หน้าอกของเยี่ยจิ่งหานกระเพื่อมขึ้นลง

ความหมองคล้ำใต้ตาของนางเกิดจากการที่นางวอนหาที่ตายทั้งคืนมิใช่หรือ

ถ้าวันนี้เข้าไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา มีหรือที่ผู้หญิงคนนี้จะให้ยาสิบเม็ดนี้แก่เขา

“กู้ชูหน่วน!”

“ก็อยู่นี่ไง ข้าไม่ได้หูหนวก ท่านไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนั้นก็ได้ ท่านอ๋องลองคิดดูสิ ถ้าข้ากล้าล้อเล่นกับท่านจริงๆ เหตุใดข้าต้องมอบยาทั้งสิบเม็ดให้ท่านง่ายๆ ด้วย ข้าแค่ซ่อนเอาไว้ไม่ยอมเอาออกมา ปล่อยให้ท่านถูกสัตว์มีพิษกัดจนพรุนไปเลยไม่ดีกว่าหรือ”

เยี่ยจิ่งหานยิ้มเยาะ “เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณเจ้างั้นสิ”

“หามิได้ เราก็คนกันเองทั้งนั้น ขอเพียงท่านไม่มารบกวนข้าตลอดทั้งวันก็เป็นพอ”

พรึ่บ

เจี้ยงเสวี่ยไม่รู้ว่ามาจากไหน อยู่ๆ เขาก็นำชุดแต่งงานสีแดงฉูดฉาดมาวางลงตรงหน้ากู้ชูหน่วน

ชุดแต่งงานชุดนี้ ไม่ว่าจะเป็นฝีมือการตัดเย็บหรือวัสดุที่ใช้ล้วนเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่สุด บนชุดมีลายรูปหงส์ที่ดูสมจริงปักเอาไว้ ราวกับว่าหงส์ตัวนี้กำลังกางปีกโบยบิน เมื่อลองสัมผัสดูจึงพบว่าเนื้อผ้าอ่อนนุ่มเหมือนหนวดปลาหมึก เป็นชุดแบบที่ผู้หญิงจะชอบมากจนวางไม่ลง

ทว่ากู้ชูหน่วนกลับตกตะลึง

นางชี้ไปที่ชุดแต่งงาน “นี่มันอะไร”

“หืม คุณหนูสามลืมไปแล้วหรือ ว่าอีกเพียงแค่เจ็ดวันก็จะถึงวันมงคลของเรา เครื่องยศอย่างมงกุฎหงส์และเสียเพ่ย*ก็เตรียมไว้พร้อมแล้ว รวมไปถึง… ทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการเข้าหอ”

เขาเน้นหนักตรงคำว่า ‘เข้าหอ’

เพราะเขาสวมหน้ากากผีเอาไว้จึงมองไม่เห็นอารมณ์ที่แท้จริงของเขา เห็นเพียงแค่ดวงตาที่ลึกเหมือนบึงน้ำเย็นซึ่งไร้ก้นบึ้งคู่นั้น

กู้ชูหน่วนที่สมองเลอะเลือนกลับมาได้สติอีกครั้ง

“ท่านอ๋อง ข้าหน้าตาอัปลักษณ์ ทั้งยังหลายใจไร้ศีลธรรมด้วยนะ”

“ข้าเคยบอกไปแล้วนี่ สาวอัปลักษณ์กับคนพิการ ข้าว่าก็เหมาะกันดี ส่วนความหลายใจนั่นก็ไม่เห็นเป็นไร ถ้าเจ้ากล้าหาเหาใส่หัวหาภัยใส่ตัว ชักชวนกันไปทำเรื่องที่ไม่เหมาะสมกับใคร ข้าจะฉีกอกเจ้าดูสิว่าแท้จริงแล้วเจ้ามีหลายใจจริงหรือไม่”

กู้ชูหน่วนหัวเราะหึหึ

ดูเหมือนนางจะต้องรีบหาหญ้านรกให้เจอและช่วยล้างมลทินให้เยี่ยเฟิงให้ได้ จากนั้นค่อยหนีออกไปจากรัฐเยี่ย

คนของเยี่ยจิ่งหานเริ่มเข้ามาจัดระเบียบเรือนอุสุม ทั้งยังย้ายเครื่องลายคราม แจกันและข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันจำนวนมากเข้ามา

กู้ชูหน่วนรีบเข้าไปขวางไว้ “เยี่ยจิ่งหาน ท่านกำลังทำอะไรน่ะ”

“ในเมื่อพระชายาไม่ยอมกลับไปอยู่ที่จวนหานอ๋อง ข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องย้ายมาอยู่ที่เรือนอุสุม”

กู้ชูหน่วนเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ที่เรือนอุสุมไม่มีที่ให้พระพุทธรูปอย่างท่านอยู่หรอกนะ”

“ทหาร ขับไล่เยี่ยเฟิงไปที่สำนักศึกษาวังหลวง”

“ท่านมาเพื่อหาเรื่องจับผิดงั้นสิ”

เยี่ยจิ่งหานหมุนแหวนหยกที่นิ้วหัวแม่มืออย่างมีความหมาย ท่าทางที่เกียจคร้านของเขานั้นเพียงพอแล้วที่จะอธิบายทุกสิ่งทุกอย่าง

กู้ชูหน่วนนวดขมับที่ปวดตุบๆ และชี้ไปทางเรือนตะวันตก “ไปหาที่เอาเองแล้วกัน”

“ไม่เจียมตัว ด้วยฐานะของนายท่าน นายท่านจะไปอยู่ที่เรือนตะวันตกได้อย่างไร” ชิงเฟิงกล่าว

เพียะ!

กู้ชูหน่วนเงื้อมือขึ้นและตบหน้าชิงเฟิงอย่างแรง นางย่างสามขุมเข้าไปหาด้วยใบหน้าที่เยียบเย็น

“ใครกันแน่ที่ไม่เจียมตัว เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าเป็นแค่สุนัขรับใช้ของเยี่ยจิ่งหาน แต่ข้าคือผู้ที่จะเป็นพระชายาหานในวันข้างหน้า เป็นผู้นำในการชุมนุมแข่งขันวิชาการ ทั้งยังเป็นธิดาขององค์หญิงจาวหยางผู้ล่วงลับ เจ้ากล้าดีอย่างไรจึงมาตะโกนใส่หน้าข้า”

ชิงเฟิงถูกตบจนมึนงง

เขาเป็นองครักษ์ข้างกายของนายท่าน

มีใครที่ไหนกล้าดูหมิ่นเขา

แต่กู้ชูหน่วนกลับเงื้อมือขึ้นตบหน้าเขาต่อหน้าทุกคน

เจี้ยงเสวี่ยโกรธจัด

ที่กู้ชูหน่วนตบ แท้จริงแล้วคือผู้เป็นนายของเขา

ชิงเฟิงหันไปมองเยี่ยจิ่งหานอย่างคับแค้นใจ

ทว่าเยี่ยจิ่งหานกลับไม่แสดงท่าทีใดๆ เขาเพียงแค่ชี้ไปที่หอสดับพิรุณซึ่งอยู่ที่เรือนหลัก

“ข้าจะพักที่ห้องนั้น”

“นั่นเป็นห้องส่วนตัวที่ข้าเลือกไว้แล้ว”

“เช่นนั้นก็ยิ่งดี มันพิสูจน์ให้เห็นว่าเราใจตรงกัน ต่อไปถ้าทำเป็นห้องวิวาห์ของเราก็คงไม่เลวเหมือนกัน”

“…..”

เยี่ยจิ่งหานโบกมือส่งสัญญาณ จากนั้นคนของเขาจึงเข็นรถเข็นพาเขาเข้าไปที่หอสดับพิรุณทันที

**เสียเพ่ย คือเครื่องประดับอย่างอื่นที่ใช้สำหรับบอกยศ