ตอนที่ 106-4 จุลสีไหลทั่วร่าง ชนเสาหนีความผิด

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

เหยากวงเหย้าค้นคว้าวิจัยความรู้ด้านการแพทย์มาตลอดชีวิต พบเห็นกรณีพิษงูมาไม่น้อย พอพิจารณาของเหลวพิษสักพัก ก็เดาได้ส่วนหนึ่ง ตอนนี้พอได้ยินอวิ๋นหว่านชิ่นพูด ก็ยิ่งเห็นภาพชัดเจน จึงไม่ลังเลใจอีก เดินไปเลิกม่านประตูขึ้น เรียกหลินต้าเย่กับอวี้เฉิงกังเข้ามา แล้วสรุปผลคร่าวๆ ให้ฟัง

 

 

หลินต้าเย่ยืนตะลึงงัน สั่นไปทั้งตัว ส่วนอวี้เฉิงกัง พอเห็นผลชันสูตรตรงหน้า ก็กัดฟัน ไม่ส่งเสียง

 

 

เหยากวงเหย้าจึงตวาด “ยังไม่รีบไปที่ห้อง ตรวจดูทุกซอกทุกมุมอีก โดยเฉพาะที่เตียง!”

 

 

เช่นนี้ อวี้เฉิงกังจึงต้องส่งคนไปจัดการอย่างไม่เต็มใจนัก

 

 

และไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ก็ได้รับรายงานว่า บนเบาะตรงที่หลินลั่วหนานนอน มีรอยเปียกตื้นๆ อยู่หนึ่งรอย แถมยังเหนียวด้วย

 

 

งูเป็นสัตว์เลือดเย็น จึงมีของเหลวหล่อเลี้ยงผิวหนัง หรือก็คือ รอยเมือกขณะเลื้อยนั่นเอง

 

 

เหยากวงเหย้ายิ้มเย็นชาให้อวี้เฉิงกัง ก่อนว่า

 

 

“หัวหน้าอวี้ยังคิดว่าคุณหนูอวิ๋นเอาผ้าห่มอุดทางเดินหายใจของคุณหนูหลินอยู่หรือเปล่า มีคนปล่อยงูพิษมากัดคนตายชัดๆ ตอนนี้ข้ายังบอกได้อีกว่า งูตัวนี้มิใช่งูตามธรรมชาติ แต่เป็นงูน้ำแบบมีพิษที่เลี้ยงอยู่ตามบ้าน โดยทั่วไปพอโตเต็มวัยจะถูกถอนเขี้ยวพิษออก แล้วนำมาหมักยาสมุนไพร ลำตัวไม่ยาว ผิวเนียนเรียบ คล้ายไส้เดือน แต่พิษร้ายแรงมาก อายุไม่ยืน ต้องเลี้ยงอย่างดูแลเอาใจใส่อยู่ในน้ำ แสดงว่าฆาตกรต้องเตรียมการมาก่อน ไม่มีทางหาแถวนี้ได้หรอก ถ้าไม่มีภาชนะเลี้ยงเอาไว้ ถึงหามาได้ งูก็อยู่ได้ไม่นาน ซึ่งคุณหนูอวิ๋นไม่อยู่ในเงื่อนไขที่จะใช้งูพิษชนิดนี้อย่างแน่นอน พูดอีกอย่างก็คือ ตามคำตัดสินของหัวหน้าอวี้ที่ว่า คุณหนูอวิ๋นคิดแก้แค้นคุณหนูหลินที่ทำให้บาดเจ็บ หรือก่อนออกเดินทางคุณหนูอวิ๋นได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว? กลายเป็นผู้มีญาณหยั่งรู้? รู้ล่วงหน้าว่าระหว่างทางต้องแค้นคนและต้องฆ่าคน ดังนั้นจึงพกงูพิษมาด้วยโดยเฉพาะ”

 

 

หลินต้าเย่กอดศพหลินลั่วหนานอยู่ พอได้ยิน ก็จ้องมองอวี้เฉิงกัง แล้วจึงพูดไปร่ำไห้ไปขึ้นมาอีก

 

 

“น้องข้า…ใครทำร้ายเจ้ากันแน่!”

 

 

จากนั้นก็หันมองอวิ๋นหว่านชิ่น เฉาหนิงเอ๋อร์ และหานเซียงเซียง “คุณหนูทุกท่าน น้องสาวข้าเคยยุ่งเกี่ยวกับใครกันแน่”

 

 

เฉาหนิงเอ๋อร์ได้พักเมื่อครู่ ค่อยมีสติขึ้นมาก จึงตอบว่า “เมื่อคืนพวกเราก็อยู่กันไม่กี่คน นอกจาก…ลูกสาวบ้านท่านสมุหนายกอวี้ คุณหนูอวี้โหรวจวงมาอยู่พักหนึ่ง บรรยากาศไม่สู้ดี ยังตบปากสาวใช้คุณหนูอวิ๋นด้วย ทำให้วุ่นวายกันใหญ่”

 

 

ดวงตาซย่าโหวซื่อถิงปรากฏแววเย็นชา “หัวหน้าอวี้รู้ว่าคุณหนูอวิ๋นกับคุณหนูหลินมีปากเสียงกัน แต่ทีเรื่องคุณหนูอวี้มาที่ห้องก่อเรื่องตบตีคนกลับไม่รู้ไปได้ แปลกจริงๆ เลย”

 

 

เขากำลังบอกว่าตนมีเจตนาปกป้องพวกพ้อง อวี้เฉิงกังถูกจับจุดอ่อนได้ จึงรู้สึกห่อเ**่ยวใจ

 

 

ซย่าโหวซื่อถิงมองทุกคนนิ่ง ก่อนเอ่ย

 

 

“เมื่อเข้าใจกันแล้ว คุณหนูทั้งสามก็กลับไปก่อนเถิด เรื่องต่อจากนี้ หัวหน้าอวี้ต้องไม่กล้าสุ่มสี่สุ่มห้า ทำผิดฐานละเว้นต่อการปฏิบัติหน้าที่อีกแน่”

 

 

อวี้เฉิงกังเหงื่อกาฬหลั่งไหล เมื่อตรวจอีกครั้งแล้วพบว่าหลินลั่วหนานถูกพิษเสียชีวิต ตนก็มีความผิดฐานย่อหย่อนในหน้าที่แล้ว บวกกับการมีองค์ชายสามคอยใช้สายตาอันเฉียบคมจับตาดูอยู่ข้างๆ ไหนเลยยังจะกล้าเล่นตุกติกอะไรอีก จึงกัดฟันจัดการไปตามหลักการ

 

 

“เด็กๆ ค้น ไปค้นห้องผู้ติดตามจากในวังและห้องสาวใช้คนสนิทให้ทั่ว!” ชะงักเล็กน้อย ด้วยลำบากใจที่จะพูดออกมา “โดยเฉพาะที่พักของคุณหนูอวี้ ลูกสาวท่านสมุหนายกอวี้”

 

 

ผู้ใต้บังคับบัญชารับคำสั่ง แล้วจากไป

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นชำเลืองมองซย่าโหวซื่อถิง ก่อนก้าวออกไปนอกชาน

 

 

เฉาหนิงเอ๋อร์กับหานเซียงเซียงล้วนเข่าอ่อน พอเห็นนางเดินออก ก็รีบตามไปประกบ

 

 

เจิ้งหวาชิวกับนางในอีกสองคนมาถึงพอดี เมื่อเห็นว่าทุกคนไม่เป็นอันตรายอะไร ก็เป่าปากอย่างโล่งอก ก่อนพาพวกอวิ๋นหว่านชิ่นไปพักผ่อนในห้องว่างห้องหนึ่ง

 

 

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ดวงอาทิตย์ขึ้นมาได้สูงพอควร จู่ๆ ก็มีขันทีคนหนึ่งวิ่งจากด้านนอกเข้ามา แล้วตะโกนอย่างเร่งรีบ

 

 

“แย่แล้ว แย่แล้ว!”

 

 

ซึ่งก่อนหน้านี้ เจิ้งหวาชิวกำลังปลอบโยนคุณหนูทั้งสามอยู่ในห้อง ทอดถอนใจว่า เพียงระยะเวลาสั้นๆ ของครึ่งวันเช้า ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย เกือบกลายเป็นเรื่องใหญ่ด้วยซ้ำ โชคดีที่คุณหนูอวิ๋นมีความสามารถ ถูกกองกิจการภายในป้ายสี ก็ยังรอดมาได้หวุดหวิด

 

 

ทุกคนถอนหายใจอย่างผู้ที่เพิ่งรอดชีวิตจากภัยพิบัติมา หานเซียงเซียงพูดขึ้นอย่างอ่อนแรง

 

 

“หรือคุณหนูอวี้นั่นจะเป็นคนทำจริงๆ”

 

 

“ท่าทางแบบนั้นของนาง ทำไมจะทำไม่ได้ ขนาดใช้ญาติผู้พี่กลั่นแกล้งเรา เรื่องประเภทนี้ยังทำออกมาได้ ยังจะมีอะไรที่ทำไม่ได้อีก” เฉาหนิงเอ๋อร์ขมวดคิ้ว จนถึงตอนนี้ พอคิดว่าตนนอนกับศพ ก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว

 

 

“ตามความเห็นของบ่าว ไม่น่าจะใช่นะ” เจิ้งหวาชิวยังไม่อยากจะเชื่อ “คุณหนูอวี้นั่นอย่างไรก็ถือกำเนิดในตระกูลใหญ่ ทำไมถึงมีจิตใจคับแคบ โหดเ**้ยมไร้น้ำใจเช่นนี้ไปได้”

 

 

ขณะทุกคนกำลังพูดคุย ด้านนอกก็มีเสียงขันทีตะโกน

 

 

เจิ้งหวาชิวจึงลุกขึ้น เดินไปหน้าประตู ก่อนส่งเสียงไม่พอใจออกมา

 

 

“อยากตายรึไง ตะโกนมั่วซั่วอะไรอีก ยังคิดว่าเราตกใจกันไม่พออีกหรือ” พวกอวิ๋นหว่านชิ่นก็ตามออกมา

 

 

ขันทียืนหอบหายใจอยู่นอกชาน ปาดเหงื่อไปหลายหยด ก่อนพูดกับพี่เจิ้งและเหล่าคุณหนู

 

 

“…แย่แล้วจริงๆ กองกิจการภายในค้นเจอว่า ในกล่องใส่เครื่องสำอางใบหนึ่งที่คุณหนูอวี้นำมาด้วยนั้น มีขวดใบหนึ่งปิดผนึกไม่สนิท ในนั้นแช่งูทับสมิงคลาที่บ้านเลี้ยงไว้อยู่สองตัวแน่ะ!”

 

 

“อะไรนะ!” เจิ้งหวาชิวตกใจ “เป็นคุณหนูอวี้จริงรึ แล้ว คุณหนูอวี้ยอมรับแล้วรึ? ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

“ยังจะเป็นอย่างไรได้ ค้นของกลางเจอก็ต้องตกเป็นผู้ต้องสงสัย!” ขันทีพูดต่อ “แล้วจะยอมรับได้อย่างไรกัน พี่เคยเห็นคนทำผิดยอมรับว่าตัวเองทำผิดหรือเปล่าล่ะ ย่อมต้องเอะอะโวยวาย บอกว่างูนั่นไม่ใช่ของตน ตนไม่ได้ใช้พิษฆ่าคุณหนูหลิน เริ่มแรกก็ถูกกองกิจการภายในไต่สวน แต่ ข้อหนึ่ง ผู้ต้องสงสัยเป็นญาติผู้น้องของหัวหน้ากอง จำต้องหลีกเลี่ยง ข้อสอง คุณหนูอวี้เป็นลูกสาวของท่านสมุหนายก สถานะไม่ธรรมดา เกรงว่าอาจมีผลกระทบไปในทางไม่ดี พอฝ่าบาททรงทราบ จึงให้ฮองเฮาเป็นผู้ไต่สวนแทน แต่คุณหนูอวี้ก็ยังคงยืนกระต่ายขาเดียวไม่ยอมรับ”