บทที่ 109 เหลือไว้เพียงชื่อเสียงดีงามในปฐพี

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม

ยายเย่ถอนหายใจ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของนางเต็มไปด้วยความทุกข์ใจ “เขาโหยหาความรักในครอบครัวมาตั้งแต่เล็กๆ เมื่อเห็นเด็กคนอื่นๆห้มล้อมมีความสุขกับพ่อแม่ เขาก็จะมองด้วยความอิจฉา แต่ภายหลังเขากลัวข้าเป็นห่วง เขาจึงไม่แสดงท่าทีอะไรอีก แต่ข้าก็รู้ว่าเขาต้องการพ่อแม่มากกว่าใครๆ”

“ท่านไม่ใช่ยายแท้ๆของเขาหรือ?”

“ข้าเองก็หวังว่าจะมีหลานชายแท้ๆ ดีๆ แบบนี้สักคนเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่ข้าวาสนาน้อย ลูกหลายคนล้วนตายแต่ยังเล็ก”

“เป็นท่านที่เมตตาเลี้ยงเย่เฟิงหรือ?” กู้ชูหน่วนถามอย่างระมัดระวัง

ยายเย่แสดงความเจ็บปวดออกมาอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนนางจะไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้มากไปกว่านี้ นางเพียงพูดเรียบๆๆ ว่า “ถือว่าใช่กระมัง ข้าแค่เคยให้หมั่นโถวกับเขา เด็กคนนี้รู้จักสำนึกในบุญคุณมาก หลายปีมานี้ดูแลข้าเป็นอย่างดี เพื่อข้าแล้ว พูดได้เลยว่าเขาลำบากมาก”

“ขอข้าเข้าไปดูบ้านหน่อยได้หรือไม่?”

“ได้แน่นอน”

ยายเย่อยากพานางเข้าไป กู้ชูหน่วนรีบประคองนางนั่ง “ตาของท่านไม่ค่อยดี ขาของท่านก็ไม่ค่อยดี ข้าเข้าไปเองดีกว่า”

“แคกๆ…สาเหตุหลักคือบ้านเล็กเกินไป หลังคาก็เตี้ยไปหน่อย ข้าเกรงว่าแม่นางจะชนถูกหลังคา”

“ข้าระวังหน่อยก็ได้แล้ว”

บ้านซอมซ่อ มีเพียงสองห้อง ยายเย่อาศัยอยู่ในห้องชั้นใน เตียงถูกคลุมด้วยฟาง ผ้าห่มหนาๆถูกคลุมไว้ และเพิ่มผ้านวมผืนบางวางด้านบน

ห้องด้านนอกมีเตียงไม้ ไม่มีที่นอน มีฟางแห้งเพียงไม่กี่ชั้นและเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งเป็นผ้านวม

เนื่องจากห้องด้านนอกเชื่อมต่อกับห้องครัว ดังนั้นดูแล้วยิ่งซอมซ่อกว่าเดิม พอเข้าไปในบ้านก็มีกลิ่นฉุนของยาจีนโบราณ

“กลิ่นยาแรงไปหน่อย เดี๋ยวข้าเก็บกวาดให้”

“ไม่เป็นไร ครอบครัวของข้าเคยทำโรงหมอ ข้าเองก็ชินกับกลิ่นของยามาตั้งนานแล้ว กลิ่นยาแค่นี่ไม่เป็นไรเลย”

นอกจากนี้ยังมีโต๊ะขนาดเล็กและเก็าอี้เล็กๆ สองตัวด้านนอก ซึ่งเช็ดทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว บนโต๊ะมีพู่กัน หมึก กระดาษ และหินฝนหมึก

กู้ชูหน่วนหยิบกระดาษแผ่นเล็กๆขึ้นมา มีคำสองบรรทัดที่เขียนด้วยตัวอักษรบรรจง

“แม้นกระดูกจะแหลกเหลวเป็นผุยผงก็มิหวั่น เหลือไว้เพียงชื่อเสียงดีงามในปฐพี”

กู้ชูหน่วนขมวดคิ้ว ไตร่ตรองความหมายสองประโยคที่เย่เฟิงเขียน

“ท่านยาย เย่เฟิงเป็นอันดับสองในงานชุมนุมแข่งขันบุ๋น ไม่ใช่ว่าฮ่องเต้ได้ให้สมบัติล้ำค่ามากมายหรอกหรือ ทำไมท่านถึงยังใช้ชีวิตอย่างยากลำบากเช่นนี้?”

ยายเย่ก็มศีรษะลง ไม่รู้ว่านางคิดอะไร ร่างกายของนางสั่นเล็กน้อย ใบหน้าของนางซีดไปเป็นเวลานาน แล้วนางก็ฝืนยิ้ม

“ข้าผิดเองที่ร่างกายอ่อนแอมีโรคมาก เงินทั้งหมดถูกใช้เพื่อรักษาข้า”

กู้ชูหน่วนมองดูนางอย่างสงสัย

คำโป้ปดนี้ จะแต่งได้พอดีเกินไปกระมัง?

เงินทองและของล้ำค่ามากมายขนาดนั้น ถึงจะไปหาหมอมามากมายขนาดไหน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้หมดในเวลาสั้นขนาดนี้

“แม่นาง ยังเช้าอยู่ ข้าจะไปต้มโจ๊กสักหน่อย ถ้าเจ้าไม่รังเกียจก็กินข้าวที่บ้านข้าเถอะ”

“ขอบคุณท่านยาย ข้ากินมาเรียบร้อยแล้ว ท่านไม่ต้องลำบาก จริงสิ ข้าซื้อเสื้อผ้าของกินมาให้ท่านนิดหน่อย หวังว่าท่านยายจะไม่รังเกียจ”

“ไม่ได้ๆ ไม่มีผลงานไม่รับรางวัล ข้าจะรับของจากเจ้าได้อย่างไรกัน”

“ข้ากับเย่เฟิงเป็นสหายกัน นี่เป็นแค่น้ำใจเล็กๆน้อยๆระหว่างสหายเท่านั้น ไม่นับเป็นเงินมากมายอะไร”

“แคกๆ…อย่างนั้นก็ไม่ได้ วันหลังแม่นางมาบ้านข้าได้บ่อยๆเลยนะ แต่สิ่งของเหล่านี้พวกเรารับไว้ไม่ได้จริงๆ ถ้าเสี่ยวเฟิงอยู่ที่นี่ เขาก็คงไม่สามารถรับไว้ได้เหมือนกัน”

ไม่รู้ว่าเถ้าแก่แผงลอยมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อเห็นแบบแล้วก็ราวกับเป็นเรื่องปกติ “แม่นาง เมื่อสักครู่ก็คิดอยากจะบอกเจ้าอยู่ ยายเย่กับเย่เฟิงน่ะไม่รับของจากใครง่ายๆหรอก เกรงว่าแม้แต่เอาหญ้าให้พวกเขาซักต้น พวกเขาก็คงไม่รับไว้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะรับไว้ พวกเขาก็จะให้กลับคืนมาเป็นร้อยเท่าพันเท่า ข้าว่าของพวกนี้น่ะ เจ้าเอากลับไปเถอะ เฮ้ออ… ”

เถ้าแก่แผงลอยพึมพำกับตัวเอง

“คิดว่ายายเย่จะเห็นแก่แขกจากแดนไกล ยอมรับไว้ซักเล็กน้อย คิดไม่ถึงเลยว่านางจะไม่รับไว้เลยสักอย่าง”

กู้ชูหน่วนพูดไม่ออก

นางพูดมาตั้งนาน สุดท้ายคือไม่รับ?

คิดถึงนิสัยของเย่เฟิง กู้ชูหน่วนก็เหมือนจะเข้าใจอะไรขึ้นมาบ้าง