ตอนที่ 106-2 จุลสีไหลทั่วร่าง ชนเสาหนีความผิด

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ตอนอวี้เฉิงกังเดินออกมา แล้วเห็นคนในกองกิจการภายในของตน ก็ฮึกเหิมขึ้น คล้ายเมื่อครู่ไม่เคยเกิดเรื่องอะไรมาก่อน จึงเดินเชิดหน้ายืดอก มายืนอยู่หน้าองครักษ์สองสามคน จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม แต่กลับแสดงความสงสัยทางสีหน้า

 

 

“ข้าน้อยกำลังสอบสวนคดีคุณหนูหลินที่เกิดขึ้นในโรงเตี๊ยมเมื่อเช้า ไม่ทราบว่าท่านอ๋องเสด็จมา มีธุระอะไรหรือ”

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงในตอนนี้นั่งอยู่บนเก้าอี้มีพนักทรงกลมด้านบนสุดของห้อง กำลังหมุนแหวนปานจื่อบนนิ้วไปมา น้ำเสียงยังคงนิ่งเรียบ “มีคนเสียชีวิตในโรงเตี๊ยม ทำให้ขบวนเสด็จออกเดินทางไม่ได้ เสด็จพ่อไม่วางพระทัย ข้าจึงต้องเข้ามาดูๆ หน่อย”

 

 

“ข้าน้อยบกพร่องในหน้าที่ มิได้รายงานให้ฝ่าบาททรงทราบ เนื่องจากกำลังสอบสวนคนอยู่ จึงตัดสินใจว่า จัดการเสร็จ ค่อยไปรายงาน และในที่สุด ก็ได้ตัวผู้ต้องสงสัย ซึ่งตอนที่ท่านอ๋องมาถึงนั้น ข้าน้อยก็ได้แยกผู้ต้องสงสัยออกมาเพียงลำพัง และกำลังสอบปากคำอยู่”

 

 

อวี้เฉิงกังสงบจิตสงบใจลงแล้ว จึงพูดอย่างต่อเนื่องชนิดแทบไม่หายใจและไม่กระพริบตา

 

 

“ข้าน้อยกำลังจะไปแจ้งกับนายอำเภอเมืองยงโจว โดยฝากขังคนไว้ชั่วคราวก่อน ขบวนเสด็จจะได้ออกเดินทางได้ทันที มิเช่นนั้นจะทำให้ชักช้าเสียเวลา และเสียบรรยากาศการเสด็จประพาสไปเปล่าๆ”

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงมิได้ห้ามปราม และมิได้แสดงความคิดเห็นใดๆ เพียงละสายตาไปยังหลินต้าเย่ที่ถือมีดไว้ในมือ กระพริบตาแล้วว่า

 

 

“องครักษ์หลิน ท่านกำลังทำอะไรน่ะ”

 

 

พอหลินต้าเย่ได้ยินองค์ชายสามถาม ปากก็สั่นจนฟันกระทบกัน ก่อนวางมีดลง แล้วเดินจากข้างศพน้องสาวมายังด้านหน้า โน้มตัวคุกเข่าลง พลางพูดเสียงสั่นเครือด้วยยังเจ็บปวดไม่หาย

 

 

“ท่านอ๋อง กระหม่อมได้รับแจ้งจากหัวหน้าอวี้ว่า มีคนจะผ่าท้องน้องสาว กระ…กระหม่อมถึงตายก็ไม่ยอมให้น้องที่ตายอย่างน่าอนาถถูกผ่าท้องอีก!”

 

 

เหยากวงเหย้าค้อนให้หลินต้าเย่หนึ่งตลบ ก่อนเล่าที่มาที่ไปของเรื่องให้ฉินอ๋องฟังคร่าวๆ

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงโน้มตัวไปข้างหน้า เท้ามือทั้งสองข้างไว้ที่หัวเข่า เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่

 

 

“เมื่อองครักษ์หลินรู้ว่าน้องสาวตายอย่างน่าอนาถ หรือไม่อยากรู้สาเหตุการตายและโฉมหน้าฆาตกรที่แท้จริง”

 

 

“ท่านอ๋องอาจยังไม่รู้ว่า ศพถูกชันสูตรแล้ว ผู้ต้องสงสัยก็หาพบแล้ว เพียงนำตัวไปสอบปากคำให้ละเอียด ความจริงก็จะปรากฏออกมาเอง ยังต้องรู้อะไรอีก คุณหนูหลินมีชีวิตอยู่ดีๆ พอตายไปยังต้องถูกมีดกรีดหลายแผลอีก เช่นนี้จะให้องครักษ์หลินคิดไปในทางที่ดีได้อย่างไรกัน” อวี้เฉิงกังขัดจังหวะ

 

 

“บังอาจ! ท่านอ๋องกำลังพูด เจ้ามีสิทธิพูดแทรกรึ” ซือเหยาอันตะคอกเสียงดัง

 

 

อวี้เฉิงกังจำต้องอดกลั้น ฉินอ๋องผู้นี้ ปกติแล้วไม่เคยมีปากเสียง และไม่เคยออกจากเมืองหลวงเรื่อยมา เอาแต่จัดการเรื่องสัพเพเหระอยู่ในสำนักพระราชวัง กว่าจะตามเสด็จออกมาได้สักครั้ง แต่กลับชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน จัดการเรื่องดินเรื่องฟ้าไม่พอ ยังอยากจัดการเรื่องอุจจาระปัสสวะของแต่ละหน่วยงานอีก ทว่าเมื่อมาในนามโอรสผู้กตัญญู ตนก็พูดอะไรไม่ได้มาก

 

 

พอหลินต้าเย่เห็นว่าองค์ชายสามอยากให้ผ่าศพเช่นกัน จึงพูดไปร่ำไห้ไป

 

 

“ท่านอ๋อง ใช่ว่ากระหม่อมไม่อยากล้างมลทินให้น้องสาว…แต่ น้องสาวกระหม่อมเป็นสาวบริสุทธิ์ที่ยังไม่ออกเรือน ถ้าเสียชีวิตแล้วยังถูกคนถอดเสื้อผ้าออกหมด เปลือยร่างเพื่อผ่าท้องอีก…ต้องทำให้น้องเสื่อมเสียชื่อเสียงแน่! พูดอีกอย่างก็คือ หลังจากผ่าท้อง ร่างที่สมบูรณ์ก็ไม่มีแล้ว น่าเวทนาเหลือเกิน ท่านอ๋อง กระหม่อมเชื่อในคำตัดสินของกองกิจการภายใน จึงอยากขอร้องว่า อย่างไรเสียก็เหลือร่างที่สมบูรณ์ไว้ให้ลั่วหนานเถิด เหลือชื่อเสียงให้นางบ้าง อย่าผ่านางเลย!”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นคิดในใจ ชื่อเสียงอะไร คนก็ตายไปแล้ว ยังจะมีชื่อเสียงอะไรอีก แต่การอยากให้ศพอยู่ในสภาพสมบูรณ์ กลับเป็นเรื่องจริง ราชสำนักต้าเซวียนก็เหมือนราชสำนักในรัชสมัยอื่นๆ ยกให้คนตายยิ่งใหญ่สุด กระทั่งเสียชีวิตตามธรรมชาติแล้วเผา ผู้คนก็ยังรู้สึกเวทนาจนไม่อยากมอง จึงทำการใส่โลงแล้วฝังดินอย่างเดียว นับประสาอะไรกับตายแล้วถูกคนกรีดตรงนั้นตรงนี้อีก ซึ่งมีไม่กี่คนหรอกที่รับได้

 

 

“หัวโบราณ!” เหยากวงเหย้าสะบัดแขนเสื้อ

 

 

อวี้เฉิงกังแอบยกมุมปากขึ้น พลางลูบคลำเครา

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงจ้องหลินต้าเย่นิ่งโดยไม่พูดอะไร แต่ลึกเข้าไปในดวงตากลับค่อยๆ มืดหม่นลง ในห้องเงียบกริบจนแทบได้ยินเสียงหายใจของเขา

 

 

เม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากซือเหยาอัน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากมากจริงๆ ให้ตายอย่างไรหลินต้าเย่ก็ไม่ยอม แต่ท่านสามก็ไม่มีทางรามือเช่นกัน

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นจึงตัดสินใจเอ่ยปาก “หม่อมฉันมีอีกวิธี ที่ไม่ต้องผ่าศพก็สามารถตรวจสอบว่า ในร่างผู้ตายมีสารพิษอยู่หรือไม่ ถือว่าพบกันครึ่งทาง แต่ไม่ทราบว่าองครักษ์หลินจะยินยอมให้หมอหลวงเหยาและหม่อมฉันทดลองดูหรือไม่”

 

 

หลินต้าเย่อึ้ง กระทั่งเหยากวงเหย้าก็อึ้งเช่นกัน

 

 

แต่ซย่าโหวซื่อถิงกลับไม่แปลกใจ จ้องมองอวิ๋นหว่านชิ่นพลางว่า “เป็นวิธีที่ใช้ได้จริงหรือ”

 

 

“เรียนท่านอ๋อง ต้องลองดูถึงจะรู้” อวิ๋นหว่านชิ่นก็ปาดเหงื่อเช่นกัน

 

 

วิธีนี้เป็นวิธีที่นางอ่านพบในตำราแพทย์ จึงเป็นการทดลองครั้งแรกที่นางเองก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ผลหรือไม่ แต่หลินลั่วหนานเพิ่งเสียชีวิตได้ไม่นาน เมื่อครู่นางเห็นแล้วว่า แขนขายังไม่แข็งเสียทั้งหมด ก็ไม่แน่ว่าอาจได้ผล

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงเห็นนางมั่นใจ จึงหันมองหลินต้าเย่

 

 

ทำให้อวี้เฉิงกังร้อนใจ “องครักษ์หลิน…”

 

 

ที่หลินต้าเย่ไม่ยอมให้ผ่าศพ สิ่งสำคัญคือ ไม่อยากให้หลินลั่วหนานมีร่างหลังความตายที่น่าเวทนา

 

 

ตอนนี้พอเห็นว่ามีวิธีอื่นที่ตรวจสอบได้ เหตุใดจะปฏิเสธเล่า เพียงสงสัยยิ่ง จึงหันมองอวิ๋นหว่านชิ่น

 

 

“เจ้า ทำเป็นหรือ”

 

 

คุณหนูลูกสาวขุนนาง จะตรวจพิษเป็นได้อย่างไร

 

 

เหยากวงเหย้าคร้านที่จะพูดจามากความกับเขา “มีข้าอยู่ข้างๆ เจ้ากลัวอะไร”

 

 

หลินต้าเย่จึงประสานมือ “เช่นนั้นกระหม่อมก็ทำตามความประสงค์ของท่านอ๋อง”

 

 

กลุ่มคนจึงทยอยกันเดินออกจากห้องโถง ไปรอฟังผลอยู่นอกชาน

 

 

เหยากวงเหย้าดึงผ้าม่านรอบๆ ห้องลง ปิดไม่ให้เห็นศพ พอเห็นฉินอ๋องยังไม่ออกไป ก็อึ้ง

 

 

“ท่านอ๋อง ขั้นตอนการชันสูตรศพไม่น่าดูเท่าไหร่ เกรงว่าจะทรงรับไม่ได้…”

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงยืนอยู่นอกม่าน ดุจตะขอเกี่ยวร่างอวิ๋นหว่านชิ่นไว้ จึงตอบกลับหน้าตาเฉย

 

 

“ไม่เป็นไร ข้าต้องคอยกำกับดูแลพวกเจ้า”

 

 

เหยากวงเหย้ายกมุมปากขึ้นข้างหนึ่ง แล้วจึงทำปากยื่นปากยาว ไม่พูดอะไรอีก