งผลกับการประเมินอาจารย์ผู้สอนด้วยเช่นกัน”
เถาหรานไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักคำ เขาเพียงตบไหล่ของฉินเย่เบา ๆ และถอนหายใจออกมา
มันคือความจริง…ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ รสนิยมแต่งหญิง และ…ตุ๊ก…ตุ๊กตานี่ก็เช่นกัน ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นอัจฉริยะที่ร้อยปีจะมีให้เห็นสักคน แต่มันก็เป็นธรรมดาที่เขาจะมีความลับอันดำมืดของตัวเองเช่นกัน…และเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ มันก็สมเหตุสมผลแล้วว่าทำไมการประเมินคุณสมบัติส่วนแรกของเขาถึงได้ไม่สูงนัก บางทีมันอาจจะเป็นผลมาจากสิ่งเหล่านี้ก็เป็นได้….
“การระบายและการปลดปล่อยควรอยู่ในระดับที่พอดี” หลังจากที่ทิ้งฉินเย่ไว้กับประโยคทิ้งท้ายนี้ ศาสตราจารย์ทั้งสามก็เดินออกจากห้องไปในที่สุด
“ไม่…มันไม่ควรเป็นแบบนี้…พวกคุณช่วยฟังคำอธิบายของผมก่อนสิ…พระเจ้า! อย่าพูดอะไรแบบนั้นสิ!”
ปัง!!
ฉินเย่ทุบประตูอย่างแรงก่อนจะจ้องมองไปใต้เตียงเขม็ง อาร์ทิสทำราวกับว่านางตายไปแล้วไม่เอ่ยอะไรทั้งนั้น
“แกล้งตายอย่างนั้นหรือ?” ความโกรธของฉินเย่มาถึงจุดสูงสุด เปลวไฟแห่งความโกรธลุกโชนอยู่ภายในท้อง และเขาก็คว้าตุ๊กตายางขึ้นมา จุดไฟแช็กและเลื่อนมันไปที่ผมของอาร์ทิส
ในวินาทีนั้นเอง ตุ๊กตายางที่เพิ่งแกล้งตายก็ลืมตาขึ้นและสบตากับเขา
“คือว่าข้าอธิบายได้” อาร์ทิสไม่มีอะไรจะพูด นางแปรงผมของตัวเองและนั่งลงบนเตียงอย่างสง่างามขณะที่กระแอมเบา ๆ “มันเป็นเหตุฉุกเฉิน….”
ฉินเย่คว้าคอของอีกฝ่ายและตะคอกออกมาด้วยดวงตาแดงก่ำ “เหตุฉุกเฉินหรือ?! ข้าจะทำให้ท่านดูว่าเหตุฉุกเฉินที่แท้จริงเป็นอย่างไร! ท่านไม่เคยได้ยินคำว่ามาตรการป้องกันเลยอย่างนั้นหรือ?! สิ่งที่ท่านทำทั้งวันก็คือเล่นเกมอยู่แต่ในห้องของข้า ท่านพยายามลองใส่บราหลายยี่ห้อภายในห้องของข้า และยังใช้แผ่นผ้าอนามัยโดยที่ตัวเองไม่จำเป็นต้องใช้มันด้วยซ้ำ!!!”
“…ปล่อยข้า…เราค่อยๆพูดกันดีกว่า…”
“ขอปฏิเสธ! วันนี้พวกเราต้องตายไปด้วยกัน! ข้าขอบอกเลย มันเกินจะทนแล้ว!!”
โครม!
วินาทีต่อมา ฉินเย่ก็พบว่าบริเวณศีรษะของเขารู้สึกเจ็บๆขณะที่ร่างของเขากระแทกเข้ากับประตูด้านหลัง แต่ถึงกระนั้นเขาก็รีบกลับมายืนเหมือนกับแมลงสาบที่ไม่ตายและตะโกนออกมาด้วยความไม่พอใจ “นั่นมันเพื่ออะไร?! ท่านยังจะมีข้อแก้ตัวอะไรอีก?”
อาร์ทิสจัดแจงเสื้อผ้าของตนและขมวดคิ้ว “อย่ารุนแรงกับข้า…เห็นหรือไม่ว่าเจ้าทำชุดของข้ายับหมดแล้ว! ไม่เช่นนั้นข้าจะฟ้องเจ้าข้อหาข่มขืน!”
“……”
เมื่อสัมผัสได้ว่าฉินเย่กำลังจะระเบิดเต็มทน อาร์ทิสจึงเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ข้าไม่มีข้อแก้ตัว แต่นั่นก็เป็นเหตุผลไปในตัว”
โอเค…สมเหตุสมผลมาก…..
ฉินเย่รู้สึกว่ามีเลือดไหลขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอและเขาก็พยายามข่มมันลงไปอีกครั้ง ใจเย็น ๆ อดทนไว้…อดทนไว้…
เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ เพื่อข่มใจและสติของตัวเองก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “มันจบแล้วใช่หรือไม่?”
อาร์ทิสสบตาอีกฝ่ายด้วยแววตาที่เคร่งขรึมกว่าเดิมและพยักหน้า “ใช่ มันมีข้อจำกัดหลายอย่างสำหรับยมทูตนอกอาณาเขตที่จะบุกรุกเข้าไปยังชาติอื่น ๆ และราคาที่ต้องจ่ายก็สูงอย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากนี้ ข่าวสารจะถูกส่งต่อไปได้ก็ต่อเมื่อมีผู้ส่งสาร หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเมื่อยมทูตนอกอาณาเขตพวกนั้นตายไป มันก็ไม่มีทางที่ยมโลกของพวกมันจะได้รู้ความจริงอะไรเกี่ยวกับยมโลกของจีนในตอนนี้หรอกนะ”
สายตาของนางเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกขณะที่เอ่ยต่อ “อีกฝ่ายไม่มีทางเสี่ยงท้าทายกับสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยถูกเรียกว่าเป็นยมโลกที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นครั้งที่สอง ไม่ว่าสภาผู้อาวุโสของพวกนั้นจะว่าอย่างไร ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับการพิสูจน์และหลักฐาน และสิ่งใดจะชัดเจนได้ดีไปกว่า การที่พวกเขาสามารถแย่งชิงดวงวิญญาณของบุคคลสำคัญไปจากเราได้กัน?”
ฉินเย่พยักหน้าอย่างครุ่นคิด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขาได้ความรู้ใหม่ เกี่ยวกับนรกในฐานะของยมโลก นรกได้พัฒนาไปพร้อมกับพัฒนาการทางสังคมของมนุษย์ และในทำนองเดียวกัน สมดุลระหว่างขั้วอำนาจของยมโลกเองก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งทั้งสิ้น
ผู้ที่อ่อนแอจะถูกรุกรานโดยผู้ที่แข็งแกร่งกว่า แม้ว่านี่จะหมายถึงการแทรกแซงสมดุลของกงล้อแห่งสังสารวัฏก็ตาม
ดังนั้นมันจึงสามารถสรุปได้อย่างง่ายดายว่า ยมโลกแห่งใดที่สามารถรอดจากความตึงเครียดและความขัดแย้งที่ไม่รู้จบระหว่างยมโลกมาเป็นระยะเวลาหลายพันปีได้นั้น ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายจะต่อกรด้วยเลยสักนิด
“ทฤษฎีป่ามืด [1]” ฉินเย่มองออกไปนอกหน้าต่างและพึมพำกับตัวเอง
“หืม?” อาร์ทิสมองอย่างสงสัย นางไม่ค่อยได้อ่านสิ่งพวกนี้เท่าไหร่นัก
ฉินเย่อธิบายเสียงเรียบ “สิ่งมีชีวิตทุกชนิดก็เปรียบเสมือนนักล่าที่มีปืนอยู่ในมือและอาศัยอยู่ในป่าลึก ใครก็ตามที่เปิดเผยถึงตำแหน่งและจุดอ่อนของตัวเองจะดึงดูดความสนใจจากกระบอกปืนของนักล่าคนอื่น ๆ ทันที”
อาร์ทิสพยักหน้าอย่างเห็นด้วย จากนั้นนางก็ทำท่าคล้ายจะคว้าอะไรบางอย่างในอากาศ และตะเกียงไฟที่ลุกโชนด้วยเปลวไฟนรกก็ปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นนางจึงลูบมันเบา ๆ และเอ่ยว่า “เช่นนั้น…ก็จงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะเป็นนักล่าที่มีความชำนาญมากที่สุดให้ได้โดยเร็ว”
ที่ใจกลางของตะเกียงมีวิญญาณดวงหนึ่งกำลังหลับใหลอย่างสงบ
กู่ชิง ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมการต่อสร้างและปรมาจารย์ด้านการวางผังเมือง การแย่งชิงวิญญาณของเขาคือเหตุผลที่ว่าทำไมเหล่ายมทูตนอกอาณาเขตยอมเดินทางมาที่จีน!
แต่วันนี้ ดวงวิญญาณดวงนี้อยู่ในกำมือของเขาอย่างปลอดภัย และจะถูกส่งตรงไปที่นรก
“เราไปกันเลยดีหรือไม่?” ฉินเย่หันไปมองอาร์ทิส การรวบรวมกองกำลังทหารหนึ่งพันนายนั้นง่ายกว่าการหาแม่ทัพที่มีความสามารถเป็นอย่างมาก แต่ถึงกระนั้น วันนี้เขาก็ได้เจอแม่ทัพที่ว่าแล้ว และเขาก็แทบจะรอไม่ไหวที่จะได้เห็นว่าอีกฝ่ายสามารถสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อะไรในยมโลก
อาร์ทิสไม่ได้ปฏิเสธคำถามของเด็กหนุ่ม เศษตราจ้าวนรกเริ่มทำงาน และทั้งคู่ก็หายไปใจห้องทันที
เมื่อพวกเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ทั้งสองก็ได้รับการต้อนรับด้วยท้องฟ้าที่มืดมิดที่สามารถมองเห็นเปลวไฟนรกมากมายลอยไปมาอยู่กลางอากาศอย่างน่าขนลุก ต้นไม้สีแดงเลือดปกคลุมพื้นที่เต็มไปหมด ในขณะที่วิญญาณจับกลุ่มรวมกันอยู่ทั่ว ความวุ่นวายเล็กน้อยพวกนี้แสดงให้เห็นถึงภาพของความรุ่งโรจน์ของยมโลกในอดีต ช่างเป็นภาพที่คุ้นตายิ่งนัก
ทั้งคู่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูนรก ทันทีที่พวกเขาปรากฏตัว ผู้ตรวจสอบอดีตกรรมกว่าร้อยตนก็ลุกขึ้นยืนอย่างพร้อมเพรียง จากนั้น โดยการนำของหัวหน้าอย่างซูตงเซวี่ย เจ้าหน้าที่ทั้งหมดโค้งคำนับพร้อมกัน “ยินดีต้อนรับครับ นายท่าน”
“อืม” ฉินเย่ยังคงรักษาความเย็นชาและสูงส่งเอาไว้ทุกครั้งที่ลงมาที่ยมโลก เขาพยักหน้า “มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง?”
ซูตงเซวี่ยโค้งคำนับอย่างสุภาพ “รายงานนายท่าน ตอนนี้ที่ยมโลกได้มีวิญญาณใหม่มาเพิ่มอีก 33,400 ตน ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าได้ดำเนินการลงทะเบียนให้กับพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว มีวิญญาณทั้งสิ้น 2,651 ตนที่เข้าร่วมกับทางบริษัทก่อสร้างหยิน เมื่อเปรียบเทียบกับสัปดาห์ที่แล้ว จำนวนของวิญญาณใหม่ในยมโลกลดลงถึง 78% อัตราการเพิ่มจำนวนของประชากรลดลงเป็นอย่างมาก”
“นี่เป็นเรื่องปกติ” อาร์ทิสเอ่ยตอบออกมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น “ผู้ที่สามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของยมโลกแห่งใหม่นั้น มีเพียงวิญญาณที่อยู่บริเวณใกล้เคียงเท่านั้น และถึงจะเป็นเช่นนั้น มันก็ยังมีกลุ่มอื่น ๆ ที่ต้องการจะแย่งชิงดวงวิญญาณไปจากยมโลกเพื่อผลประโยชน์ของพวกตนเช่นกัน”
“ยกตัวอย่างเช่น วิญญาณที่อยู่ในเขตไล่ล่าที่ได้รับการระบุตัวเลขสำหรับติดตามโดยแดนมนุษย์ และแม้แต่วิญญาณในเขตไล่ล่าอื่น ๆ ที่ไม่ได้ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ นอกจากนี้…มันยังต้องพิจารณาถึงการมีอยู่ของราชาผีทั้งสามอีกด้วย วิญญาณบางตนอาจเลือกที่จะยอมเข้าร่วมกับกองกำลังของราชาผีพวกนั้น ต่อให้พวกเขาจะสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของยมโลกแห่งใหม่ก็ตาม…ตอนนี้เรามีประชากรอยู่ทั้งสิ้นเท่าไหร่?”
ซูตงเซวี่ยโค้งคำนับอีกครั้ง “เวลานี้ ยมโลกมีประชากรวิญญาณทั้งสิ้น 186,420 ตนโดยมีวิญญาณ 24,000 ตนที่ได้เข้าทำงานกับบริษัทก่อสร้างหยิน”
มากขนาดนั้นเลยหรือ?
ฉินเย่มองไปรอบ ๆ อย่างประหลาดใจ เขามองเห็นวิญญาณหลายตนที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ที่ยังไม่ถูกโค่นลง เมื่อเขามองไกลออกไปเขาก็เห็นแปลงที่ดินขนาดใหญ่ที่กำลังถูกเตรียมการสำหรับงานก่อสร้าง ต้นไม้สีแดงถูกโค่นลงจนหมด แต่มันกลับไม่มีวี่แววของวิญญาณตนไหนเลยสักนิด กลับกัน มันมีเพียงเงาราง ๆ ของเครื่องจักรที่กำลังเคลื่อนที่ไปมาเท่านั้น
บางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น…
เขาขมวดคิ้วยุ่ง หากเป็นที่แดนมนุษย์ แม้แต่ประธานาธิบดีก็สามารถถูกฟ้องได้หากอัตราคนว่างงานมีสูงเกินไป ทว่ายมโลกนั้นแตกต่างออกไปเนื่องจากพวกเขายังไม่มีระบบเงินหรือค่าจ้าง แต่หากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป…หากวิญญาณทั้งหมดยังว่างงานอยู่แบบนี้ บางสิ่งบางอย่างจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!
“คนของบริษัทก่อสร้างหยินอยู่ที่ไหน?”
“ท่านฉิน” เสียงหลายเสียงดังขึ้นให้ได้ยินก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ เมื่อฉินเย่หันไปทางต้นเสียง เขาก็พบว่าเป็นหลี่ชวนอี่ จ้าวกวงเหลียง และหูเฟิงที่กำลังวิ่งมาจากโถงเสริมโดยที่ยังสวมหมวกกันกระแทกอยู่
เขาจ้องหน้าผู้มาใหม่ทั้งหมด วิญญาณทั้งสามตัวสั่นเทา ริมฝีปากของพวกเขาสั่นระริก แต่กลับไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา
ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมาสักคำ
พวกเขาเคยเป็นหัวหน้างานมาก่อนเมื่อตอนอยู่ที่แดนมนุษย์ และพวกเขาก็รู้ดีว่าสิ่งที่หัวหน้างานเกลียดนักเกลียดหนาคืออะไร
การเอ่ยปากก่อนที่หัวหน้าจะถามนั้นเทียบได้กับการผยองในอำนาจ
ติ๊ก ต็อก ติ๊ก ต็อก…
ผ่านไปเพียงไม่กี่สิบวินาทีเท่านั้น ก่อนฉินเย่จะเอ่ยออกมาอย่างไม่พอใจ “บริษัทก่อสร้างหยินมีพนักงานทั้งสิ้น 24,000 ตน…หน่วยงานเพียงหน่วยงานเดียวที่ได้รับการจัดตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการ และยังมีพนักงานมากที่สุด พวกเจ้ามีจำนวนมากกว่าผู้ตรวจสอบอดีตกรรมหลายร้อยเท่า นี่ก็ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว บอกข้ามา…ว่างานมีความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว?”
“นายท่าน!” แม้ว่าสีหน้าของฉินเย่ในตอนนี้จะเรียบนิ่งและไม่แสดงออกถึงอารมณ์ใด ๆ แต่วิญญาณทั้งสามก็พบว่าแผ่นหลังของพวกเขาเหงื่อออกเต็มไปหมด พวกเขาคุกเข่าลงกับพื้นทันที และก็เป็นหลี่ชวนอี่ที่เอ่ยออกมา “เป็นเพราะพวกเราเองที่ไร้ความสามารถ…ไม่ควรค่าแก่การคาดหวังของท่านเลยสักนิด….”
“ข้าถามว่ามีความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว!” ฉินเย่เอ่ยถามด้วยเสียงที่ดังขึ้น “พวกเจ้าไม่เข้าใจคำถามที่ข้าถามอย่างนั้นหรือ?!”
“พวกเราเข้าใจดีนายท่าน!” ทั้งสามตอบออกมาพร้อมกัน จากนั้นจ้าวกวงเหลียงก็ถอนหายใจพร้อมกับเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของตน “ประมาณ 1%…”
“พูดตัวเลขที่ชัดเจนออกมา!”
ตูม!
ครั้งนี้เป็นอาร์ทิสเองที่ตะคอกออกมา เสียงของนางนั้นทรงพลังจนทำให้ประตูนรกสั่นสะเทือน วิญญาณทั้งสามรีบหมอบกราบด้วยความหวาดกลัวขณะที่เอ่ยตอบเสียงเบา “0.6%…”
“วิญญาณสองหมื่นกว่าคนแต่กลับมีความคืบหน้าเพียง 0.6% สำหรับตลอดทั้งเดือนที่ผ่านมา?” กลุ่มก้อนพลังหยินเริ่มไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของอาร์ทิสขณะที่นางแค่นหัวเราะ “เป็นเพราะว่าพวกเจ้าคิดว่าตนเองคงไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับมันใช่หรือไม่? ถ้าเช่นนั้นข้าจะบอกอะไรให้พวกเจ้าฟัง การได้มีชีวิตอยู่คือผลประโยชน์สูงสุดที่พวกเจ้าจะขอได้!”
ฉินเย่ไม่ได้เอ่ยขัดอะไร ยมโลกแห่งใหม่ยังอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ เขารู้ดีว่าความคืบหน้าที่ล่าช้านั้นเป็นผลมาจากความขาดแคลนของเครื่องจักร และเงินที่เขาให้ 100,000 หยวนต่อเดือนของเขานั้นมากพอหรือไม่? เมื่อเทียบกับการพัฒนาของสวนจี้ชั่ง แล้ว มันก็เหมือนกับน้ำในถังน้ำเท่านั้น ไม่สิ….มันอาจน้อยกว่านั้นด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม ยิ่งสถานการณ์วุ่นวายมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งต้องแสดงอำนาจของตัวเองมากเท่านั้น
ดังนั้นเขาจะทำผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด
ข้อผิดพลาดจะสามารถเกิดขึ้นได้โดยหัวหน้าแผนกเท่านั้น และนั่นก็คือเหตุผลที่อาร์ทิสกำลังตำหนิชายทั้งสามอยู่ในตอนนี้
“เอาล่ะ” มันถึงเวลาที่ฉินเย่จะได้ออกโรงเสียที อาร์ทิสได้ทำหน้าที่ของตนเสร็จสิ้นแล้ว พวกเขาทั้งคู่ทำงานเข้าขากันอย่างสมบูรณ์แบบ และเขาก็เอ่ยขึ้นในจังหวะเหมาะสม “พวกเจ้าเจอปัญหาอะไรบ้างหรือไม่?”
“ย่อมมีแน่นอนนายท่าน…” ชายทั้งสามมองหน้ากัน จากนั้นหู่เฟิงก็เป็นฝ่ายโค้งคำนับและเอ่ยตอบ “นายท่าน…สวนจี้ชั่ง เป็นโครงการที่ใหญ่มาก และไม่มีพวกเราคนไหนที่เคยทำงานก่อสร้างในรูปแบบโบราณมาก่อน นอกจากนี้งานก่อสร้างก็จำเป็นต้องใช้วัสดุ รวมถึงไม้จำนวนมาก ด้วยความคืบหน้าของงานตัดไม้ในปัจจุบัน…ผมเกรงว่าพวกเราอาจจะมีไม้ไม่เพียงพอสำหรับโครงการในอีกห้าถึงหกปีข้างหน้า”
เขาลอบสังเกตสีหน้าของฉินเย่ก่อนจะเอ่ยต่ออย่างกล้าหาญ “นอกจากนี้ ปัญหาของเราในตอนนี้ก็คือเรื่องของเครื่องจักร นายท่าน ในแดนมนุษย์ พวกเรามักจะเรียกปรากฏการณ์เช่นนี้ว่าการล่มสลายของห่วงโซ่เงินทุน หากเราไม่รับการอัดฉีดทรัพยากรโดยเร็ว…ผมเกรงว่าพนักงานทุกคนจะไม่เหลือกำลังใจในการทำงานต่อแน่ครับ”
เขาสูดหายใจเข้าช้า ๆ และก้มหน้าลง “ตอนที่ข้ายังอยู่ที่แดนมนุษย์ ข้าเคยเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน..แรงกระตุ้นที่เกิดจากการอัดฉีดเงินทุนนั้นน่าอัศจรรย์ใจเป็นอย่างมาก หากโครงการไม่ได้รับการกระตุ้นภายในระยะเวลาหนึ่งเดือนหรือสองสามเดือนติดต่อกัน และอุปกรณ์กับทรัพยากรทั้งหมดยังคงมีปริมาณเท่าเดิม….นายท่าน ข้าเกรงว่าแม้แต่บริษัทก่อสร้างหยินที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาก็อาจจะล้มละลายลงก่อนที่จะประกาศปิดตัวลงอย่างเป็นทางการเสียอีก….”
[1] นี่คือทฤษฎีที่ถูกคิดค้นขึ้นโดยนักเขียนชาวจีน ลิ่วซีซีน (Liu Cixin) โดยได้กล่าไว้ในหนังสือของเขา ‘The Dark Forest’ ซึ่งเป็นภาคที่สองของนวนิยายไตรภาคชุด ‘Remembrance of Earth’s Past’ ทฤษฎีดังกล่าวได้ระบุไว้ว่าสิ่งมีชีวิตในจักรวาลของเรานั้นล้วนหวาดกลัวซึ่งกันและกันจนไม่กล้าเปิดเผยตัวออกมา เนื่องจากกลัวว่าจะถูกมองว่าไม่ได้มาดีและอาจถูกทำลายลง