บทที่ 193: การประชุมสภาโลกใต้พิภพระดับโลก

ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗]

บทที่ 193: การประชุมสภาโลกใต้พิภพระดับโลก

ความกดดันซัดสาดเข้ามาราวกับคลื่นสึนามิที่พัดเข้าริมฝั่ง เปลวไฟนรกจำนวนนับไม่ถ้วนยังคงลอยอยู่กลางอากาศ อย่างไรก็ตาม จิตใจของฉินเย่กลับสงบลงอย่างไม่สามารถอธิบายได้

“จะลองดูก็ได้นะ” เขาจ้องกลับไปที่ดวงตาแดงก่ำบนท้องฟ้าพร้อมกับเอ่ยออกมาเสียงเรียบ

เงียบ….

ดวงตาคู่นั้นยังคงจ้องมาที่ฉินเย่ ราวกับมันต้องการจะหาว่าสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดนั้นเป็นความจริงหรือไม่ จากนั้น หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาดังกล่าวก็มองไปรอบ ๆ “กับพวกเจ้าน่ะหรือ?”

“ใช่!” ฉินเย่และอาร์ทิสเอ่ยออกมาพร้อมกันอย่างไม่ยอมแพ้

ฝ่ายตรงข้ามเงียบไปอีกครั้ง

ทุกวินาทีแห่งความเงียบแสดงถึงการไตร่ตรองอย่างละเอียดถี่ถ้วน และผลลัพธ์จากการไตร่ตรองก็จะเป็นตัวบ่งบอกว่ากองกำลังทหารร้อยล้านภายใต้คำสั่งของแทนาทอสจะเคลื่อนไหวหรือไม่ เวลานี้ทุกชาติต่างกำลังพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อทดสอบอำนาจของยมโลกของจีน และพวกเขาก็พร้อมที่จะพุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายทันทีที่พบสิ่งผิดปกติ เพราะสุดท้ายแล้ว พวกเขาจะยอมปล่อย…ชิ้นเนื้อก้อนใหญ่ที่มีวิญญาณนับพันล้านตนไปได้อย่างไร?

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง แทนาทอสก็แย้มยิ้มและเอ่ยว่า “พวกเราทั้งหมดอาจจะประเมินอำนาจของยมโลกของพวกเจ้าต่ำไป”

“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็อยากจะถามว่าใต้เท้าฉินสนใจที่จะทำการค้าระหว่างประเทศหรือไม่?”

ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายขึ้นใน ขณะที่อาร์ทิสรีบหันกลับมาพูดกับเขาเสียงเบา “ปฏิเสธเขาซะ! การค้าขายและพวกคณะทูตจะไม่สามารถก้าวเท้าเข้ามาในแผ่นดินจีนได้โดยปราศจากคำอนุญาตจากจ้าวนรก ทันทีที่เจ้าพยักหน้าตอบรับ พวกเขาก็จะใช้คณะทูตของตนมาสืบหาความจริงเกี่ยวกับยมโลกของเราทันที!”

ฉินเย่พยักหน้าเล็กน้อยและหันกลับไปมองแทนาทอส “ท่านต้องการอะไร?”

แทนาทอสหัวเราะออกมาดังสนั่น “ง่ายมาก…เปิดพรมแดนของจีนบริเวณยอดเขาขันเต็งรีเป็นเวลาหนึ่งปี พวกเราจะสร้างเมืองวิญญาณที่สามารถรองรับวิญญาณได้ทั้งสิ้นหมื่นตนขึ้นมา…หากตกลง คณะผู้แทนของข้าจะสามารถเดินทางไปที่จีนเพื่อหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้ภายในหนึ่งเดือน ไม่ทราบว่าใต้เท้าฉินสนใจหรือไม่?”

“ข้าขอปฏิเสธ” ฉินเย่เอ่ยพร้อมแย้มยิ้มบาง

“หืม?” ราวกับเขาไม่ได้สนใจมันสักนิด แทนาทอสหัวเราะเบา ๆ “เพราะเหตุใดกันล่ะ?”

ฉินเย่เองก็ตอบออกไปโดยไม่เสียจังหวะ “ไม่มีเหตุผลที่เฉพาะเจาะจง แผ่นดินจีนของเรายังไม่ต้องการมันในตอนนี้ หากท่านไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ข้าคงต้องขอเรียนเชิญให้ท่านกลับที่พำนักของตนเอง….”

“ฮ่า ๆๆๆ…” แทนาทอสไม่ได้เอ่ยอะไรอีก จากนั้นขณะที่ร่างมายาในอากาศค่อย ๆ จางหายไป เขาก็เอ่ยประโยคทิ้งท้ายว่า “กู่ชิงคือวิญญาณที่ข้าต้องการแย่งชิงมาให้ได้ ผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้…เคยถูกยมโลกของเจ้าแย่งชิงไปจากเราหลายต่อหลายครั้ง มันถึงเวลาที่พวกเจ้าจะต้องจ่ายหนี้พร้อมดอกเบี้ยคืนมาเสียที…ครั้งนี้เจ้าอาจจะสามารถรักษาดวงวิญญาณของเขาไว้ได้…แต่ข้าก็หวังว่าพวกเจ้าจะสามารถรักษาเขาไว้ในยมโลกได้ตลอดไปนะ…”

“การประชุมสภาโลกใต้พิภพระดับโลกจะถูกจัดขึ้นในอีกร้อยปีนับจากนี้ ข้าหวังว่าจะได้พบกับใต้เท้าฉินที่นั่น….”

ฟึ่บ…เมื่อเขาหายไป แรกกดดันที่ปกคลุมนรกอยู่ก็สลายหายไป ราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“ให้ตายเถอะ…” มันเป็นตอนนั้นเองที่แข้งขาของฉินเย่อ่อนแรงและแทบจะทรุดลงกับพื้น โชคดีที่ตอนนี้มีวิญญาณจำนวนมากอยู่ด้วย เขาถึงสามารถยืนขาแข็งได้อย่างมั่นคง

ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไรออกมาสักคำ เนิ่นนานกว่าวิญญาณทั้งหมดลุกขึ้นยืนอีกครั้งและเริ่มพูดคุยกันเบา ๆ ฉินเย่หลับตาลง ปาดเหงื่อบนหน้าผากของตัวเองพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นเขาก็เลื่อนมือมาทาบอกและมองไปที่อาร์ทิสอีกครั้ง “การประชุมสภาโลกใต้พิภพระดับโลก? มันคืออะไร? ท่านช่วยอธิบายทีได้หรือไม่?”

อาร์ทิสมองดูหลุมบนท้องฟ้าที่ค่อย ๆ จางหายไป และแววตาของนางก็ซับซ้อนขึ้นอย่างไม่สามารถอธิบายได้ “เจ้าคงจะพอเดาได้แล้วจากชื่อของมัน แล้วจุดประสงค์ของคำถามนี้มันคืออะไรกัน?”

ฉินเย่ขมวดคิ้วจนหัวคิ้วแทบจะชนกัน และวินาทีต่อมาเขาก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนและหัวเราะอย่างขมขื่น “นี่มันอะไรกัน….”

ใช่แล้ว เขาพอจะเดาออกแล้วว่ามันคืออะไร และเขาก็เพียงแค่อยากได้การยืนยันจากอาร์ทิสเท่านั้น แต่อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างไร้ความปรานี

นี่คือโลก

นี่คือตำนาน เทพเจ้า ยมโลก และความตาย

เช่นเดียวกับส่วนอื่น ๆ ของโลก ยมโลกเองก็มีอาณาเขตและผู้ใต้บังคับบัญชาของตัวเอง และเช่นเดียวกับส่วนอื่น ๆ ของแดนมนุษย์อีกเช่นกัน แต่ละยมโลกล้วนมีผลประโยชน์และการแลกเปลี่ยนของตัวเอง

และเช่นเดียวกันกับที่องค์กรระหว่างประเทศ อย่างองค์การสหประชาชาติได้จัดการประชุมในแดนมนุษย์ รวมถึงวันทรัพย์สินทางปัญญาโลก หรือการประชุมวิชาการเกี่ยวกับภาวะโลกร้อน หรือรางวัลโนเบลและอื่น ๆ ยมโลกเองก็เช่นกัน

ในเมื่อมันมีอาณาเขตระหว่างยมโลก สิ่งแบบนี้ก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

“ตัวอย่าง…” เขาเลื่อนสายตาไปยังท้องฟ้าที่อยู่ห่างออกไป

“ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเทพเจ้าบางองค์ได้หายสาบสูญไป อาณาเขตของพวกเขาก็จะกลายเป็นดินแดนที่ไม่มีเจ้าของ และกรรมสิทธิ์ในที่ดินแดนพวกนี้ก็เปลี่ยนมือไปทุกสิบปี เมื่อใดก็ตามที่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น จ้าวนรกและตัวแทนของพวกเขาก็จะมาพบกันเพื่อหารือและแสดงให้เห็นถึงเกียรติภูมิของชาติตนเอง และสำหรับตัวอย่างเพิ่มเติม มันยังมีการหารือเกี่ยวกับวิวัฒนาการของวิญญาณ หรือเส้นทางการค้าขายระหว่างยมโลกและแดนมนุษย์อีกด้วย…แทบจะทุกอย่างที่เจ้าสามารถนึกได้ เมื่อใดก็ตามที่มีอะไรเช่นนี้เกิดขึ้น เจ้าสามารถคาดการณ์ได้เลยว่า มันจะต้องมีการอภิปรายระหว่างคณะผู้แทนจากยมโลกแต่ละแห่งแน่นอน”

“จากนั้น มันก็ยังมีรางวัลตลอดกาลสำหรับสาขาวรรณกรรม ภาพยนตร์ โทรทัศน์ ผู้ประกอบการ และอื่น ๆ…”

ฉินเย่ยกมือขึ้นเป็นเชิงห้ามไม่ให้อีกฝ่ายพูดต่อ จิตใจของเขามันแทบจะพังทลายลงมาอยู่แล้ว และมุมปากของเขาก็กระตุกอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ก่อนจะเอ่ยแทรกขึ้นว่า “เหตุใดข้าถึงไม่ได้รับการแจ้งเตือนใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มาก่อน? อย่างน้อยมันก็ควรจะมีการติดต่ออย่างเป็นทางการกับยมโลกอื่น ๆ ด้วยไม่ใช่หรือ?”

“แล้วเจ้ามีกระทรวงการต่างประเทศอย่างนั้นหรือ?” อาร์ทิสถามกลับไปด้วยประโยคสั้น ๆ “มีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากที่การติดต่อทั้งหมดจะถูกส่งโดยนกกางเขนและพวกเขาก็ส่งมันไปที่กระทรวงต่างประเทศของยมโลกแห่งเก่า…พวกเราจะต้องกลับไปที่นั่นและดูมันหากมีเวลา หากไม่ใช่เพราะเรื่องของกู่ชิง ข้าเองก็คงจะลืมเรื่องพวกนี้ไปแล้วเช่นกัน หรือต่อให้เจ้าจะไม่ไปเข้าร่วม อย่างน้อยเจ้าก็ควรจะให้คำตอบกับพวกเขาไป”

“แล้วถ้าเราไม่ตอบล่ะ?” ฉินเย่ถามออกไปเสียงดัง

อาร์ทิสเหล่ตามองอีกฝ่าย “ถ้าเช่นนั้นมันก็แสดงให้เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องเกิดขึ้นกับยมโลก ไม่เช่นนั้นมันก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่ตอบจดหมายพวกนี้…หรือเจ้ากำลังจะบอกว่าเจ้าต้องการให้การรุกรานยมโลกเกิดขึ้นเร็วกว่าเดิม และเจ้าต้องการให้เทพเจ้าของยมโลกแห่งอื่น ๆ รู้ว่ายมโลกของเรา ไม่มีแม้แต่เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเรื่องเหล่านี้หรือ?”

ข้าเดาว่าทั้งหมดที่ท่านพูดมานี้เป็นส่วนหนึ่งของ ‘ตัวอย่าง’ ที่ต้องพิจารณาสินะ…

ฉินเย่ถอนหายใจออกมาด้วยความหดหู่ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ เขาเป็นแค่พลเมืองตัวน้อย ๆ ที่ทำงานเพื่อเลื่อนตำแหน่งไปวัน ๆ แต่แล้วจู่ ๆ เขาก็ตกลงมายังดินแดนต่างถิ่นและกลายเป็นเจ้าเมืองเสียอย่างนั้น นี่มันเกินกว่าความสามารถที่เขาจะทำได้ไปแล้ว….

“และหากข้าจำไม่ผิด ในปีหน้าจะมีการจัดเทศกาลศิลปะระดับชาติของอาร์โกสขึ้น มันเป็นโอกาสที่ดีสำหรับยมโลกใหญ่ ๆ ที่จะได้แสดงจุดแข็งของตนเอง ผู้อ่อนแอไม่สามารถเข้าร่วมได้ หากเจ้าต้องการให้ยมโลกอื่น ๆ เลิกคิดร้ายกับเรา เจ้าก็ต้องแข็งแกร่งขึ้น”

ฉินเย่พยักหน้ารับทราบ

เทศกาลศิลปะไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับเรื่องความแข็งแกร่งไม่ใช่หรือ?

ผิดแล้ว

มีเพียงวิญญาณที่มีการเป็นอยู่ที่ดีและแข็งแกร่งเท่านั้น จึงจะมีการให้ความสำคัญกับศิลปะ แล้วในสถานการณ์เช่นนี้ ฉินเย่จะสามารถทำให้ประชากรของเขาสนใจในเรื่องศิลปะได้อย่างไร?

ตอนนี้ฉินเย่กำลังอยากจะมอบลูกเตะลงโทษ ผู้สนับสนุนเทศกาลเช่นนี้ในเวลาที่นรกเขายังไม่มั่นคงยิ่งแบบนี้เสียจริง

ตอนนี้ยมโลกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ จนเขาแทบจะขายตูดของตัวเองเพื่อหาเงินอยู่แล้ว แต่เทพเจ้าประตูผีพวกนี้กลับมาพูดถึงเรื่องศิลปะเนี่ยนะ?!

ยมโลกไม่มีสิทธิ์ที่จะขึ้นไปยืนบนเวทีโลกได้ หากเขายังไม่แม้แต่จะจัดการเรื่องในยมโลกตัวเองได้ อาร์ทิสเดินนำฉินเย่ไปที่จุดกึ่งกลางของศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณและเอ่ยต่อ

“สำหรับกิจกรรมพวกนี้ เจ้าสามารถปฏิเสธได้ แต่การเข้าร่วมเองก็มีข้อดีไม่แพ้กัน เพราะสุดท้ายแล้ว มันก็ไม่ใช่ว่าจ้าวนรกจะต้องเป็นผู้ไปเข้าร่วมเทศกาลเหล่านี้ด้วยตนเอง และพวกเขาก็ไม่รู้จักเจ้า ในฐานะของว่าที่จ้าวนรกองค์ต่อไปของยมโลกด้วย…และหลังจากที่เราพูดกันมาทั้งหมด ข้าคิดว่าเจ้าคงรู้ดีแล้วว่าการก่อตั้งยมโลกขึ้นมาใหม่นั้นมีความสำคัญกับเราอย่างไร มีเส้นทางเส้นเดียวเท่านั้นให้เจ้าเดิน เจ้าสามารถถอยหลังกลับได้อีกแล้ว”

“และกู่ชิงก็คือไพ่ใบสำคัญที่สุดที่เรามีอยู่ในมือตอนนี้”

เปลวไฟนรกสลายหายไปเพียงการสะบัดมือเบา ๆ ของนาง เผยให้เห็นกู่ชิงที่บัดนี้มีสีหน้ามึนงงอย่างเห็นได้ชัด “กู่ชิงอาจจะไม่ได้เป็นนักออกแบบวางแผนที่เก่งที่สุดในแผ่นดินจีน และคนคนหนึ่งก็ไม่สามารถได้รับความประสบผลสำหรับ เท่ากับการที่ทุกคนลงมือทำด้วยกัน แต่เขาก็ยังคงเป็นเสาหลักที่เรามีและต้องการตอนนี้”

“ความพยายามของเราที่แย่งชิงเขากลับมาจากพวกยมทูตนอกอาณาเขตจะต้องไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน” เมื่อเอ่ยจบ นางก็โค้งคำนับอย่างนุ่มนวลและใช้น้ำเสียงที่จริงใจที่สุดในการเรียกกู่ชิง “ยินดีต้อนรับสู่ยมโลก”

“ผู้อาวุโสกู่” ฉินเย่ถอนหายใจออกมาและประสานกำปั้นกับฝ่ามือ ก่อนที่โค้งให้อีกฝ่ายเล็กน้อย “ตอนนี้ยมโลกยังขาดแคลนอะไรอีกหลาย ๆ อย่าง กรุณาอย่างถือสาเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนหน้านี้เลย”

การก่อสร้างยมโลกขึ้นมาใหม่นั้นเป็นโครงการที่ใหญ่โตมาก และมันก็ยังไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นใด สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือการจัดหาที่พักพิงที่มั่นคงให้กับทุกคน

แต่การปรากฏตัวของกู่ชิง เหมือนเป็นตัวแทนของเสาหลักที่ตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางเศษก้อนอิฐที่วางเรียงรายอยู่รอบ ๆ

เขาคือชายชราหัวโล้นคนหนึ่ง

อีกฝ่ายไม่ได้สูงมากนัก น่าจะประมาณ 173 เซนติเมตร ในชุดสูททรงจีน มันเป็นชุดเดียวกันกับที่ศพของเขาสวมอยู่ ชายสูงวัยดูค่อนข้างอ้วนและให้บรรยากาศที่ดูเป็นมิตรและใจดี

เขาไม่ได้เอ่ยตอบออกมาทันที กลับกัน เขาเพียงมองไปรอบ ๆ อย่างช้า ๆ ก่อนจะหันกลับมาและหัวเราะอย่างขมขื่น “ผม…เดาว่าผมคงตายแล้วจริง ๆ สินะ…”

“คนเราล้วนเกิดแก่เจ็บตาย มันเป็นส่วนหนึ่งของวัฏจักรชีวิต มันไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวลหรือเสียใจ” อาร์ทิสเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่สดใสอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ขณะที่แย้มยิ้มบาง

“ผมเข้าใจ” ทันใดนั้นกู่ชิงก็แย้มยิ้ม ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง “ใช่แล้ว…ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นกฎของธรรมชาติ ผมใช้ชีวิตอยู่มานาน และได้ทำสิ่งต่าง ๆ มากมายจนไม่มีอะไรให้ต้องเสียดายแล้ว พวกท่านทั้งสองคงจะเป็น…ยมบาลใช่ไหมครับ?”

ฉินเย่เดินไปจับมือของอีกฝ่ายอย่างอบอุ่น “ข้ามีนามว่าฉินเย่ ในเมื่อท่านผู้อาวุโสเพิ่งมาถึงยมโลกและดูเหมือนว่าจะยังไม่เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น เหตุใดถึงไม่…ไปเดินเล่นกับข้าสักนิดล่ะ?”

กู่ชิงมองฉินเย่อย่างสงสัย

ทุกคนจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้หลังจากพวกเขาตายอย่างนั้นหรือ? นรกสุภาพขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน? เรารู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นได้ชัดว่าเหล่าวิญญาณที่อยู่รอบ ๆ ไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะเข้าใกล้ยมบาลสองตนตรงหน้าเขาได้เลยสักนิด พวกเขาทั้งหมดต่างมองฉินเย่ด้วยแววตาหวาดกลัวและยำเกรง

แต่เขารู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถปฏิเสธได้

“เชิญ” ฉินเย่ผายมือเชิญแล้วจึงเดินนำออกไป กู่ชิงที่เห็นเช่นนั้นจึงเดินตามไปอย่างติด ๆ มองดูดินแดนวิญญาณด้วยความสนใจ

ศาลาเหนี่ยวรั้งวิญญาณและประตูนรก คือสิ่งก่อสร้างเพียงสองอย่างที่มีให้เห็น ในขณะที่พื้นที่ส่วนที่เหลืออื่น ๆ ดูไม่ต่างอะไรกับถิ่นทุรกันดาร

ชายสูงวัยมองไปรอบ ๆ อย่างสนใจประมาณสิบนาทีแรก เขาอยากรู้เกี่ยวกับภูเขาและแม่น้ำ พืชและสัตว์ รวมไปถึงสภาพอากาศที่แตกต่างไปจากแดนมนุษย์อย่างสิ้นเชิง แต่เพียงไม่นานเขาก็ต้องขมวดคิ้วยุ่ง

คน

มีคนเต็มไปหมด…ไม่สิ มีวิญญาณอยู่ทั่วทุกที่

และพวกเขาก็กำลังนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ ไม่พูดคุยกันก็พักผ่อน…ยมโลกดูเกียจคร้านและน่าเบื่อหน่าย ไม่ว่าเขาจะมองไปทางไหนก็ตาม และมันก็ค่อนข้าง…เรียบง่าย

นี่ใช่นรกจริง ๆ หรือ?

“ผู้อาวุโส” หลังจากเดินไปประมาณสิบนาที ฉินเย่ก็แย้มยิ้มและเอ่ยขึ้น “ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับความสำเร็จของท่านในแดนมนุษย์มามาก ท่านได้มีส่วนร่วมในโครงการก่อสร้างเมืองในแอฟริกาใช่หรือไม่? ข้าอยากทราบว่าการวางผังเมืองนั้นมีส่วนร่วมในระดับใด?”

ร่องรอยแห่งความทรงจำปรากฏขึ้นในส่วนลึกของแววตาของชายสูงวัย เขาแย้มยิ้มกว้างทันที “มันไม่ใช่เมืองใหญ่ มีพื้นที่เทียบเท่าเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่งในจีนเท่านั้น แกมบิค (Gambik) ผมเกรงว่าจะมีผู้คนไม่มากที่รู้จักชื่อนี้“

“ช่วยอธิบายให้ละเอียดกว่านี้ได้หรือไม่?”

กู่ชิงพยายามเรียบเรียงลำดับความคิดของตนเองก่อนจะอธิบายว่า “ในครั้งแรกที่ผมไปถึง มันเป็นเพียงดินแดนรกร้างเท่านั้น แผนกที่ 3 ของบริษัทรับเหมาก่อสร้างแห่งประเทศจีนเป็นเพียงแผนกก่อสร้างเดียวที่อยู่ที่นั่น และแผนกออกแบบก็มีเพียงผม และผู้เชี่ยวชาญอีกสองท่าน เราได้มีการพูดคุยเกี่ยวกับแผนการทั้งหมดก่อนหน้านั้นอยู่หลายครั้งในจีน จากนั้นเราถึงเริ่มลงเนื้อหาเฉพาะเจาะจงในส่วนต่าง ๆ หลังจากนั้น”

อาจเป็นเพราะกำลังพูดเกี่ยวกับหน้าที่การงานของตนเอง เขาจึงพูดกล้าพูดมากกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด เขาทำแม้กระทั่งเลิกคิ้วขึ้นและชี้ไปยังจุดต่าง ๆ ของยมโลก

“อย่างตรงจุดนี้เป็นต้น หากเราต้องการสร้างเมืองขึ้นตรงนี้ พวกเราก็ต้องพิจารณาการถึงแผนการพัฒนาในระยะยาว เช่นพื้นที่แถวนี้มีทรัพยากรธรรมชาติหรือไม่? หากไม่มี มันก็อาจจะไม่มีทางพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าการพัฒนาของเมืองจะถอยกลับไปสู่อุตสาหกรรมเบาหรือหนักเท่านั้น เมื่อเป็นอุตสาหกรรมหนัก เราก็ต้องพิจารณาอีกว่าในพื้นที่บริเวณใกล้เคียงนี้พอจะมีเหมืองแร่อยู่บ้างหรือไม่ ส่วนอุตสาหกรรมเบา มันจะขึ้นอยู่กับนโยบายของทางรัฐบาลทั้งหมด”

“ในยุคสมัยนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นพูดถึงการสร้างเมืองใหม่ขึ้นมา ซึ่งมันจะอยู่ในประเทศที่สามเป็นส่วนใหญ่ ที่ตั้งของเมืองแต่ละแห่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง การขนส่ง ทรัพยากร และกลยุทธ์คือสามตัวประกอบหลัก ในการกำหนดจุดที่จะสร้างเมือง สำหรับยมโลก ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบเรียบ และเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สถานที่ในเชิงกลยุทธ์ ส่วนเรื่องทรัพยากร…”

“สำหรับเรื่องนี้ผมเองก็ไม่แน่ใจนัก แต่ผมพอจะเห็นว่าพืชพันธุ์ที่มีให้เห็นรอบ ๆ นั้นมีอยู่เพียงชนิดเดียว ซึ่งนั่นทำให้สามารถบอกได้ว่าการหาทรัพยากรอาจจะเป็นเรื่องยาก พืชคือส่วนประกอบหลักในการสร้างระบบนิเวศใด ๆ ก็ตาม และมันก็เชื่อมโยงกับการพัฒนาของสิ่งมีชีวิตและทรัพยากรธรรมชาติอื่น ๆ โดยตรง…นอกเหนือจากนั้นผมยังไม่เห็นพื้นที่สำหรับการขนส่งเช่นกัน เห็นได้ชัดว่านี่คงจะเป็นเมืองที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่….”

ทันใดนั้นเขาก็ชะงักไป หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ชายชราก็กะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะหันไปมองฉินเย่พร้อมกับอ้าปากค้าง

ทันใดนั้นเขาพลันตระหนักได้ในที่สุด ว่าเหตุใดยมบาลตนนี้ถึงพูดจากสุภาพกับเขานัก