ก่อนจากไปคำพูดอันเบาหวิวของเยี่ยจิ่งหานก็ยังส่งผ่านออกมา

“ใช่แล้ว แม้ว่าข้าจะเป็นคนใจกว้างแต่หากว่าพระชายาเข้าใกล้เซี่ยวอวี่เซวียนและเยี่ยเฟิงมากเกินไป ข้าก็ไม่สามารถรับปากได้ว่าจะไม่เกิดเรื่องราวขึั้นกับพวกเขาสองคนสักเล็กน้อย”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ความโกรธของกู้ชูหน่วนก็สลายไปแล้ว นางเอียงพิงเสาหินศาลาพักร้อนโดยที่มือทั้งสองกอดหน้าอกอยู่และจ้องมองดูเขาอย่างสงบนิ่งสบายๆพร้อมกับรอยยิ้มยั่วยวนตรงมุมปาก

“เหตุใด นี่ท่านอ๋องหึงหรือ?”

“ช่างน่าขัน ข้าจะหึงได้เช่นไร”

“เช่นนั้นข้าจะใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้ใดแล้วเกี่ยวอะไรกับท่าน?”

“ข้าเกรงว่าชื่อเสียงของตนเองจะถูกเจ้าทำลายเสียหมด ฮึ่ม”

เมื่อเห็นเยี่ยจิ่งหานเข็นรถเข็นไปทางหอสดับพิรุณด้วยตนเองกู้ชูหน่วนก็ส่ายศีรษะด้วยความรู้สึกขบขันเล็กน้อย

ผู้ร้ายปากแข็ง

เทพแห่งสงครามก็ไม่ได้แตกต่างกัน

เงยหน้าขึ้นมองดูแสงจันทร์กระจ่างในใจของกู้ชูหน่วนก็หนักอึ้งเล็กน้อย

แม้ว่าจะรู้ว่าเยี่ยเฟิงไม่ใช่ฆาตกร แต่ก็ยังไม่มีเบาะแสของฆาตกรตัวจริงเลยแม้แต่น้อย

ผู้คนในสำนักศึกษาไม่มีทางพูดปด หลิ่วเย่ว์และอวี๋ฮุยก็ยิ่งไม่มีทางโกหก

แล้วใครเป็นผู้สังหารอาจารย์หรงหล่ะ?

หรือว่าจะมีคนที่มีลักษณะท่าทางเช่นเดียวกับเยี่ยเฟิง?

กู้ชูหน่วนปวดหัว

หากว่ามีคนที่มีลักษณะท่าทางเช่นเดียวกับเยี่ยเฟิงจริงๆ เช่นนั้นก็ต้องเริ่มสืบคดีตั้งแต่เยี่ยเฟิงกำเนิดเสียแล้ว?

แล้วนางก็ใช้น้ำชาวาดภาพไปมาอยู่บนโต๊ะและก็ยิ่งรู้สึกว่าหัวหน้าสำนักศึกษาน่าจะมีความลับบางอย่างอยู่ในตัว หรือว่าในมือของเขามีสิ่งใดอยู่จึงทำให้ฆาตกรแอบเข้าไปในห้องของหัวหน้าสำนักศึกษาครั้งแล้วครั้งเล่า

เมื่อนึกถึงลำดับขั้นตอนของการสังหารหัวหน้าสำนักศึกษาและอาจารย์หรงอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วจู่ๆกู้ชูหน่วนก็เงยหน้าขึ้นและเกิดความคิดที่แว๊บเข้ามาในสมอง

กู้ชูหน่วนก้าวไปและเดินไปถึงเรือนของเยี่ยเฟิงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ไฟของเขายังคงสว่างอยู่และแสงไฟก็ขยายเงาของเขาให้ยืดออก กู้ชูหน่วนสามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าเขากำลังเอนกายอยู่ตรงด้านหน้าของหน้าต่างและจ้องมองแสงจันทร์กระจ่างอย่างเหม่อลอย

ในขณะที่กำลังจะเตือนเขาว่าได้รับบาดเจ็บก็ให้พักผ่อนเร็วหน่อยแต่กลับเห็นเยี่ยเฟิงจู่ๆก็ดับไฟลง จากนั้นก็เปิดประตูห้องออกก้าวเท้าก้าวเล็กๆและปีนกำแพงออกไป

“ปีนกำแพงหรือ?”

กู้ชูหน่วนแตะคางพร้อมกับก้าวทีละเล็กทีละน้อยด้วยร่างกายอันผอมเพรียวตามปีนกำแพงออกไปด้วย จากนั้นก็ตามเยี่ยเฟิงไป

อีกฝั่งหนึ่งเยี่ยจิ่งหานนั่งอยู่ในที่ไม่ไกลนักพร้อมกับมองทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเขาอยู่ในสายตา

ชิงเฟิงถามว่า “นายท่าน จะตามหรือไม่?”

“ไม่จำเป็น”

เยี่ยเฟิงไม่มีสิ่งใดต้องกังวล

ร่างกายของเขาสะบักสะบอมไปหมดซึ่งไม่สามารถอยู่ได้นานนัก ทักษะด้านการแพทย์ของกู้ชูหน่วนสูงส่งเช่นนั้นคิดว่าก็ต้องรู้อยู่แล้วดังนั้นจึงได้ใช้สมุนไพรราคาแพงเช่นนั้นช่วยรักษาตัวให้เขา

เมื่อนึกถึงข้าวต้มชามนั้นหัวใจของเขาอัดอั้นเศร้าใจ

เป็นคนป่วยเช่นเดียวกันเหตุใดถึงได้ถูกปฏิบัติได้ต่างกันมากเช่นนี้?

กู้ชูหน่วนสะกดรอยตามเยี่ยเฟิงไปตลอดทางแต่ว่ากลับตามไปถึงสุสานแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสำนักศึกษาหลวง

เยี่ยเฟิงจุดธูปหอมสองสามดอกแล้วโขกศีรษะคำนับเสียงดังสามครั้งตรงหน้าสุสาน

หลุมฝังศพนี้นางรู้ว่าเป็นหลุมฝังศพของหัวหน้าสำนักศึกษา

ภายใต้แสงจันทร์เยี่ยเฟิงนั่งอยู่ข้างหลุมศพของหัวหน้าสำนักศึกษาและจ้องมองป้ายหลุมศพอันเย็นยะเยือกเป็นเวลานานโดยไม่ได้กล่าวแม้แต่คำเดียว

ยามค่ำคืนน้ำค้างแรงกู้ชูหน่วนรออยู่จนกระทั่งง่วงหงาวหาวนอน

ในขณะที่นางกำลังจะทนไม่ไหวจู่ๆเยี่ยเฟิงก็กล่าวขึ้น

“ในเมื่อมาแล้วก็ออกมาเถอะ”

กู้ชูหน่วนก้าวออกมาอย่างเปิดเผยแล้วจุดธูปให้หัวหน้าสำนักศึกษาพร้อมกับทำความเคารพ จากนั้นจึงได้นั่งลงอย่างเกียจคร้านข้างๆเยี่ยเฟิงแล้วหัวเราะกับตนเองพร้อมกับกล่าวว่า