บทที่ 192: บทสนทนาของจ้าวนรก

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 192: บทสนทนาของจ้าวนรก

ฉินเย่ขมวดคิ้วยุ่งขณะที่มองไปยังเครื่องจักรที่วางกระจัดกระจายอยู่รอบ ๆ เขตก่อสร้างอย่างเงียบ ๆ

เส้นทางสู่การก่อตั้งอาณาจักรนั้นเต็มไปด้วยขวากหนามและความยากลำบาก ตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่ต่ำต้อยไปจนถึงเมืองที่เจริญรุ่งเรืองนั้นสามารถเรียกได้ว่าเป็นมหากาพย์อันงดงามที่ครอบคลุมทุกแขนง ตั้งแต่สิ่งจำเป็นอย่างอาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัยและการขนส่งไปจนถึงแขนงความรู้เกี่ยวกับมนุษยศาสตร์และฟิสิกส์ การพัฒนาของอารยธรรมสมัยก่อนขึ้นอยู่กับคนเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่การพัฒนาของอารยธรรมสมัยนี้กลับต้องยืนอยู่บนไหล่ของยักษ์* กลายเป็นทาสของเงินตรา

(*นายทุน)

และนี่ก็คืออุปสรรคที่ยากที่สุดที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าด้วย

เงินไม่กี่ล้านหยวนนั้นเปรียบเสมือนกับหยดน้ำในมหาสมุทร เขาต้องการที่จะหาแหล่งรายได้ที่มั่นคงสำหรับการพัฒนาของยมโลกในอนาคต แต่เขาไม่รู้เลยสักนิดว่าควรจะเริ่มจากตรงไหน แม้ว่าเขาจะมีสมบัติที่มีมูลค่าหลายสิบล้านมาจากหวงเลี่ยงชวนและดวงวิญญาณผู้ประกอบการคนอื่น ๆ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าตนจะต้องไปที่ใดเพื่อแลกเปลี่ยนของเหล่านี้ให้กลายเป็นเงินอยู่ดี

การเป็นเอกเทศของเมืองเป่าอันคืออุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดสำหรับแผนการของเขา เพราะมันตัดขาดโอกาสที่เขาจะได้สื่อสารกับโลกภายนอกทั้งหมดไป

“ไม่ต้องคิดมาก ปัญหาที่เจ้ากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้นั้นเล็กน้อยกว่าสิ่งที่ยมโลกแห่งเก่าเจอในปีแรก ๆ มาก ตอนนั้นพวกเขาต้องเผชิญหน้าทั้งกับการรุกรานดินแดน ความขัดแย้ง และแม้แต่การทะเลาะวิวาท ในกรณีที่แย่ที่สุด…” แววตาของอาร์ทิสเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกเมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ “เจ้าก็แค่กำจัดพวกเขาทั้งหมด รอวิญญาณกลุ่มใหม่มาที่นี่และเริ่มทุกอย่างใหม่อีกครั้ง”

…ความคิดของท่านนั้นช่างไร้มนุษยธรรมจริง ๆ…ฉินเย่ทำหน้ายุ่ง ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าความคิดของผู้เล่นสาวมันอันตรายถึงเพียงนี้…นี่ท่านพูดเรื่องการกำจัดหรือสังหารออกมาได้อย่างสบาย ๆ แบบนั้นได้อย่างไร? ถ้าท่านทำให้ต้นหญ้าหรือดอกไม้แถวนี้ตื่นจนหนีกลับไปหมดจะทำอย่างไร?

ในฐานะของคนที่ผ่านการศึกษาที่มีคุณภาพมานานถึงเก้าปีและใช้ชีวิตมาในช่วงสังคมนิยม ข้าจะไปทำสิ่งที่ไร้ป่าเถื่อนเช่นนั้นได้อย่างไร?

“ท่านจะทำหรือให้ข้าทำล่ะ?” ฉินเย่กระแอมออกมาและเอ่ยตอบภายใต้สายตาที่หวาดกลัวของหัวหน้าแผนกทั้งสาม

อาร์ทิสมองหน้าอีกฝ่ายราวกับเห็นผี จากนั้นหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็เบ้ปากและเอ่ยว่า “…ข้าเพียงแต่พูดลอย ๆ เท่านั้น ดังนั้นจงอย่าเก็บมันมาใส่ใจ…วิญญาณนับแสนตนไม่ได้ได้มาง่าย ๆ เจ้าจะต้องรักษาพวกเขาเอาไว้นี่ก็นับว่าเป็นหนึ่งในผลประโยชน์ที่เจ้าได้รับมาตั้งแต่แรกเริ่ม…จะว่าไป เจ้าไม่คิดว่าความมั่นใจตัวเองของเจ้าตอนนี้มันสูงเกินไปหรือ? ในฐานะของจ้าวนรก เจ้าจะไม่แสดงความรักและความเป็นห่วงต่อประชากรของตัวเองได้อย่างไร…..”

นางก็แค่พูดลอย ๆ เท่านั้น…ฉินเย่เหลือบมองอาร์ทิส ความยากจนของเขาผลักดันให้เขามาถึงขีดจำกัดของความบ้าคลั่ง เด็กหนุ่มยืดตัวตรงและเลิกคิดเกี่ยวกับการสิ้นเนื้อประดาตัว “แล้ว…เรื่องวิญญาณของกู่ชิงล่ะ?”

น่าประหลาดใจยิ่งที่เจ้ายังสามารถรักษาใบหน้าหนา ๆ ของเจ้าไว้ได้ อาร์ทิสกลอกตาและตอบ “รอสักครู่”

ทั้งสองเดินตรงไปที่ศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณ ดึงดูดสายตาของผู้ที่อยู่รอบ ๆ อาร์ทิสนำตะเกียงของตนออกมาและวางมันลงที่จุดกึ่งกลางของแท่นหินอ่อน จากนั้นด้วยการทำมือเป็นสัญลักษณ์บางอย่าง สายลมเย็นยะเยือกก็พัดมาจากทุกสารทิศ

วิญญาณที่เพิ่งมาใหม่มองดูท้องฟ้าเหนือศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณอย่างเหม่อลอย ท้องฟ้าสีดำสนิทสั่นไหวเล็กน้อยก่อนจะหมุนวนไปรอบ ๆ เกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่กลางอากาศที่มีความสูงหลายสิบเมตร เปลวเพลิงนรกจำนวนนับไม่ถ้วนต่างพุ่งเข้าไปในหลุมดังกล่าวและเริ่มหมุนไปรอบ ๆ อย่างบ้าคลั่ง

ครื้น!!…ประกายสีซีดของสายฟ้าฟาดผ่านหมู่เมฆพร้อมกับส่งเสียงดังอย่างน่ากลัว ส่งผลให้เหล่าวิญญาณที่อยู่ด้านล่างมีสีหน้าตกตะลึงเป็นอย่างมาก ในไม่กี่วินาทีถัดมา เปลวไฟนรกจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้าไปที่ตะเกียงซึ่งตั้งอยู่ที่ศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณและเปลี่ยนเป็นกระแสน้ำวนเพลิงสีเขียวหยกขนาดใหญ่ ในขณะที่ด้านล่างของตะเกียงกลับเริ่มเปลี่ยนเป็นสิ่งที่คล้ายกับหลุมดำและเริ่มดูดซับเปลวไฟนรกทั้งหมดเข้าไป

ฟึ่บ…ยิ่งเปลวไฟนรกพุ่งเข้าไปรวมในกระแสน้ำวนเพลิงมากขึ้นเท่าไหร่ ตะเกียงก็เริ่มเกิดรอยร้าวและสั่นแรงขึ้นเท่านั้น และหลังจากผ่านไม่นานโซ่สีทองอ่อน ๆ ที่ยื่นออกมาจากหลุมที่อยู่ด้านล่างของตะเกียงก็ปรากฏขึ้น และกระแสน้ำวนเพลิงนรกก็พุ่งเข้าหาและล้อมรอบโซ่สีทองดังกล่าวราวกับอสรพิษที่ดุร้าย

เพล้ง!!

สิบวินาที่ต่อมา เสียงแตกของบางอย่างดังก้องให้ได้ยินไปทั่ว ในขณะเดียวกันตะเกียงที่วางอยู่บนศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณก็ได้แตกสลายและวิญญาณตนหนึ่งก็ค่อย ๆ ลอยขึ้นมาจากกระแสน้ำวนเพลิงนั้น ร่างของมันมีขนาดเล็กมาในตอนแรก แต่ไม่นานมันขยายใหญ่เท่าขนาดของวิญญาณธรรมดาทั่วไปและก้าวออกมาจากตะเกียง

วิญญาณของกู่ชิงถูกปลดปล่อยแล้ว!

สายลมนรกพัดผ่านไปทั่วทุกที่ ส่งผลให้เส้นผมของอาร์ทิสปลิวปรกใบหน้าของนางเต็มไปหมด แต่นางก็ไม่ได้ยกมือไปปัดมันออกเลยสักนิด กลับกัน นางเพียงหันมองสีหน้ามึนงงของกู่ชิงและเอ่ยเบา ๆ “ทุกดวงวิญญาณที่ถูกแย่งชิงโดยยมทูตนอกอาณาเขตจะต้องได้รับการทำลายผนึกเฉกเช่นที่ข้าได้ทำเมื่อครู่…มันคือวัตถุหยินที่ได้รับพลังจากเทพเจ้าแห่งโลกใต้พิภพของพวกมัน และมันก็เชื่อมต่อกับเทพเจ้าผู้นั้นอย่างแยกไม่ออก เมื่อวัตถุหยินถูกทำลาย อีกฝ่ายก็จะรู้สึกถึงมันได้เช่นกัน”

นางมองขึ้นไปยังหลุมที่อยู่บนฟ้า “และหลุมนั่นก็ไม่ใช่หลุมในกลุ่มเมฆธรรมดา แต่มันคือวินาทีที่รอยแยกระหว่างยมโลกแห่งนี้และยมโลกของอีกฝ่ายถูกเปิดออก ยมโลกแห่งเก่าได้ให้คำจำกัดความเฉพาะเกี่ยวกับสิ่งนี้เอาไว้ เราเรียกมันว่า ‘รูหนอนใต้พิภพ’”

ฉินเย่พยักหน้าเบา ๆ และก่อนที่เขาจะได้เอ่ยอะไรต่อ เด็กหนุ่มก็รู้สึกเย็นวาบไปตามกระดูกสันหลัง ขนบนร่างเริ่มลุกชันอย่างไม่มีสาเหตุ เขาอ้าปากค้างอย่างหวาดหวั่นและหันไปจ้องหน้าอาร์ทิส “นี่ท่านกำลังจะบอกว่า…เทพเจ้าของยมโลกแห่งนั้นกำลังมองดูเราอยู่อย่างนั้นหรือ?!”

ทันใดนั้นเอง เสียงฟ้าร้องก็ดังก้องไปทั่วนรก และตัวตนอันยิ่งใหญ่ก็พุ่งลงมาบนพื้นอย่างรุนแรง!

“เออออ…” เหล่าผู้ตรวจสอบอดีตกรรมทั้งหมดที่กำลังมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นต่างครางออกมาด้วยความตกตะลึง พวกเขารีบคุกเข่าลงกับพื้นด้วยร่างที่สั่นเทาทันที ในความเป็นจริง วิญญาณตนอื่น ๆ ไม่สามารถแม้แต่จะร้องออกมาด้วยซ้ำเมื่อทรุดตัวลงกับพื้น ตุบ ตุบ ตุบ….วิญญาณกว่าแสนตนคุกเข่าลงทันที และนรกก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ

ไร้ตัวตน

ไร้รูปร่าง

พลังที่มากเกินจะต้านทานไม่มีทั้งตัวตนหรือรูปร่าง และไม่มีใครสามารถบอกได้ว่ามันมาจากที่ใด แต่ถึงกระนั้น มันกลับทรงพลังจนดูเหมือนจะทำให้อากาศรอบตัวพวกเขาบีบตัวและอึดอัดขึ้น ราวกับถูกแรงกดดันมหาศาลทับลงมา

ครืดดดด……หลุมในอากาศเริ่มแยกออกจนเผยให้เห็นรอยแยกสีแดงเข้ม มันดูราวกับมีใครบางคนกำลังแยกมันออก เปิดมันกว้างขึ้นเรื่อย ๆ จนคลื่นพลังหยินหลั่งไหลออกมาและปกคลุมไปทั่วพื้นที่ขนาดห้าตารางกิโลเมตรของยมโลกอย่างรวดเร็ว!

นี่คือพลังของเทพเจ้าแห่งนรก!

“ท่านนี่มัน….” แรงกดดันที่ยากเกินจะต้านทานทำให้ร่างของฉินเย่ไม่สามารถขยับไปไหนได้ วินาทีนี้ เขารู้สึกราวกับว่ามีอสูรร้ายตัวใหญ่ไล่ตามมาด้านหลังของเขา เด็กหนุ่มพยายามหันหน้าของตนและจ้องเขม็งไปที่อาร์ทิส “เหตุใดท่านจึงไม่บอกเรื่องนี้ให้ข้ารู้ตั้งแต่แรก?!!”

“เงียบ! รักษาความสง่าของเจ้าเอาไว้!” อาร์ทิสกัดฟันกรอดและตะคอกกลับไป “นี่คือพลังของเทพเจ้าแห่งนรกของพวกมัน! เราอาจจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ! ที่นี่คือยมโลก โลกใต้พิภพของจีน! เทพองค์ใดที่ก้าวเท้าเข้ามาในอาณาเขตของเราจะต้องถูกจำกัดพลังของพวกเขาเอาไว้! อย่างมากที่สุดพลังของพวกเขาก็อยู่เหลืออยู่แค่ขั้นตุลาการนรกเท่านั้น!”

ตูม!!

ขณะที่นางกำลังพูด สายลมรุนแรงก็พัดออกมาจากรอยแยกขนาดเล็กและปกคลุมไปทั่วยมโลกแห่งใหม่! ต้นไม้โอนเอนและเปลวไฟนรกบางดวงก็ถูกดับไป แต่ถึงอย่างนั้น ทุกอย่างกลับเงียบสนิท มันดูราวกับว่าสายลมดังกล่าวได้พัดเสียงทุกอย่างบนโลกนี้ออกไปจนหมดสิ้นแล้ว ส่งผลให้ทั่วทั้งพื้นที่ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ จนพวกเขาได้ยินเสียงเต้นของหัวใจตัวเอง

ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาสักคำ

อาร์ทิสสูดหายใจเข้าช้า ๆ และเอ่ยต่อ “มันไม่สำคัญว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร เจ้าคือหน้าตาของยมโลกแห่งใหม่! เจ้าคือว่าที่จ้าวนรกในอนาคต! ถึงแม้ว่าตอนนี้เจ้าจะเพิ่งอยู่แค่ขั้นยมทูตขาวดำ แต่นี่ก็คือการเผชิญหน้าระหว่างจ้าวนรกและจ้าวนรกอย่างไม่ต้องสงสัย! อย่าคิดที่จะถอยหลังกลับเป็นอันขาด!”

ให้ตายเถอะ…ฉินเย่พยายามอย่างเต็มที่เพื่อปรับความคิดของตนเอง นี่มันบ้าอะไรอีก?! เทพเจ้าแห่งโลกใต้พิภพของยมโลกอีกแห่งหนึ่ง…ไม่ใช่ว่ายมโลกที่สามารถรอดชีวิตอยู่มาถึงทุกวันนี้ และมีอายุมานานขนาดนี้จะต้องผ่านการทดสอบของกาลเวลามาแล้วหรอกหรือ? ข้าเพิ่งอยู่แค่ขั้นยมทูตขาวดำเท่านั้น! แล้วข้าจะไปสามารถเผชิญหน้ากับอะไรแบบนั้นได้อย่างไร?!

ฟึ่บ…ทันใดนั้น รอยแยกสีแดงเข้มก็แยกออกจนสุด และภาพของร่างกายส่วนบนที่ดูคล้ายกับภาพลวงตาก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า

ภาพตรงหน้าพร่ามัวไปหมด

ภาพที่เกิดขึ้นนั้นก่อตัวขึ้นจากพลังหยินทั้งหมด แต่ฉินเย่ก็สามารถเห็นได้ว่าพลังหยินที่เป็นส่วนประกอบก็กำลังส่งเสียงร้องและคร่ำครวญของวิญญาณออกมาไม่รู้จบ มันแทบจะเหมือนกับร่างที่พร่ามัวดังกล่าวนี้ เป็นตัวแทนของยมโลกและกงล้อแห่งสังสารวัฏนับพัน

ระดับของพลังหยินนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!

ทั้งสองฝ่ายสบตากันครู่หนึ่ง พวกเขาคือตัวตนที่อยู่ระดับต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ด้วยการสบตาเพียงครู่เดียว ทั้งสองต่างก็รับรู้ได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคือเทพเจ้าแห่งโลกใต้พิภพของตนเองอย่างไม่ต้องสงสัย

ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาสักคำ

ที่ฝ่ามือของฉินเย่มีเหงื่อออกมากและสั่นเทาอย่างรุนแรง แต่เขาก็ซ่อนมันไปที่ด้านหลังอย่างรวดเร็ว พลังหยินของอีกฝ่ายนั้นกดดันจนเขาแทบจะไม่สามารถห้ามร่างกายไม่ให้สั่นได้เลย อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงฝืนแย้มยิ้มออกมา

นี่เป็นสิ่งที่เขาสามารถทำได้มากที่สุดในตอนนี้แล้ว

“ข้ามีนามว่าแทนาทอส” ไม่กี่วินาทีต่อมา เสียงแหบพร่าก็ดังขึ้น ก้องกังวานไปจนถึงภายในใจของฉินเย่

เสียงนั้นทั้งแผ่วเบาและนิ่งเรียบ

ทว่ามันกลับให้ความรู้สึกเหมือนกับสายฟ้าฟาดที่มาพร้อมกับสายลมกระโชกแรง หากเปรียบว่าหัวใจของฉินเย่เป็นเหมือนกับประตู การแนะนำตัวเมื่อครู่ก็สามารถพูดได้ว่าประตูดังกล่าวได้ถูกทำลายทิ้งไม่เหลือซาก โดยมีอีกฝ่ายวิ่งเข้ามาภายในใจของเขาอย่างรวดเร็ว!

“ใจเย็น ๆ! อยู่นิ่ง ๆ!” อาร์ทิสก้มหน้าและกระซิบเสียงเบา “นี่เป็นเพียงร่างมายาของเขาเท่านั้น! ตัวเขาไม่ได้อยู่ที่นี่จริง ๆ! แทนาทอส…เทพแห่งความตายของชาวอาร์โกส! เขาอยู่ในยมโลกที่อยู่ห่างไกลออกไป! เจ้าจะปลอดภัยตราบใดที่อยู่ที่นี่!”

“ข้ารู้…” ริมฝีปากของฉินเย่เริ่มมีเลือดซิบออกมา ถึงแม้ว่าเขาจะรู้อย่างนั้น แต่การกระทำมันคนละเรื่องกัน เสียงของแทนาทอสนั้นมาพร้อมกับพลังอำนาจที่น่ากลัว จนจิตใจและสติของเขาแทบพังทลายลงมาเพียงเวลาไม่กี่วินาที

ฉินเย่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าคำพูดแนะนำตัวเพียงประโยคสั้น ๆ จะสามารถสร้างความหวาดกลัวให้กับจิตใจของผู้อื่นได้มากขนาดนี้

เหล่าบุคคลที่เคยได้เผชิญหน้ากับยมโลกแห่งเก่าเป็นเช่นนี้เองน่ะหรือ? มันช่าง…น่าสะพรึงกลัวและยิ่งใหญ่…

ฉินเย่ไม่ได้ตอบอะไรออกมา แทนาทอสเอ่ยต่อ “ชาวโรมันจะรู้จักข้าในนามมอร์ส ข้าคือน้องชายฝาแฝดของฮิปนอส เทพแห่งการหลับใหล และข้าคือบุตรชายของนิกซ์ เทพีแห่งราตรี”

“เขากำลังถามประวัติของเจ้า” อาร์ทิสกระซิบ “การเผชิญหน้าระหว่างจ้าวนรก…เขาเคยพบกับอดีตจ้าวนรก และตอนนี้เขาก็อยากรู้ประวัติของเจ้า ตามมารยาทแล้ว เมื่อเขาเล่าถึงประวัติของตน เจ้าเองก็ควรตอบกลับด้วยประวัติของเจ้าเช่นกัน นี่คือมารยาทระหว่างผู้มีอำนาจ”

เวรเอ๊ย…แผ่นหลังของฉินเย่ในเวลานี้เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ หลังจากผ่านไปหลายวินาที เขาก็เงยหน้าขึ้นและตอบเบา ๆ ว่า “นามของข้าคือฉินเย่ จ้าวนรกที่เป็นตัวแทนของยุคสมัยแห่งใหม่ของยมโลกในประเทศจีน ข้าคือบุตรชายของพระยมแห่งพระตำหนักที่หนึ่ง ฉินกวงหวาง”

เขาแค่ขอยืมชื่อมาใช้ก่อนเท่านั้น…ในเวลาแบบนี้ใครจะมาสนใจเรื่องเล็กน้อยแบบนี้กัน?

“เขานี่เอง….” เสียงที่ลากยาวของแทนาทอสเผยให้เห็นร่องรอยแห่งความทรงจำในอดีต คล้ายกับว่าเขาแทบจะไม่ได้สนใจข้อเท็จจริงที่ว่าตัวเองไม่สามารถแย่งดวงวิญญาณของกู่ชิงไปได้สำเร็จเลยสักนิด “ข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าสามารถเอาชนะขนนกทมิฬของข้าได้แสดงให้เห็นว่ายมโลกของจีน…ไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างที่ข้าคิด….”

“ใต้เท้า” อาร์ทิสยังคงยืนหยัดต่อสู้กับแรงกดดันที่น่าสะพรึงกลัวและเอ่ยว่า “มันเป็นความจริงที่ยมโลกกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง แต่หากมันทำให้อาณาจักรของท่านเผลอคิดไปว่ามันหมายความถึงใบอนุญาตในการครอบครองวิญญาณกว่าพันล้านดวงในนรกของจีน ข้าเกรงว่าท่านอาจจะต้องหารือกับราชันย์วิญญาณทั้งหกและพระยมแห่งพระตำหนักทั้งสิบเสียก่อน”

“ข้าคิดว่าอาณาจักรของท่าน คงจะยังไม่ลืมสงครามศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองครั้งระหว่างเราในช่วงพันปีที่ผ่านมาใช่หรือไม่?”

อีกฝ่ายเงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากผ่านไปสักพักใหญ่แทนาทอสก็เอ่ยออกมาในที่สุด “มัจจุราชแห่งยมโลกของจีนเดินทางไปทางทิศตะวันตก ปะทะกับยมโลกของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ นี่คือสงครามครั้งแรกระหว่างยมโลกของตะวันออกและตะวันตก รวมไปถึงยมโลกของชาวฮินดู และยมโลกที่ยิ่งใหญ่ทั้งเจ็ดของทางตะวันตกอีกด้วย นี่คือสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งที่หนึ่ง”

“หลังจากนั้น ตอนที่ประเทศมหาอำนาจได้รุกรานจีนในช่วงปลายของราชวงศ์ฉิง[1] ยมโลกของทางตะวันตกทั้งสิบแห่ง ก็ได้ร่วมมือกันและโจมตียมโลกของจีนอีกครั้ง แต่มันก็เปล่าประโยชน์ นี่คือสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งที่สอง…ความยิ่งใหญ่ของนรกและความอยู่ยงคงกระพันของราชันย์วิญญาณและพระยม ข้าผู้นี้ยังคงจำได้ดี”

“แต่ถึงกระนั้น…”

ดวงตาสีแดงก่ำคู่หนึ่งปรากฏขึ้นเหนือรอยแยกบนท้องฟ้าและจ้องมาที่ฉินเย่เขม็ง “พวกเจ้าในตอนนี้…ยังสามารถทำเช่นนั้นได้อยู่หรือไม่?”

[1] นี่น่าจะหมายถึงช่วงที่ประเทศมหาอำนาจเข้ามารุกรานจีนในช่วงต้นของปีค.ศ. 1900