ตอนที่ 106-3 จุลสีไหลทั่วร่าง ชนเสาหนีความผิด

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

อวิ๋นหว่านชิ่นในตอนนี้ ไม่มีกะใจพูดเล่นกับฉินอ๋องอีก ได้แต่ถอดเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกออก พาดไว้บนฉากกั้น จากนั้นก็หันไปกำชับผู้ช่วยหนุ่มให้เตรียมสิ่งของบางอย่าง แล้วค่อยถามว่า

 

 

“เป็นอย่างไร พอจะหาให้ได้ไหม”

 

 

ผู้ช่วยหนุ่มพยักหน้า “อืม ผู้น้อยจะลองไปที่ห้องอบไอน้ำกับห้องครัวดู คิดว่าน่าจะมี” ว่าแล้วก็รีบก้าวออกไปอย่างไม่รีรอ

 

 

พอเหยากวงเหย้าได้ยินคำพูดนาง ก็พอจะรู้แล้วว่านางคิดจะทำอะไร

 

 

ต่อให้เป็นวิธีที่เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้จริงๆ เมื่อหลินต้าเย่ปกป้องศพไว้ ไม่ยอมให้ผ่า ก็ได้แต่ใช้วิธีนี้แล้ว ดูๆ ไป นังหนูนี่ก็มีวิชาติดตัวไม่น้อยอยู่เหมือนกัน แต่ก็ยังลังเลใจ

 

 

“นังหนู วิธีนี้แม้ดี แต่ก็ไม่แน่ว่าจะราบรื่นไปเสียทุกครั้ง ถ้าเกิดใช้ไม่ได้ขึ้นมา…”

 

 

“หมอหลวงเหยา ท่านดูสิ ร่างของหลินลั่วหนานยังไม่แข็งทั้งหมด รอยเขียวช้ำก็ยังไม่ปรากฏ และเพิ่งย้ายออกจากห้องเย็น มีบางส่วนที่ยังอ่อนนิ่ม แขนขายังงอได้ ก็น่าจะมีหวังอยู่ เราต้องลองดู”

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นแสดงความมั่นใจออกมา เพิ่มความกระตือรือร้นให้เหยากวงเหย้า ทำให้เขามั่นใจเพิ่มขึ้น

 

 

นอกม่านคั่นกลางด้วยช่องว่าง ทำให้ซย่าโหวซื่อถิงได้ยินคำสนทนาของคนทั้งสอง จึงหันไปพูดเสียงเบา

 

 

“เหยาอัน”

 

 

“ท่านสาม” ซือเหยาอันก้าวเข้าไปรับคำสั่ง

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงมองนิ่ง “อีกประเดี๋ยว ถ้าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล เจ้าก็เข้าไปผ่าศพหลินลั่วหนาน ให้เหยากวงเหย้าตรวจดูโดยตรง”

 

 

นี่คือลงมือก่อน รายงานทีหลัง? ถ้าตรวจพบว่ามีพิษจริง ก็เป็นการล้างมลทินให้คุณหนูอวิ๋น แต่หลินต้าเย่นั่น ต้องเอาเรื่องท่านสามแน่ และถ้าฟ้องร้องไปถึงฝ่าบาท ท่านสามย่อมต้องถูกลงโทษ

 

 

ขณะซือเหยาอันกำลังตกใจ ผู้ช่วยหนุ่มก็ยกกระจาดใส่ของที่อวิ๋นหว่านชิ่นต้องการกลับมา

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นหยิบขวดใบหนึ่งขึ้น เปิดฝาออก ในขวดมีเม็ดสีน้ำเงินเม็ดเล็กๆ คล้ายเม็ดผลึกใส เปล่งประกายระยิบ อวิ๋นหว่านชิ่นค่อยโล่งอก นี่ล่ะ จุลสี

 

 

ตอนอ่านตำราแพทย์จากดินแดนตะวันตกฉบับแปล คนตะวันตกจะเรียกจุลสีว่า คอปเปอร์ซัลเฟต

 

 

ในต้าเซวียน สิ่งๆ นี้แม้ดูสวยงาม แต่ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย และถูกใช้ไปในทางที่ผิดอยู่บ้าง จุลสีเป็นสารประกอบอนินทรีย์ที่เกิดจากการนำสินแร่มาสกัดด้วยการถลุง โดยทั่วไปผู้คนใช้ชุบหม้อหุงต้มและทองแดง ใช้กำจัดหนอนและฆ่าเชื้อโรคตามที่ชื้นแฉะในบ้าน

 

 

นางเทน้ำลงไปในขวด จุลสีเป็นสสารที่ละลายน้ำได้ง่ายมาก เขย่าสองทีก็รวมตัวเป็นหนึ่งกับน้ำเดียวกับน้ำแล้ว น้ำเปลี่ยนเป็นสีฟ้าเข้มทันที สวยกว่าเมื่อครู่อย่างน่าทึ่ง แต่ตอนนี้ไม่มีใครมีกะใจชื่นชม อวิ๋นหว่านชิ่นยึดหลังคอของหลินลั่วหนานไว้ จับให้นางนั่งขึ้น พลางพูดกระชับ

 

 

“เอาช้อนยาวสอดเข้าไปในปากผู้ตาย กดลิ้นไว้”

 

 

ผู้ช่วยมือไม้คล่องแคล่ว รีบใช้ช้อนยาวกดลิ้นหลินลั่วหนาน เพื่อเปิดปากนาง

 

 

แล้วอวิ๋นหว่านชิ่นก็นำน้ำจุลสีเทเข้าไปในลำคอของหลินลั่วหนานทันที ก่อนใช้ตะเกียบยาวจิ้มเข้าไปในปากนาง โดยจิ้มส่วนเรียวของตะเกียบเข้าไปจนสุด แหย่ตรงส่วนโค้งและส่วนหลังของคอหอย ก่อนผละออก ให้เหยากวงเหย้าใช้เข็มเงินยาวราวหกนิ้วเล่มหนึ่งที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ ฝังเข้าไปในจุดฝังเข็มระหว่างท้องและช่องท้องของผู้ตาย

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงขยับคิ้ว นางต้องการทำให้อาเจียน? แต่ คนตายแล้ว ไม่สามารถรู้สึกได้ ยิ่งไม่สามารถอาเจียนออกมาเอง วิธีนี้จะได้ผลหรือ

 

 

และในตอนนี้เอง ศพคลับคล้ายกระตุกน้อยๆ

 

 

สองผู้ช่วยแม้เคยเห็นปฏิบัติการทางการแพทย์มาไม่น้อย แต่กรณีนี้เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก จึงสะดุ้งตกใจ คนหนึ่งยังอุทานออกมา

 

 

นอกชาน พอหลินต้าเย่ได้ยินเสียงอุทาน ก็รีบตะโกน “ว่าไง ตรวจพบอะไรแล้วใช่ไหม”

 

 

อวี้เฉิงกังขยับจมูก รู้สึกกระสับกระส่าย

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นรีบวางศพลงเบาๆ

 

 

และแล้วปาก หู และดวงตาของหลินลั่วหนานก็มีหนองและโลหิตสีดำไหลออกมาช้าๆ มีกลิ่นฉุนแบบเหม็นเปรี้ยว พอก้มลงไปดม ก็รู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย

 

 

เหยากวงเหย้าหน้าเปลี่ยนสี ก่อนระบายลมหายใจยาวๆ ออกจากปาก เป็นพิษ!

 

 

สรุปแล้วหลินลั่วหนานตายอย่างน่าสงสัย มิใช่ขาดอากาศหายใจอย่างดียว!

 

 

เมื่อเค้นได้ของเหลวพิษออกมา ก็พิสูจน์ได้ว่า หลินลั่วหนานเสียชีวิตจากการถูกพิษ มีเงื่อนงำอีกอย่างหนึ่งแล้ว

 

 

แต่ กลับเป็นเรื่องแปลก ถ้าทั้งอุปกรณ์การกินและอาหาร ตรวจพบว่าไม่มีพิษ แล้วหลินลั่วหนานถูกพิษได้อย่างไรกัน นี่คือพิษชนิดไหน

 

 

เหยากวงเหย้ารวบรวมของเหลวพิษได้ส่วนหนึ่ง จึงยกขึ้นพินิจพิเคราะห์

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นขบคิดสักพัก หัวสมองปรากฏภาพเมื่อคืน ขณะตนอยู่ในช่วงครึ่งหลับครึ่งตื่น รู้สึกคลับคล้ายว่า มีคนเข้ามาในห้อง…ถ้าตอนนั้น มีคนเข้ามาวางยา คนผู้นี้จะทำเช่นไร

 

 

แผนการนี้ช่างกล้ายิ่ง อวิ๋นหว่านชิ่นจึงพูดขึ้นอย่างแน่วแน่

 

 

“ข้าอยากเปลื้องผ้าคุณหนูหลิน ตรวจร่างกายนางดูหน่อย”

 

 

เหยากวงเหย้าเข้าใจความหมาย จึงพาผู้ช่วยสองคนหลบออกไปก่อน พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นว่าไม่มีใคร ก็ลงมือถอดเสื้อผ้าของหลินลั่วหนานออกทีละชิ้น แล้วทำการตรวจดูตามจุดซ่อนเร้นต่างๆ เช่น ล่างหู หลังคอ เล็บ สะโพก อย่างละเอียดโดยไม่ให้ตกหล่นแม้จุดเดียว

 

 

และในที่สุด นางก็พบรอยๆ หนึ่งตรงต้นขาของหลินลั่วหนาน เป็นรูเล็กๆ สีแดงคล้ำสองรู คล้ายรอยฟันกัด แต่ลักษณะของฟัน ไม่ใช่ฟันคนอย่างแน่นอน

 

 

สมองนางคล้ายมีแสงวาบ รอยฟันลักษณะนี้ นางเคยเห็นมาก่อน จึงหันควับ มองไปยังร่างที่สูงใหญ่ของ

 

 

ชายหนุ่มผู้อยู่นอกม่าน บนร่างของฉินอ๋องก็มีรอยแผลเช่นนี้

 

 

“หมอหลวงเหยา!” อวิ๋นหว่านชิ่นใส่เสื้อผ้าให้หลินลั่วหนานเรียบร้อย ค่อยตะโกนเรียก

 

 

เหยากวงเหย้ารีบก้าวเข้ามา เห็นเด็กสาวหน้าซีดเล็กน้อย แต่ยังพูดอย่างมั่นใจเป็นพิเศษ

 

 

“เป็นพิษงู นางถูกงูพิษกัดตาย”

 

 

มิใช่ภาพหลอน ยิ่งมิใช่ความฝัน เมื่อคืน มีคนขวัญกล้าเทียมฟ้า เข้ามาในห้องแล้วปล่อยงูตัวหนึ่งเข้าใต้

 

 

ผ้าห่มของหลินลั่วหนาน

 

 

งูพิษเลื้อยไปมาอยู่ใต้ผ้าห่ม ก่อนแยกเขี้ยว กัดลงที่ต้นขาของหลินลั่วหนาน พิษงูวิ่งเข้าสู่หัวใจอย่างรวดเร็ว ทำให้คนเป็นอัมพาตเฉียบพลัน หลินลั่วหนานจึงไม่มีโอกาสร้องขอความช่วยเหลือและดิ้นรนขัดขืน เข้าสู่ภาวะหมดสติ และเสียชีวิตจากพิษในเวลาต่อมา