กู้ชูหน่วนเงยหน้าขึ้น ในระยะไกลมีกระท่อมมุงจากที่ทรุดโทรมปรากฏสู่สายตา

กระท่อมมุงจากนั้นเรียบง่ายมาก มีเพียงสองห้องเล็ก ๆ แถมยังโย้เย้ ทำให้คนเห็นอดกังวลไม่ได้ว่าจะพังลงมาหรือไม่

ลานหน้ากระท่อมค่อนข้างใหญ่ มีสมุนไพรและผักดองมากมายอยู่กลางแดด

ดวงตาของกู้ชูหน่วนถูกดึงดูดโดยหญิงชรา

นั่นคือหญิงชราที่คงจะมีอายุเกินหกสิบปี แต่งตัวเรียบง่าย มีรอยปุปะไม่น้อย แต่เสื้อผ้าก็สักอย่างขาว สะอาด

นางกำลังซ่อมเสื้อผ้า แต่ดวงตาทั้งคู่ของนางดูเหมือนจะมีปัญหา จึงทำได้เพียงใช้มือสัมผัสและเย็บไปตามความรู้สึก ปิดปากไอเป็นครั้งคราว

“หญิงแก่คนนั้นคือยายของเย่เฟิง”

“ขอบคุณท่านอา”

“เอาล่ะ เจ้าไปเองเถอะ ข้าจะอยู่บนไร่ที่นี่ มีเรื่องอะไรก็เรียกข้า”

คำพูดของเถ้าแก่แผงลอยนั้นอ้อมค้อม แต่กู้ชูหน่วนฟังออกว่าเขายังไม่วางใจ ดังนั้นเขาจึงเฝ้าจับตานางอยู่อีกทาง เตือนนางว่าอย่าทำอะไรกับยายของเย่เฟิง

กู้ชูหน่วนส่ายหัวอย่างตลกขบขัน

มนุษยสัมพันธ์ของตาหน้ามุ่ย เย่เฟิงดีขนาดไหนกัน?

“ท่านยาย สวัสดี ข้าเป็นสหายร่วมชั้นของเย่เฟิงชื่อกู้ชูหน่วน ได้ยินเขาพูดถึงท่าน ข้าเลยมาเยี่ยมท่าน”

ทันทีที่กู้ชูหน่วนเข้ามาใกล้ เมื่อยายเย่สัมผัสถึงนาง นางคลำหาแล้วยืนขึ้น ครั้นได้ยินคำพูดของกู้ชูหน่วนแล้วก็เหมือนจะตกใจเล็กน้อย

“เจ้าเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเสี่ยวเฟิง?เขายังเคยพูดถึงข้ากับเจ้าด้วย?”

“ใช่แล้ว พวกเราเข้าร่วมงานชุมนุมแข่งขันบุ๋นด้วยกัน จากนั้นก็เขาก็เข้าเรียนที่ราชวิทยาลัย เขาไม่เพียงแค่เป็นสหายร่วมชั้นของข้า เขายังเป็นสหายที่นั่งโต๊ะติดกับข้าด้วย ท่านว่าพวกเรามีวาสนาต่อกันมากใช่หรือไม่?” กู้ชูหน่วนยิ้ม

“แม่นางรีบนั่งก่อน บ้านของพวกเราออกจะซอมซ่อสักหน่อย แม่นางอย่าได้เกรงใจ”

ยายเย่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แล้วใช้แขนเสื้อเช็ดม้านั่ง ต้อนรับกู้ชู

หน่วนอย่างอบอุ่น แล้วคลำทางเพื่อไปเทน้ำมาให้นางดื่ม อดใจรอไม่ไหวที่จะนำสิ่งที่ดีที่สุดออกมาจากบ้าน

“บ้านของพวกเรานั้นยากจน แม้แต่ใบชาก็ไม่มี ทำได้เพียงให้แม่นางดื่มน้ำเปล่าแล้ว”

“ท่านยายไม่ต้องลำบาก ข้ามาเยี่ยมท่าน พูดคุยกับท่านเท่านั้น สักพักก็จะไปแล้ว”

กู้ชูหน่วนช่วยพยุงนางนั่งลง จะปล่อยให้นางต้อนรับต่อไปได้อย่างไร?

ขณะที่ช่วยพยุงนาง กู้ชูหน่วนก็จับชีพจรบนข้อมือของนาง

ยายเย่ถูกพิษประหลาด และยังมีปนอยู่ด้วยกันหลายอย่าง หนึ่งในนั้นยังมีพิษหวั่นมัจจุราช

ในใจกู้ชูหน่วนเกิดคลื่นซัดโหมขึ้นมาทันที

พิษหวั่นมัจจุราชไม่ถึงตาย แต่จะกำเริบทุกเจ็ดวัน เมื่อกำเริบขึ้นมาก็จะเหมือนตายทั้งเป็นมัจจุราชยังต้องหวาดกลัว ดังนั้นจึงได้ชื่อว่าพิษหวั่นมัจจุราช

สิ่งที่แย่ที่สุดคือ พิษนี้ไม่มีทางรักษา

แม้แต่นางเอง ก็ยังยากที่จะปรุงยา ขึ้นมาได้

ใครกันอำมหิตได้ถึงเพียงนี้ วางยาพิษร้ายแรงกับหญิงชราที่ตาบอดได้ลง?

เมื่อได้ยินว่านางเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเย่เฟิง ยายเย่ก็มีความสุขมากและพูดคุยมากขึ้น

“เย่เฟิงของพวกเราเป็นคนเก็บตัว และอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด ข้าคิดว่าเขาเข้าวิทยาลัยแล้วจะไม่มีสหาย คิดไม่ถึงเลยว่าแม่นางจะไม่รังเกียจเขา”

“ท่านยายพูดตลกแล้ว แม้ว่าเย่เฟิงจะไม่ค่อยพูด แต่เขาก็ใจดีและมีทักษะด้านวรรณกรรม หลายคนในวิทยาลัยก็ชอบเขา”

ยายเย่รู้สึกดีใจมาก นางจับมือกู้ชุหน่วนอย่างตื่นเต้น “จริงหรือ?คนในวิทยาลัยยอมรับเย่เฟิงจริงหรือ?”

มือของนางหยาบกร้าน เต็มไปด้วยตาปลา มองดูก็รู้ได้เลยว่า ตอนอายุน้อยนั้นนางทำงานมาไม่น้อยเลย สำหรับความสัมพันธ์ของเย่เฟิง ก็มาจากหัวใจเช่นกัน

“แน่นอน ทุกคนดีกับเขามาก เพียงแต่เขาไม่ชอบเข้าหาคนอื่น”

กู้ชูหน่วนพบว่าดวงตาของยายเย่กลวงหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือดวงตาของนางไม่มีลูกตา

ดูท่าว่าจะเหมือนกับที่เถ้าแก่ร้านแผงลอยพูด ดวงตาของนางถูกใครบางคนควักออกมา

“ถ้าวันหลังเย่เฟิงล่วงเกินพวกเจ้า ก็ขอให้พวกเจ้าอดทนกับเขาหน่อยนะ เด็กคนนี้พูดไม่เก่ง แต่จิตใจของเขาดีจริงๆ”

“แน่นอนอยู่แล้ว จริงด้วย พ่อแม่ของเย่เฟิงล่ะ ทำไมไม่เคยเห็นพวกเขาเลย เย่เฟิงเองก็ไม่เคยพูดถึงด้วย”

อยู่ๆยายเย่ก็ปล่อยมือ สีหน้ามีความสุขเมื่อครู่ก็จางหายไป “เด็กคนนี้โชคไม่ดี ตั้งแต่เด็กก็ไม่มีพ่อแม่”

“เขาเป็นเด็กกำพร้า?”

“ใช่แล้ว แต่ว่าเขาก็เฝ้าตามหาพ่อแม่แท้ๆมาตลอด”